Super God Gene – ตอนที่ 2770
ฐานของระฆังนั้นกว้างหนึ่งร้อยเมตร มันห้อยอยู่ระหว่างภูเขาทั้งสองลูก ซึ่งเมื่อดูจากน้ำหนักของระฆังก็ทำให้มันเป็นภาพที่น่าทึ่งสำหรับคนที่ได้เห็น
รอยแกะสลักลึกลับปกคลุมผิวของระฆัง และเนื่องจากขนาดที่ใหญ่ของระฆัง รอยแกะสลักจึงดูค่อนข้างแปลกประหลาด พวกมันดูเหมือนจะพรรณนาถึงนกตัวหนึ่งที่กำลังบินผ่านอุโมงที่เป็นเกลียวที่ซับซ้อน หานเซิ่นและคนอื่นไม่แน่ใจว่ามันหมายถึงอะไร
แต่บนด้านหน้าของระฆังมีการแกะสลักของนกขั้นทรูก็อตอยู่ มันไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับภาพแกะสลักนี้ มันพรรณนาถึงฟินิกซ์ขั้นทรูก็อต
สิ่งมีชีวิตมากมายยืนอยู่บนสะพานและมองไปที่ระฆังเหล็กสีดำ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างกลับไม่มีใครต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงมัน พวกเขาแค่จ้องมองไปที่วัตถุอย่างหลงเสน่ห์
หานเซิ่นสังเกตเห็นว่าบาร์และผู้อาวุโสนาเดอร์ก็อยู่ในหมู่คนพวกนั้นด้วย พวกเขาจ้องไปที่ระฆังด้วยสีหน้าเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตอื่น พวกเขาไม่ได้พยายามจะเข้าไปเอาระฆังนั่นมาเป็นของตัวเอง พวกเขาเอาแต่ยืนมองไปที่ระฆัง มันเป็นเหตุการณ์ประหลาดสำหรับหานเซิ่นที่จะได้เห็น
ดราก้อนวันส่งเสียงเรียกบาร์ แต่บาร์ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเขา สายตาของเดสทรอยเยอร์คนนั้นยังคงจ้องไปที่ระฆัง
“มีบางสิ่งผิดปกติ” ดราก้อนวันพูดขึ้นมา เขามองไปที่ระฆังเหล็กสีดำและขมวดคิ้ว
แต่มันไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องพูดมันออกมา หานเซิ่นและเป่าเหลียนสังเกตได้ถึงเรื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว บาร์และคนอื่นๆดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงจะไม่เมินเฉยต่อการที่คนอื่นเรียกชื่อของพวกเขา?
หานเซิ่นใช้ศาสตร์ตงเสวียนอย่างลับๆ และเขาก็โฟกัสความสนใจไปที่ภูเขาทั้งสองลูก สะพานไม้และระฆังเหล็กสีดำ โดยเขาหวังว่าจับสังเกตอะไรบางอย่างจากพวกมัน
ทันทีที่หานเซิ่นทำแบบนั้น เขาก็สังเกตได้ถึงบางสิ่งจริงๆ สะพานระหว่างภูเขาทั้งสองลูกและระฆังเหล็กขนาดใหญ่ดูเหมือนจะมีการเชื่อมต่อกัน พวกมันปลดปล่อยพลังบางอย่างที่ยากจะสัมผัสได้ออกมา มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลก
ภูเขา สะพานและระฆัง พวกมันเป็นสามสิ่งที่แตกต่างกัน ในสถานการณ์ปกติ พวกมันไม่ควรจะปลดปล่อยพลังแบบเดียวกันออกมา แต่ตอนนี้พวกมันทำแบบนั้น พลังงานที่เปล่งรัศมีออกมาจากพวกมันมีความยาวคลื่นเดียวกันทั้งหมด
“แปลกจริงๆ นี่มันแปลกมากๆ” เป่าเหลียนพึมพำ
“เจ้าพบอะไรอย่างนั้นหรอ?” ดราก้อนวันถาม
เป่าเหลียนชี้ไปที่ภูเขาลูกใหญ่สองลูกและพูด “เจ้าไม่คิดว่าภูเขาทั้งสองลูกนี้ดูค่อนข้างพิเศษหรอกหรอ?”
“พิเศษ? เจ้ากำลังพูดถึงความพิเศษแบบไหน?” ดราก้อนวันมองไปที่ภูเขาทั้งสองลูกอีกครั้ง แต่เขาดูเหมือนจะไม่สามารถสังเกตถึงอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับพวกมัน
“รูปร่างของพวกมัน เจ้าไม่คิดว่าภูเขาทั้งสองลูกนี้ดูเหมือนกับวานรยักษ์สองตัวหรอ?” เป่าเหลียนถามพร้อมกับชี้ไปที่ภูเขาทั้งสองลูก
หานเซิ่นมองไปที่ภูเขาทั้งสองลูกมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่เขาไม่ได้สังเกตถึงเรื่องนั้น ตอนนี้เมื่อเป่าเหลียนพูดขึ้นมา หานเซิ่นก็สังเกตเห็นว่าภูเขาทั้งสองลูกดูเหมือนกับวานรสองตัวที่กำลังถือสะพานไม้อยู่ พวกมันแบกรับน้ำหนักของระฆังเหล็กสีดำ ซึ่งดูเหมือนพร้อมที่จะร่วงลงมาได้ทุกเมื่อ
หานเซิ่นมีคำถามมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เห็น เขารู้สึกสงสัยเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของมัน แต่เขาไม่ได้ข้อสรุปอะไร ดราก้อนวันมองไปที่มันอยู่สักพัก และไม่นานหลังจากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกว้าง
“วานรสองตัวกำลังถือสะพานไม้ นั่นหมายความว่าพวกเรากำลังมองไปที่ภูเขาสองวานรในตำนานอย่างนั้นหรอ? ไม่มีทาง! ภูเขาสองวานรเป็นของเซเคร็ด และมันถูกทำลายไปนานแล้ว ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
“นี่อาจจะไม่ใช่ภูเขาสองวานรของจริง มันอาจจะเป็นแค่ภูเขาที่ดูคล้ายคลึงกันเท่านั้น”
เป่าเหลียนพูด แต่เขาไม่สามารถละสายตาไปจากภูเขาสองวานรได้ มันยากที่จะบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ภูเขาสองวานรคืออะไร?” หานเซิ่นไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาก่อน เขามองไปที่เป่าเหลียนและดราก้อนวัน
“ในตำนานเกี่ยวกับเซเคร็ด มันมีเรื่องเล่าที่บอกถึงภูเขาที่มีชื่อเสียงมากๆอยู่”
ดราก้อนวันอธิบาย “แต่เดิมภูเขาสองวานรเป็นแค่ภูเขาธรรมดาๆ พวกมันไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ต่อมาภายหลัง ผู้นำของเซเคร็ดและสหายที่เขาเชื่อใจเล่นหมากรุกกันเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ที่สุดแล้วเกมส์จบลงด้วยผลเสมอกัน ดังนั้นผู้นำของเซเคร็ดจึงได้ตัดสินใจสร้างสะพานระหว่างภูเขาทั้งสองลูกและสร้างศาลาที่ใจกลางของสะพานเพื่อไว้สำหรับเล่นหมากรุก แบบนั้นเขาก็จะได้เล่นหมากรุกกับสหายคนนั้นได้ตลอดกาล ภูเขาทั้งสองลูกดูเหมือนกับวานร และหลังจากที่สะพานกับศาลาถูกสร้างขึ้น มันก็ดูเหมือนกับว่าวานรสองตัวกำลังแบกเกี้ยวเอาไว้ ด้วยเหตุนั้นในบางครั้งภูเขาสองวานรจึงถูกเรียกว่าภูเขาสองวานรแบกเกี้ยว”
เป่าเหลียนเล่าเรื่องต่อไปว่า “ในตำนานกล่าวว่าศาลาถูกใช้เล่นเกมส์หมากรุกหลายเกมส์ระหว่างผู้นำเซเคร็ดและสหายที่เขาเชื่อใจ แต่ในตอนที่เซเคร็ดล่มสลาย ภูเขาสองวานรก็ถูกทำลายไปด้วย สะพานและศาลานั้นหายสาบสูญไป สิ่งที่พวกเรากำลังเห็นอยู่ที่นี่นั้นอาจจะดูคล้ายคลึงกัน แต่มันไม่ใช่ภูเขาสองวานรจริงๆ”
ดราก้อนวันพูดต่อ “ถึงแม้การเคลื่อนย้ายภูเขาจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดของภูเขาสองวานรก็คือบันทึกหมากรุกที่อยู่ภายในศาลา และเนื่องจากศาลาที่เก็บบันทึกเหล่านั้นหายสาบสูญไปแล้ว ใครกันจะไปเสียเวลาเคลื่อนย้ายภูเขาสองวานรมาไว้ที่นี่? ตำแหน่งที่ศาลาเคยอยู่นั้นถูกแทนที่ด้วยระฆังขนาดใหญ่ ด้วยเหตุนั้นข้าไม่คิดว่านี่จะเป็นภูเขาสองวานรที่มาจากเซเคร็ด”
หานเซิ่นไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดเสริมขึ้นมา เขาแค่ฟังทั้งสองคนอธิบายถึงประวัติของมัน
“ใครกันที่เป็นคนเล่นหมากรุกกับผู้นำเซเคร็ด? ข้าเดิมพันว่าสหายของผู้นำเซเคร็ดคนนี้จะต้องมีชื่อเสียงมากๆ เขามีชื่อว่าอะไรและเขามาจากเผ่าพันธุ์ไหนอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
ดราก้อนวันยักไหล่และพูด “นั่นคือทั้งหมดที่ข้ารู้ มันถูกบันทึกอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์พวกเรา แต่ข้าไม่เคยอ่านพวกมันด้วยตัวเอง และหนังสือประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าคนที่เล่นหมากรุกกับผู้นำเซเคร็ดเป็นใคร
“เมื่อก่อนนั้น ผู้นำเซเคร็ดปกครองเกือบทั้งจักรวาล เขามีผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งมากมาย เขามีสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์และสิบขุนพลที่ล้วนเป็นยอดฝีมือที่ทรงพลัง มันยากที่จะบอกได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนเล่นหมากรุกกับผู้นำเซเคร็ด” เป่าเหลียนพูด
หานเซิ่นอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงระฆังดังขึ้นมา ถึงแม้อากาศรอบๆจะยังคงสงบนิ่งและไร้ซึ่งสายลม แต่ระฆังเหล็กสีดำก็เริ่มสั่นไหวด้วยตัวมันเองและปลดปล่อยเสียงที่ดังกระหึ่มออกมา
เสียงระฆังนั้นดูเหมือนจะเป็นเสียงธรรมดาทั่วไป มันไม่ได้มีอะไรพิเศษ และดูเหมือนมันจะไม่ได้แฝงพลังอะไรเอาไว้เช่นกัน
แต่วินาทีต่อมา หานเซิ่น เป่าเหลียนและดราก้อนวันก็ต้องตกตะลึง ในจังหวะที่เสียงระฆังดังขึ้นมา จู่ๆรูปลักษณ์ที่เหมือนกับถ่านของต้นไม้และภูเขาก็จางหายไป ไม่นานสีสันก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง
รูปลักษณ์ที่เหมือนกับถ่านของต้นไม้หายไป และเฉดสีเขียวกลันคืนมาสู่พวกมันอีกครั้ง ใบไม้งอกขึ้นมาต่อหน้าต่อตาหานเซิ่นและคนอื่นๆ พืชพันธุ์ต่างๆรอบตัวของพวกเขากลับมามีชีวิตอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ทั่วภูเขาที่เหมือนกับสองวานร พุ่มไม้และก่อหญ้างอกขึ้นมา สิ่งที่หานเซิ่นและคนอื่นกำลังได้เห็นเป็นอะไรที่แปลกมากๆ มันเหมือนกับคนที่ตายแล้วกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
วินาทีต่อมา โลกรอบๆตัวพวกเขาก็เต็มไปด้วยสีเขียว พืชพันธุ์แพร่กระจายออกไปปกคลุมพื้นผิวทั้งหมด แม้แต่ภูเขาทั้งสองลูกก็ดูเป็นสีเขียวเช่นกัน ทุกอย่างในสายตาของพวกเขาดูเหมือนจะเปล่งรัศมีของพลังชีวิต ดินแดนแห่งนี้ดูแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
สิ่งเดียวที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปก็คือระฆังเหล็กสีดำ มันยังดูเหมือนเดิม และเมื่อเสียงของระฆังหยุดไปแล้ว มันก็กลับไปนิ่งสนิทดั่งเดิม