บทที่ 291 ลูกบุญธรรม
ทั้งคุณพ่อและคุณแม่จิ้นต่างก็สุภาพอย่างมาก พวกเขาต่างชวนเธอกินข้าวไม่หยุด
อีกอย่างยิ่งมีจิ้นเฟิงเหรา ที่คอยเล่าเรื่องน่าสนใจต่างๆ ทำให้บรรยากาศดูเหมาะสม เจียงสื้อสื้อจึงกินอาหารมื้อนี้ได้อย่างสบายใจไร้พิษภัยใดๆ
หลังจากกินเสร็จ จิ้นเฟิงเฉินก็ถูกพ่อจิ้นเรียกตัวไปที่ห้องหนังสือ ส่วนจิ้นเฟิงเหราก็พาเสี่ยวเป่าออกไปเดินเล่นด้านนอก
ส่วนเจียงสื้อสื้อที่เหลืออยู่คนเดียว ตอนแรกก็คิดจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง แต่กลับถูกคุณแม่จิ้นเรียกตัวไว้ก่อน
“มานี่หน่อยสิคุณเจียง”
เธอจึงทำได้เพียงพยักหน้ายิ้ม “ค่ะ”
คุณแม่จิ้นนั่งลงบนโซฟาก่อน พอเห็นว่าเธอยังยืนนิ่งไม่ขยับ ก็กวักมือเรียกเธอ “รีบมานั่งสิ”
เจียงสื้อสื้อเดินไปหา แล้วนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวเยื้องๆ คุณแม่จิ้นพอดี
พลันบรรยากาศก็ตกเข้าสู่ความเงียบงัน
เจียงสื้อสื้อก้มหน้าก้มตา มือทั้งสองที่วางอยู่บนตักก็กำแน่น เผยให้เห็นอารมณ์ที่ตึงเครียดได้อย่างชัดเจน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน กว่าที่คุณแม่จิ้นจะพูดขึ้น “คุณเจียง……”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบ เจียงสื้อสื้อก็รีบพูดขึ้น : “คุณป้าคะ คุณป้าจะเรียกหนูว่าสื้อสื้อก็ได้นะคะ”
คุณแม่จิ้งนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ ขึ้นทันที โดยไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด “ได้สิจ้ะ ถ้าอย่างนั้นป้าขอเรียกหนูว่าสื้อสื้อแล้วกันนะ ไม่อย่างนั้นถ้าป้ายังเรียกหนูว่าคุณเจียงอีกล่ะก็ คงต้องดูห่างเหินแปลกๆ แน่”
เจียงสื้อสื้อยิ้มตอบ
คุณแม่จิ้นนิ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นต่อ : “หนูเป็นผู้หญิงที่ดีนะ ป้าชอบมากเลยล่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น ใจของเจียงสื้อสื้อก็อดไม่ได้ ที่จะรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีประหลาดๆ
เป็นไปอย่างที่คาด เธอได้ยินคุณแม่จิ้นพูดขึ้นต่อว่า : “เรื่องเมื่อก่อนของหนูน่ะป้ารู้หมดแล้วล่ะ”
รู้หมดเลยหรือ?
แววตาของเจียงสื้อสื้อเบิกโพลงงขึ้นทันใด ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น : “คุณป้าคะ คือหนู……”
“ไม่ต้องเครียดไปหรอก” คุณแม่จิ้นยกมือขึ้นห้าม “ป้าบอกไปแล้วนี่ว่าหนูเป็นเด็กดี ถ้าหากไม่ใช่เพราะหมดหนทาง หนูก็คงไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก ถูกไหม?” คุณแม่จิ้นมองเธออย่างอ่อนโยน
เจียงสื้อสื้อเองก็พยักหน้ารับ “ถูกค่ะ”
หากตอนนั้นเจียงเจิ้นเอาเงินออกมาช่วยแม่ไว้ล่ะก็ ตัวเธอก็คงไม่ต้องไปอุ้มบุญให้ใคร แล้วก็จะไม่ถูกบังคับให้ต้องแยกจากลูกของเธออีกด้วย
“ก่อนหน้านี้ที่ป้าบอกว่าจะรับหนูมาเป็นลูกบุญธรรมน่ะ ป้าพูดด้วยใจจริงนะ ไม่รู้ว่าหนูจะยอมหรือเปล่า?”
เจียงสื้อสื้อฝืนยิ้มอยู่ในใจ ทำไมถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกกันล่ะ?
ถ้าหากเธอตอบว่าไม่ยอมล่ะก็ คุณแม่จิ้นก็คงไม่พอใจแน่
แต่หากตอบตกลงไป แล้วเธอกับเฟิ่งเฉินจะกลายเป็นอะไรไปล่ะ
ขณะที่เธอกำลังรู้สึกลำบากใจอยู่นั้น คุณแม่จิ้นก็หัวเราะขึ้นฉับพลัน “จริงๆ แล้วป้ารู้ว่าหนูไม่ยอมหรอก ถูกไหม?”
“ขอโทษด้วยค่ะคุณป้า”
คุณแม่จิ้นส่ายหัว “ไม่ต้องขอโทษหรอก จริงๆ แล้วป้ากับอาของหนูก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรหรอกนะ แต่หนูเองก็รู้สึกสถานการณ์ของตระกูลจิ้นดี ว่ามีคนอยู่มากที่จ้องอยากจะเห็นตระกูลจิ้นเป็นตัวตลก ถ้าหากหนูกับเฟิ่งเฉินแต่งงานกันล่ะก็ แบบนั้น…ตระกูลเฉินก็จะกลายเป็นหัวข้อสนทนา หลังมื้ออาหารไปจริงๆ”
คุณแม่จิ้นพูดเสียเยอะขนาดนี้ ทำให้เจียงสื้อสื้อที่ฟังอยู่ รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทันที
หากพูดเกี่ยวกับตระกูลจิ้นแล้ว เธอเองก็ไม่เหมาะสมกับจิ้นเฟิงเฉินจริงๆ นั่นล่ะ
ดังนั้นเธอทำได้เพียงเลือกที่จะจากไปเท่านั้น
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเสี่ยวเป่าล่ะก็ ตัวเธอเองก็คงจะไม่กลับมา จิ้นเฟิงเฉินก็คงจะได้แต่งงาน กับผู้หญิงที่คุณแม่จิ้นชื่นชอบ
เมื่อเป็นแบบนี้ ตระกูลจิ้นก็ยังคงเป็นตระกูล ที่ทำให้คนอื่นเคารพยกย่องได้อย่างเดิม
พอเห็นว่าเธอนิ่งเงียบไม่พูดอะไร คุณแม่จิ้นจึงถอนหายใจดังเฮือกพร้อมพูดขึ้น : “สื้อสื้อ เฟิงเฉินเขาก็เหมือนกับพ่อของเขานั่นล่ะ เป็นคนถือทิฐิทั้งคู่ หากมีเรื่องใดที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ก็ไม่อาจจะไปเปลี่ยนความคิดได้หรอกนะ ดังนั้นป้าหวังว่าหนูจะเข้าใจความทุ่มเทของป้านะ”
เจียงสื้อสื้อฝืนยิ้มออกมา “หนูเข้าใจค่ะคุณป้า หนูรู้ดีค่ะว่าควรทำยังไง”
คุณแม่จิ้นได้ยินก็เผยรอยยิ้มที่พึงพอใจออกมา “ป้าเชื่อหนูนะ”
“กำลังคุยอะไรกันอยู่หรือครับแม่?” จิ้นเฟิงเหราจูงเสี่ยวเป่าเดินเข้ามา พอเห็นว่าแม่ของตนกับเจียงสื้อสื้อนั่งอยู่กันในห้องรับแขกแค่ตามลำพัง ก็รู้สึกตกใจ เพราะคิดว่าแม่ของเขาคิดจะหาความลำบากใจมาให้พี่สะใภ้หรือเปล่า?
เขาจึงรีบเดินเข้าไป แล้วทำเป็นถามด้วยท่าทีสบายๆ
“ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” คุณแม่จิ้นยิ้มตอบ
จิ้นเฟิงเหราหันไปมองแม่ทีเจียงสื้อสื้อที ก็พบว่าอาจจะไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่ตนคิดก็ได้ จึงลอบถอนหายใจโล่งอก
“หม่ามี๊” เสี่ยวเป่าโผเข้ากอดเจียงสื้อสื้อ
เจียงสื้อสื้อเองก็ลูบหัวเขาด้วยความรักและเอ็นดู
พอเห็นว่าเธอกับเสี่ยวเป่าสนิทกันขนาดนี้ ในใจของคุณแม่จิ้นก็รู้สึกไม่สบอารมณ์นิดๆ เป็นเพราะตั้งแต่ที่เจียงสื้อสื้อมา ปู่กับย่าก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเสี่ยวเป่าอีกเลย
ไม่ว่าจะพูดหรือจะเงียบก็มีแต่หม่ามี๊ทั้งนั้น ทำให้ผู้เป็นปู่เป็นย่าอย่างพวกเขารู้สึกอิจฉาจริงๆ
“มานี่สิเสี่ยวเป่า” คุณแม่จิ้นส่งเสียงเรียกเสี่ยวเป่า
แต่เสี่ยวเป่าติดหนึบอยู่ในอ้อมกอดของเจียงสื้อสื้อ ไม่ยอมไปหาเธอเลย
เจียงสื้อสื้อจึงก้มหน้ามองเขา พร้อมกับพูดเสียงแผ่ว : “ไปหาคุณย่าสิ”
เพียงแค่เธอพูด เสี่ยวเป่าก็เดินไปหาคุณแม่จิ้น แต่ด้วยความไม่เต็มใจ
คุณแม่จิ้นอุ้มเขาขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะพูดพลางหัวเราะคิกคัก : “เสี่ยวเป่า หลังจากนี้จะเรียกคุณป้าเจียงว่าหม่ามี๊ไม่ได้แล้วนะ”
ทันทีที่พูด จิ้นเฟิงเหราก็เลิกคิ้วมอง ดูสิ จู่ๆ ก็พูดออกมา พลันเขาก็หันไปมองทางเจียงสื้อสื้อ ซึ่งเธอก็ยังคงทำสีหน้าเรียบเฉย ดูไม่ออกเลยว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า
“ทำไมล่ะครับ?” เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นมองคุณแม่จิ้น
“ก็เพราะว่าเธอกับพ่อของหลานยังไม่ได้แต่งงานกันยังไงล่ะ หากไม่ใช่สามีภรรยากัน ก็จะเรียกว่าหม่ามี๊ไม่ได้หรอกนะ”
เสี่ยวเป่าขมวดคิ้ว “แต่ในใจของผม หม่ามี๊ก็คือหม่ามี๊ของผมนะครับ”
“เสี่ยวเป่า ถ้าหลานยังเรียกแบบนี้ จะทำให้ป้าเจียงลำบากใจเอานะ เธอยังไม่ได้แต่งงานเลย แล้วจะมีลูกตัวโตอย่างหลานแบบนี้ได้ยังไงกันล่ะ?”
“แต่แดดดี๊เองก็ยังไม่ได้แต่งงานไม่ใช่หรือครับ? แล้วแดดดี๊จะมีลูกที่โตขนาดนี้อย่างผมได้ยังไงกันล่ะครับ?”
คุณแม่จิ้นได้ฟังเอง ก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“ฮ่าๆๆ……” จิ้นเฟิงเหราระเบิดหัวเราะออกมา “แม่ครับ คิดไม่ถึงเลยนะครับ ว่าแม้แต่เด็กตัวน้อยๆ แม่ยังเถียงไม่ชนะเลยน่ะ”
“หุบปากไปเลย!” คุณแม่จิ้นจ้องเขาเขม็งอย่างฉุนเฉียว ก่อนจะหันไปพูดกับเสี่ยวเป่าอีกรอบ : “เสี่ยวเป่า แดดดี๊ของหลานเป็นผู้ชาย แต่คุณป้าเจียงของหลานเป็นผู้หญิง มันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว”
เสี่ยวเป่าเป็นเด็กที่ขี้สงสัยอย่างมากอยู่แล้ว จึงถามไปอย่างใสซื่อ : “มีอะไรไม่เหมือนกันหรือครับ?”
“ก็คือ……” คุณแม่จิ้นเองก็ไม่รู้ ว่าควรจะอธิบายยังไงดี
ขณะนั้นเอง เจียงสื้อสื้อก็พูดขึ้น “เสี่ยวเป่า เชื่อฟังคุณย่านะ ต่อจากนี้ก็ไม่ต้องเรียกป้าว่าหม่ามี๊แล้วล่ะ”
“หม่ามี๊ก็ไม่ชอบผมแล้วเหมือนกันหรือครับ?” เสี่ยวเป่าหันกลับมามอง
เธอจะไม่ชอบเขาได้ยังไงกันล่ะ?
เพียงแต่คุณแม่จิ้นพูดต่อหน้าเธอแบบนี้ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เธอไม่พูดอะไรได้ยังไงกัน
เจียงสื้อสื้อจึงทำได้เพียงยิ้มตอบ : “แค่เชื่อฟังคุณย่าก็พอแล้วล่ะ”
“ผมไม่อยาก” เสี่ยวเป่าปฏิเสธทันควัน
หลังจากนั้นเขาก็ปัดมือคุณแม่จิ้นออก แล้วโผเข้าไปในอ้อมกอดของเธอ พร้อมทั้งเงยหน้าขึ้นพูดอย่างแน่วแน่ : “ผมจะเรียกหม่ามี๊ว่าหม่ามี๊ เพราะหม่ามี๊เป็นหม่ามี๊ของผมยังไงล่ะ”
“เสี่ยวเป่า!” คุณแม่จิ้นเริ่มส่งเสียงเอ็ดอย่างไม่พอใจ
นี่เด็กคนนี้เริ่มไม่เชื่อฟังตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย
“ผมไม่อยากก็คือไม่อยาก” เสี่ยวเป่าเบือนหน้าหนี ไม่อยากจะสนใจคุณแม่จิ้นอีก
พอเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มจะไม่ค่อยปกติ จิ้นเฟิงเหราก็เป็นห่วง กลัวว่าแม่ของเขาจะไปพาลโกรธใส่เจียงสื้อสื้อ จึงรีบพูดขึ้นว่า : “แม่ครับ เสี่ยวเป่าคงจะเรียกจนชิน จะให้เปลี่ยนกะทันหันก็คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ อย่างน้อยก็ให้เวลาเขา ได้ปรับตัวสักนิดสักหน่อยก็ดีนะครับ”
“ชินแล้ว? แก้ไม่ได้?” คุณแม่จิ้นขมวดคิ้ว “แล้วเขาเพิ่งจะเรียกได้นานแค่ไหนเองล่ะ?”
“วางใจเถอะค่ะคุณป้า เดี๋ยวหนูจะให้เสี่ยวเป่าแก้คำพูดเองค่ะ” เจียงสื้อสื้อพูด
เธอเองก็ไม่อยากจะทำให้คุณแม่จิ้นไม่พอใจ เพราะว่าตัวเองหรอกนะ
“สื้อสื้อ มีหนูที่เข้าใจป้าจริงๆ” คุณแม่จิ้นหัวเราะให้เธอ
เจียงสื้อสื้อเองก็ฉีกยิ้ม แต่จริงๆ แล้วในใจของเธอกลับรู้สึกสับสนปนเปไปหมด