ยอดเมฆสายรุ้ง
‘พวกมันเป็นวิญญาณหยกที่เกิดขึ้นจากลมปราณหยกเหมือนๆกัน แต่ทำไมพวกมันถึงแตกต่างกันขนาดนี้ เราจำเป็นต้องเก็บลูกแก้ววิญญาณแฟรี่หยกมาเพิ่มเพื่อพัฒนาวิชากายหยกไปสู่ระดับต่อไป’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
หานเซิ่นเดินทางไปที่ยอดเมฆสายรุ้งพร้อมกับไผ่เดียวดาย ในระหว่างทางหานเซิ่นพยายามจะดูดซับลูกแก้ววิญญาณเสือหยกเข้าไป แต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขา หลังจากที่ใช้มัน เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกส่งเข้าไปในถ้ำน้ำแข็ง มันใช้ความพยายามอย่างมากกว่าที่เขาจะดูดซับมันเข้าไปได้
หลังจากที่กลืนลูกแก้ววิญญาณเสือหยกเข้าไปแล้ว ผลลัพธ์ก็เหมือนกับตอนที่เขาดูดซับลูกแก้ววิญญาณแฟรี่หยก เว้นก็แต่วิญญาณแฟรี่หยกมอบพลังให้กับเขามากกว่า
ลูกแก้ววิญญาณแฟรี่หยกทำให้แสงเทพของวิชากายหยกแข็งแกร่งขึ้น ส่วนลูกแก้ววิญญาณเสือหยกไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรแบบนั้น
ยอดเมฆสายรุ้งเป็นเกาะที่ถูกสร้างขึ้นจากก้อนเมฆ ก้อนเมฆเหล่านั้นเป็นของแข็งที่สัมผัสได้ และไม่ว่าจะเป็นภูเขาหรือป่าไม้ก็เป็นก้อนเมฆทั้งหมด
มันมีสิ่งมีชีวิตมากมายอยู่บนเกาะแห่งนั้น และพวกมันก็เป็นก้อนเมฆเหมือนกันหมด การไปที่นั่นเหมือนกับการเข้าไปในดินแดนแห่งมาร์ชแมลโลว์
“ดูเหมือนว่าจะมีคลาวด์บีสต์อยู่ที่นี่มากมาย แต่ตัวไหนกันที่เจ้าพูดถึง?”
หานเซิ่นเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายเป็นก้อนเมฆหลายตัว แต่เขาสังเกตเห็นว่าพวกมันทั้งหมดดูค่อนข้างเชื่อง
“ไผ่เดียวดายและหานเซิ่น! พวกเจ้าทั้งคู่ก็มาที่นี่เพื่อล่าคลาวด์บีสต์ด้วยอย่างนั้นหรอ?”
ก่อนที่ไผ่เดียวดายจะได้ตอบหานเซิ่นก็มีใครบางคนวิ่งเข้ามาหาพวกเขา ดูเหมือนไผ่เดียวดายไม่คิดจะตอบอะไรกลับไป ส่วนหานเซิ่นก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคนๆนี้เป็นใครกันแน่
“ข้าเพิ่งอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ดังนั้นข้าไม่รู้จักคนมากนัก เจ้าเป็นใครกัน?” หานเซิ่นพูด
ชายคนนั้นไม่ใช่คนเผ่าพันธุ์นภา เขามีหัวของเสือขาวและชุดเกราะที่ทำมาจากขนสัตว์ เขาดูเหมือนกับคนเผ่าพันธุ์เทโก้ แต่หานเซิ่นไม่เคยเจอเขามาก่อน
แต่ถ้าเขามาที่นี่ได้ เขาก็ต้องเป็นอาจารย์ระดับมาร์ควิส และถึงเขาจะไม่ใช่หนึ่งในเผ่าพันธุ์นภา แต่เขาก็ต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง
ชายคนนั้นตอบ “ชื่อของข้าคือไวท์เรียล เจ้าอาจจะไม่รู้จักข้า เพราะข้าทำงานอยู่ในสวนวิถีนภา และข้าก็แทบจะไม่ได้ออกมา”
“เจ้าทำงานอยู่ในสวนวิถีนภา!” เมื่อหานเซิ่นได้ยินว่าชายคนนั้นทำงานอยู่ในสวนวิถีนภา เขาก็รู้สึกแปลกใจ
สวนวิถีนภาเป็นสถานที่หวงห้าม ศิษย์ส่วนใหญ่ของปราสาทนภาไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ แต่คนคนนี้เป็นคนนอกคนหนึ่ง
หานเซิ่นรู้ว่าสวนวิถีนภามีเทคโนโลยีในการวิจัยขั้นสูง วิชาจีโนหลายวิชาต่างก็ถูกคิดค้นและปรับแต่งภายในนั้น ไวท์เรียลดูจะแข็งแกร่งมากๆ แต่งานที่เขาทำกลับเป็นสิ่งที่พึ่งพาจิตใจที่อดทนมากกว่า หานเซิ่นจึงเตือนตัวเองว่าไม่ควรตัดสินหนังสือจากหน้าปก
ไวท์เรียลมองมาที่หานเซิ่น “หานเซิ่น ข้านับถือเจ้าอย่างมาก วิชาใต้นภาฉบับปรับปรุงของเจ้าถืองานชิ้นเอกสำหรับสวนวิถีนภา อัจฉริยะอย่างเจ้าควรจะไปเยือนสถานที่อย่างสวนวิถีนภาสักครั้ง”
“คำชมนั้นมากเกินไปสำหรับข้า ข้าแค่โชคดีในการปรับแต่งมันเท่านั้นเอง ข้าไม่คิดว่าจะทำแบบนั้นได้อีก” หานเซิ่นตอบ
ถ้าวิชาใต้นภาไม่ได้เป็นวิชาที่เขาถนัด เขาก็ไม่มีทางจะปรับแต่งมันจนสมบูรณ์ได้แบบนั้น
“เจ้าเป็นอัจฉริยะ ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องถ่อมตัว จริงๆแล้วข้ามีคำถามหนึ่งอยากจะถามเจ้ามาสักพักหนึ่งแล้ว แต่พวกเราไม่มีโอกาสได้พบกันเลย วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่พระเจ้ามอบให้กับข้า และข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยเหลือข้าได้” หลังจากนั้นไวท์เรียลก็โค้งคำนับหานเซิ่น
หานเซิ่นรู้ได้ถึงความจริงใจของชายคนนี้ เขาจึงไม่อยากปฏิเสธ
“เจ้าถามข้าได้ทุกเรื่องที่เจ้าต้องการ แต่ข้าไม่ได้เป็นอัจฉริยะอะไร ข้ากลัวว่าอาจจะช่วยเหลืออะไรเจ้าไม่ได้” หานเซิ่นพูด
ไวท์เรียลรู้สึกปลาบปลื้ม เขารีบนำโทรศัพท์ออกมาและแสดงข้อมูลเกี่ยวกับวิชาจีโนตัวหนึ่งให้หานเซิ่นดู หลังจากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายอย่างละเอียด
วิชาจีโนนั้นดูซับซ้อน และมันจะใช้เวลาสักพักกว่าที่ไวท์เรียลจะอธิบายได้หมด หานเซิ่นจึงหันไปมองไผ่เดียวดาย
ไผ่เดียวดายนั่งลงและพูด “ข้าไม่มีปัญหาเรื่องเวลา”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นหานเซิ่นก็หันความสนใจกลับมาที่ไวท์เรียล ไม่นานเขาก็เข้าใจถึงปัญหาของวิชาที่ไวท์เรียลกำลังวิจัยอยู่
ไวท์เรียลกำลังวิจัยวิชาจีโนที่มีชื่อว่าเอคโค่ ชื่อของมันอาจจะฟังดูไร้ประโยชน์ แต่ทว่าหลังจากที่หานเซิ่นได้รู้ถึงจุดประสงค์เบื้องหลังของมัน เขาก็รู้สึกประหลาดใจ
เอคโค่ไม่ใช่วิชาจีโนที่ใช้พลังเสียงเพื่อสำรวจเส้นทางเหมือนอย่างที่ค้างคาวทำ แต่มันเป็นวิชาจีโนที่ใช้พลังเสียงเพื่อโจมตี
พลังเสียงจะสะท้อนไปเรื่อยๆเพื่อสร้างพลังทำลายอย่างไม่จำกัด แนวคิดของวิชาฟังดูดี แต่การจะสะท้อนพลังเสียงเป็นเรื่องยาก เพราะยังไงซะในการต่อสู้จริง เราก็จะไม่ได้จะอยู่ในพื้นที่ปิดเสมอไป วิชาจีโนที่จำเป็นต้องพึ่งพาสภาพแวดล้อมเป็นสิ่งที่ยากจะนำไปใช้ในสถานการณ์จริง
ไวท์เรียลวิจัยมันจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เขาสามารถเพิ่มพลังของพลังเสียงได้อย่างไม่จำกัด แต่ในการต่อสู้จริงๆ เขาไม่สามารถแบกโกดังติดตัวไปไหนมาไหนได้
ถ้าเขาจำเป็นต้องขังคู่ต่อสู้ในพื้นที่ปิดก่อนที่จะใช้มัน วิชาจีโนนี้ก็จะเป็นอะไรที่พึ่งพาไม่ได้ ไวท์เรียลพยายามวิจัยเพื่อแก้ไขเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
หานเซิ่นคิดอยู่สักพัก แต่เขาก็คิดไม่ออกเช่นกัน วิชาเอคโค่มีปัญหาที่ชัดเจน ซึ่งมันเป็นเรื่องยากที่จะปรังแต่งเพื่อแก้ไขได้
ปลาต้องว่ายในน้ำ และนกต้องบินบนอากาศ วิชาเอคโค่ก็จำเป็นต้องพึ่งสภาพแวดล้อมพิเศษเพื่อใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าไปเปลี่ยนอะไรมันมากเกินไป วิชาเอคโค่ก็คงจะไม่ใช่เอคโค่อีกต่อไป
“ไวท์เรียล ข้าไม่คิดว่าจะช่วยเหลืออะไรเจ้าได้ ถ้าเจ้าต้องการจะใช้เอคโค่ในการต่อสู้จริงๆ มันก็ต้องเป็นสภาพแวดล้อมปิดเท่านั้น นอกซะจากว่าเจ้าจะมีระฆังเพื่อกักขังคู่ต่อสู้ ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะมีหนทางอื่นที่จะใช้วิชานี้” หานเซิ่นพูด
เมื่อไวท์เรียลได้ยินอย่างนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย
“เดี๋ยวก่อนนะ ที่เจ้าพูดมันสมเหตุสมผล ข้าจำเป็นต้องมีระฆังขนาดใหญ่เพื่อขังคู่ต่อสู้ แบบนั้นสภาพแวดล้อมก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ด้วยการใช้ระฆัง พลังเสียงของเอคโค่ก็จะสะท้อนไปมาภายในนั้นได้ มันจะโจมตีไปเรื่อยๆไม่หยุด”
ไวท์เรียลพูดต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้หานเซิ่นสับสน ถึงแม้หานเซิ่นจะเคยเรียนรู้การวิจัยวิชาจีโนมาก่อน แต่วิธีการของเขาแตกต่างไปจากไวท์เรียล
หานเซิ่นไม่คิดว่าการใช้ระฆังเป็นความคิดที่ดี ใครมันจะโง่พอที่จะปล่อยให้ตัวเองถูกขังอยู่ภายในระฆัง และคนที่โง่พอจะถูกขังก็คงไม่จำเป็นต้องพึ่งใช้วิชาเอคโค่นี้เพื่อฆ่าหรอก