เมื่อประตูหินเปิดออก หานเซิ่นก็สังเกตเห็นวังวนสีดำที่อีกฝากหนึ่งของประตู ซึ่งก่อนที่เขาจะตอบสนองอะไรได้ แรงดูดมหาศาลก็เริ่มดูดเขาเข้าไปข้างใน
หานเซิ่นพยายามจะดันตัวเองออกห่างจากประตู แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถต้านทานมันได้และถูกดูดเข้าไปภายในประตูหิน
เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง หานเซิ่นก็พบตัวเองอยู่ในถ้ำที่มืดมน
วา-ลา-ลา! วา-ลา-ลา!
ภายในถ้ำมีเสียงของโซ่ลากกับพื้นหิน หลังจากนั้นเงาขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมาจากความมืด
มอนสเตอร์ที่เดินเข้ามามีร่างกายเป็นกิเลนและปีกสีเขียว มันสูงสิบเมตรและมีหัวของเสือ ดวงตาสีเขียวที่เรืองแสงของมันทำให้หานเซิ่นรู้สึกหนาวขึ้นมา
มอนสเตอร์ตัวนี้ดูน่ากลัวอย่างมาก เพียงแค่ตัวตนของมันก็มากพอที่จะทำให้หานเซิ่นหายใจไม่ทัน
โซ่สีดำหลายเส้นล่ามร่างกายของมันไว้กับถ้ำ เมื่อมันอยู่ห่างจากไปจากหานเซิ่นแค่สิบเมตร โซ่ที่ล่ามก็ถูกดึงจนตึง มันไม่สามารถเข้ามาถึงตัวของหานเซิ่นได้
แต่หานเซิ่นไม่กล้าประมาท ดังนั้นเขาจึงเรียกใบเสมาออกมา ถึงมอนสเตอร์ตัวนั้นจะถูกโซ่ล่ามอยู่ แต่มันก็ทรงพลังอย่างมาก
แม้แต่ลมหายใจของมันก็เป็นอันตราย ซึ่งตัวหานเซิ่นเองรู้ดีว่าไม่สามารถเอาชนะมันในการต่อสู้ได้
‘นี่ปราสาทนภาตกต่ำถึงขนาดส่งคนที่อ่อนแอแบบนี้มาที่นี่อย่างนั้นหรอ?’ มอนสเตอร์คิดขณะที่มองตรงไปที่หานเซิ่น
‘นี่มันคืออะไรกัน? ผู้นำของปราสาทนภาคงจะไม่ได้ให้เรามาจัดการกับเจ้าตัวนี้หรอกใช่ไหม ถึงแม้มันจะถูกโซ่ล่ามอยู่ แต่มันก็ไม่มีทางที่เราจะจัดการมันได้’ หานเซิ่นคิด
เขาใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนและพบว่ามันน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับราชัน แต่เนื่องจากโซ่ที่ล่ามอยู่มีผลในจำกัดพลังของมัน ทำให้เขาไม่สามารถอ่านความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมันได้ แต่ถึงจะพูดแบบนั้นโซ่เหล่านั้นก็ไม่ได้จำกัดพลังทั้งหมดของมัน
ขณะที่หานเซิ่นกำลังสังเกตอยู่ ดวงตาของสิ่งมีชีวิตระดับราชันตัวนั้นก็เรืองแสงสีเขียวออกมาราวกับดวงประทีป
หานเซิ่นซ่อนตัวอยู่ภายใต้ใบเสมาราชาแมลงปีศาจ ขณะที่ดวงตาของมอนสเตอร์ตัวนั้นสว่างขึ้นเรื่อยๆ แต่แสงที่สว่างขึ้นเป็นอะไรที่ยากจะหันหน้าหนี
ตูม!
หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าสมองระเบิดอยู่ในหัวของเขา ภายในดวงตาที่เหมือนดวงประทีปนั้น หานเซิ่นคิดว่าเขาเห็นสัญลักษณ์ประหลาด มันดูไม่เหมือนจริง
สัญลักษณ์ถูกฝังเข้าไปในสมองของเขา ราวกับว่ามันถูกนาบด้วยเตารีดที่ร้อนระอุ และเมื่อสัญลักษณ์นั้นตราตรึงอย่างเต็มที่แล้ว มันก็เริ่มก่อพายุภายในจิตใจของเขา
มันเป็นพายุของจริงเช่นกัน หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าสายลมพัดไปทั่วร่างกายของเขา ในจิตใจเขาเห็นลมอ่อนๆพัดใบไม้ พายุหมุนในทะเลทรายและคลื่นของทะเลที่ก่อตัวเป็นสึนามิที่รุนแรง สายลมในรูปแบบต่างๆพลุ่งพล่านในสมองของเขา
หานเซิ่นรู้ว่าทั้งหมดนี่เกิดขึ้นภายในจินตนาการของเขาเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นของจริง
ผู้หญิงหน้ากากสีดำยืนอยู่ด้านนอกประตูหิน ขณะที่เอาหลังพิงกำแพง ดวงตาของเธอปิดลงราวกับว่าเธอกำลังรอคอยให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้นมา
“มนต์สังหารยีนดั้งเดิมถูกสะกดในที่แห่งนี้มาเป็นเวลาหลายล้านปี ราชันมากมายต่างก็อยากจะเรียนรู้มนต์สังหารยีนดั้งเดิม แต่พวกเขาก็ล้มเหลวทุกครั้ง นี่เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงได้ส่งหานเซิ่นมา ถึงแม้หานเซิ่นจะมีจิตใจที่แข็งแกร่งเท่ากับราชัน แต่เขาก็ไม่มีทางจะทนต่อมันได้อยู่ดี และคนที่จะต้องคอยมารับมือกับเรื่องนี้ก็เป็นข้า” ผู้หญิงหน้ากากสีดำพูดกับตัวเอง ดวงตาของเธอปิดลงราวกับว่าเธอกำลังฝันอยู่
หลังจากผ่านไปสักพัก ผู้หญิงคนนั้นก็ลืมตาขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
“เขาทนต่อพลังของมนต์สังหารยีนดั้งเดิมได้ยังไง?” ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้ว
ภายในโลกอันมืดมิด มีแค่สถานที่แห่งหนึ่งที่มีแสงสว่าง ภายใต้แสงสว่างสลัวๆมีเด็กชายวัย 6 ขวบกำลังต่อสู้กับนกประหลาดตัวหนึ่งอยู่
เด็กน้อยเคลื่อนไหวอย่างว่องไว ขณะที่เงาของเขาโฉบขึ้นเหนือพื้นราวกับเงาของนก เงาของเขามักจะช่วยเหลือเขาเป็นระยะๆ ขณะที่เขาต่อสู้กับนกประหลาดในอากาศ
ทันใดนั้นนกประหลาดและเด็กชายก็แยกจากกัน นกประหลาดหัวเราะออกมาและพูด
“เสี่ยวฮวามีพรสวรรค์จริงๆ ถ้าร่างกายศักดิ์สิทธิ์ของเขากลายเป็นระดับเทพเจ้าได้เมื่อไหร่ เขาจะทำให้เซเคร็ดกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”
“มันยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี ก่อนที่เขาจะกลายเป็นเทพเจ้า มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพัฒนาร่างกายศักดิ์สิทธิ์ให้ถึงระดับนั้น”
น้าเหมยพูดพร้อมกับกรอกตาของเธอ “แต่มันเกือบจะถึงเวลาที่บัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนจะปรากฏขึ้นมาแล้ว เสี่ยวฮวาจะเข้าร่วมและชิงชื่อเสียงกลับคืนสู่เซเคร็ดอีกครั้ง ทุกคนจะได้รู้ว่าเซเคร็ดยังไม่ล่มสลาย”
“ใช่แล้ว เขาจะต้องเข้าร่วมมัน” เหยี่ยวแก่พยักหน้า เขาหันมองไปที่แมวเก้าชีวิตและพูดต่อ “แล้วเจ้าคิดว่ายังไง?”
“ข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ผู้คนจะได้รู้ว่าเซเคร็ดมีสายเลือดใหม่” แมวเก้าชีวิตพูด
“ดี” เหยี่ยวแก่และคนอื่นๆดูตื่นเต้นขึ้นมา พวกเขาทุกคนพูดพร้อมกันว่า
“เสี่ยวฮวา เจ้าต้องได้รับอันดับที่หนึ่งเพื่อพวกเรา!”
ตลอดเวลาหนึ่งปี หานเซิ่นได้เข้าไปที่ถ้ำวิถีทางที่ถูกซ่อนทุกๆวัน ซึ่งทุกครั้งที่เขาไปที่นั่น เขาก็ต้องทนต่อพลังของมนต์สังหารยีนดั้งเดิม
มอนสเตอร์ภายในถ้ำถูกล่ามโซ่และสะกดพลังเอาไว้ แต่การมองเข้าไปในดวงตาของมันสามารถกระตุ้นพลังของมนต์สังหารยีนดั้งเดิมออกมาได้ เมื่อหานเซิ่นต่อสู้กับพลังนั้น เขาก็จะได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเขาได้รับพรจากน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมื่น ทำให้เขาเข้าได้กับทุกๆธาตุ ด้วยเหตุนั้นในตอนที่เขามองมนต์สังหารยีนดั้งเดิม มันก็เป็นอะไรที่ง่ายสำหรับเขาที่จะเข้าใจ
แต่พลังนั่นดูเหมือนจะไม่ได้มีผลอะไรกับเป่าเอ๋อ เธอเข้าไปในถ้ำพร้อมกับเขาทุกๆวัน แต่เธอก็ดูปกติราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบอะไร หัวของหานเซิ่นจะระเบิดด้วยพลังนั่น แต่เป่าเอ๋อกลับมองไปรอบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ตลอดเวลาปี หานเซิ่นใช้เวลาไปกับถ้ำวิถีทางที่ถูกซ่อนและสถานหยกขาว เมื่อไหร่ก็ตามที่ลมปราณหยกถูกปลดปล่อยออกมา วิญญาณหยกก็เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถพลาดได้
การไปที่ชั้นที่ 7 เพื่อดูดวิญญาณแฟรี่หยกกลายเป็นกิจวัตรของเขาไป และด้วยการทำแบบนั้นวิชากายหยกของเขาก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
“ในที่สุดวิชากายหยกก็พัฒนาไปสู่ระดับมาร์ควิสสักที”
หานเซิ่นดีใจกับเรื่องนี้ แต่น่าเสียดายที่เขายังอยู่ภายในสถานหยกขาวอยู่ ทำให้ยังไม่สามารถลองพลังใหม่ของกายหยกได้