บทที่ 495 จุดที่โดดเดี่ยว
เมื่อพ่อบ้านได้ยินดังนั้นก็ตื่นตระหนก เขารีบถามขึ้นว่า “ผู้ป่วยมีอันตรายถึงชีวิตหรือไม่ครับ?”
“หมอบอกไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นจึงต้องการให้คนในครอบครัวของเขามาเซ็นชื่อยอมรับการผ่าตัด ไม่ฉะนั้นอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ พวกเราไม่สามารถรับผิดชอบได้”
เมื่อผู้ดูแลได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าเศร้าทันที ตอนนี้เจียงนวลนวลไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ส่วนเสิ่นซูหลันนั้นก็หายตัวไป เขาไม่รู้ว่าเจียงเจิ้นยังจะเหลือญาติที่ไหนอีก
ทันใดนั้นใบหน้าของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นในสมองของเขาเจียงสื้อสื้อ!
ใช่แล้ว เจียงสื้อสื้อก็เป็นลูกสาวของเจียงเจิ้นเหมือนกัน บางทีไปหาเธออาจจะได้ผล
เมื่อคิดได้ดังนั้นผู้ดูแลก็โทรศัพท์ไปหาเจียงสื้อสื้อ
ในตอนนี้เจียงสื้อสื้ออยู่บ้านคอยดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเอง โทรศัพท์ของเธอดังขึ้นกะทันหัน
เมื่อมองไปที่หน้าจอพบว่าเป็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก ในความคิดแรกเธอไม่อยากจะสนใจมัน แต่ไม่รู้เพราะอะไร ในที่สุดเธอก็หยิบมันขึ้นมาแล้วรับสาย
เสียงอันร้อนรนของผู้ดูแลดังเข้ามาในหูของเธอ
“คุณเจียงครับ ขอเชิญมาที่โรงพยาบาลฮุ่ยหมินหน่อยได้ไหม ตอนนี้นายท่านอยู่ในภาวะวิกฤตครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดจากผู้ดูแล เจียงสื้อสื้อก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย เจียงเจิ้นอยู่ในวิกฤตอย่างนั้นหรือ?
เป็นไปได้อย่างไร เขารักษาสุขภาพของตนเองจะตายไป
เมื่อคิดไปคิดมา เจียงสื้อสื้อก็ยังไม่เชื่อคำพูดของผู้ดูแลเท่าไหร่นัก เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า
“คุณลุงผู้ดูแลคะ ถ้านี่เป็นฉากที่เจียงเจิ้นจัดแสดงขึ้น ฉันคงไม่ไปแน่ อีกอย่างตอนนี้ฉันไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก”
เมื่อพบว่าเธอไม่เชื่อ ผู้ดูแลจึงได้หยิบโทรศัพท์ส่งให้คุณหมอที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ผมคือแพทย์โรงพยาบาลฮุ่ยหมินตอนนี้ผู้ป่วยอยู่ในขีดอันตราย ถ้าคุณเป็นญาติของผู้ป่วยรบกวนมาที่โรงพยาบาลหน่อยนะครับ”
เมื่อสิ้นเสียงลง ผู้ดูแลก็พูดต่อว่า “คุณสื้อสื้อครับ ตอนนี้ข้างกายนายท่านไม่เหลือใครเลย นายหญิงก็ไปแล้ว คุณหนูรองตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน คุณหมอบอกว่านายท่านอยู่ในขีดอันตรายจะต้องได้รับการเซ็นรับรองจากญาติ ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี”
น้ำเสียงของผู้ดูแลคล้ายกับกำลังจะร้องไห้ ทำให้เจียงสื้อสื้อเชื่อเขา
เมื่อรู้ว่าเจียงเจิ้นกำลังอยู่ในขั้นวิกฤติจริงๆ เจียงสื้อสื้อก็ตกตะลึง
แม้เธอจะโกรธแค้นเกลียดชังเจียงเจิ้น แต่อย่างไรก็ไม่สามารถดูเขาตายไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ได้
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
เมื่อวางสายลงเจียงสื้อสื้อก็เก็บข้าวของแล้วออกจากประตูบ้าน
บังเอิญพบกับแม่จิ้นที่เดินออกมาจากห้อง เมื่อเห็นท่าทางของเจียงสื้อสื้อที่ไม่สู้ดีนัก ก็รีบเอ่ยถามขึ้นว่า “สื้อสื้อ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
“แม่คะ เจียง……พ่อของหนูอยู่ในขั้นวิกฤติ……ตอนนี้กำลังรอหนูเดินทางไปเซ็นชื่อ……”
แม้ว่าเธอจะไม่อยากพูดคำว่าพ่อออกมาเท่าไหร่นักแต่ท้ายที่สุดสื้อสื้อก็พูดมันออกมา
แม่จิ้นก็ตกตะลึงเช่นกัน หลังจากนั้นเธอก็ได้ปลอบประโลมว่า “วางใจเถอะนะสื้อสื้อ ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก เดี๋ยวแม่จะโทรหาจิ้นเฟิงเฉิน เราเดินทางไประมัดระวังด้วยนะ”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้าตอบรับแล้วเดินจากไป
หลังจากขึ้นไปบนรถ เจียงสื้อสื้อก็รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่
การที่เจียงเจิ้นมีจุดจบเช่นวันนี้ล้วนเป็นเขาที่รนหามันเอง
ลูกสาวที่เขาคอยเอาใจใส่มาทั้งชีวิตและเมียน้อย สุดท้ายแล้วก็หักหลังเขาและจากไป
ตอนเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ต้องเป็นเธอ ลูกสาวที่พ่อไม่อยากจะยอมรับนักคอยจัดการธุระให้
พูดแล้วมันก็ช่างน่าขำ
น้ำตาอดไม่ได้ที่เอ่อล้นและไหลริน เจียงสื้อสื้อไม่เข้าใจว่านี่คือ ความเศร้าหรือความคับแค้นกันแน่
ในไม่ช้ารถก็ขับมาหยุดอยู่หน้าโรงพยาบาล เจียงสื้อสื้อรีบวิ่งเข้าไปยังห้อง ICU
ผู้ดูแลยืนรออย่างอยู่ไม่ติด
ทุกวินาทีที่ผ่านไปก็หมายความว่าชีวิตของเจียงเจิ้นจะนับถอยหลังไปหนึ่งวินาที
เมื่อหันมาพบเจียงสื้อสื้อ เขาก็รีบโบกมือให้เธอ
เจียงสื้อสื้อเดินมาหยุดอยู่ข้างผู้ดูแลและเอ่ยถามขึ้นว่า “เขาเป็นยังไงบ้าง?”
“หมอบอกว่าถ้าญาติไม่มาเซ็นชื่อให้ ข้างในก็จะไม่อาจทำการผ่าตัดได้ ตอนนี้สถานการณ์ไม่ดีเลยครับ” ผู้ดูแลพูดด้วยท่าทางกังวล
ในขณะนั้นเองประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง ทีมแพทย์เดินออกมา
“ญาติผู้ป่วยมาถึงหรือยัง?”
เจียงสื้อสื้อได้ยินดังนั้นก็รีบเดินเข้าไปแล้วตอบว่า “ฉันเป็นลูกสาวของผู้ป่วยค่ะ”
เเพทย์มองไปที่เจียงสื้อสื้อจากนั้นยื่นเอกสารใบหนึ่งให้แก่เธอ
“นี่คือเอกสารรับรองการผ่าตัด ถ้าไม่มีอะไรติดขัดรบกวนเซ็นชื่อตรงนี้”
เจียงสื้อสื้อยื่นมืออันสั่นเทาไปรับเอกสารนั้นมา ชื่อบนเอกสารปรากฏเป็นเจียงเจิ้นจริงๆ
เธอไม่กล้าลังเล เจียงสื้อสื้อรีบเซ็นชื่อตรงญาติผู้ป่วยทันที
หลังจากนั้นเธอก็นั่งรอและพบว่าไฟในห้องฉุกเฉินถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง
เธอนั่งอยู่ตรงทางเดินของโรงพยาบาล ในครั้งนี้เจียงสื้อสื้อรู้สึกว่าเจียงเจิ้นอาการหนักมากจริงๆ
เมื่อนึกย้อนไป หลายปีมานี้ความรู้สึกของเจียงสื้อสื้อก็ยากที่จะบรรยายออกมา
สรุปแล้วตอนนี้เธออ่อนแอและบอบบางมาก
ผ่านไปสักพักจิ้นเฟิงเฉินก็มาถึงโรงพยาบาล
คนแรกที่เขาเห็นก็คือเจียงสื้อสื้อที่นั่งอยู่โดดเดี่ยวบนเก้าอี้ มองไปแล้วช่างอ่อนแอเหลือเกิน
จิ้นเฟิงเฉินรีบเดินเข้าไปคว้าเธอมาไว้ในอ้อมอก มือทั้งสองข้างของเขากุมมือเธออยู่
“ไม่เป็นไรแล้วครับสื้อสื้อ คุณยังมีผมอยู่นะ” เขาปลอบโยนเธอเบาๆ
“เฟิงเฉินค่ะ บางทีฉันก็รู้สึกว่าเบื้องบนไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ฉันไม่เคยได้รับอะไรมาจากเขาก่อนหน้านี้แท้ๆ ทำไมตอนนี้ฉันต้องมานั่งจัดการเรื่องเหล่านี้ให้เขาด้วย” เจียงสื้อสื้อถอนหายใจแล้วพึมพำออกมา
ความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในสมองของเธอ ทำให้เธอไม่อาจก้าวออกมาจากความรู้สึกนั้นได้
เธอรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมจริงๆ ทั้งๆที่เธอเป็นคนถูกทำร้าย และเป็นฝีมือของคนที่นอนอยู่ในห้องฉุกเฉินนี้
จิ้นเฟิงเฉินได้ยินดังนั้นโอบกอดเธอเข้ามาแน่น แล้วปลอบเธอด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“สื้อสื้อครับ ถือว่าทำบุญเถอะนะ การที่เจียงเจิ้นถูกญาติทุกคนหักหลังเขาแบบนี้ก็นับว่าเขาได้ชดใช้กรรมตัวเองไปแล้ว ตอนนี้คุณยังมีผม”
สิ่งที่จิ้นเฟิงเฉินพูดมานั้นไม่ใช่ว่าเจียงสื้อสื้อไม่เข้าใจ เพียงแต่เธอไม่อาจทำใจได้เท่านั้นเอง
ท้ายที่สุดเจียงสื้อสื้อก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ฉันจะไม่เข้ามายุ่งด้วยก็ไม่ได้ อย่างไรเสียเลือดของเขาก็ยังหมุนเวียนอยู่ในร่างกายฉัน จะให้ฉันอกตัญญูแบบนั้นได้อย่างไร”
เนื่องจากรู้ดีว่าเธอกำลังอึดอัดใจ จึงทำให้จิ้นเฟิงเฉินเป็นทุกข์ไปด้วย
อีกทั้งตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ จิ้นเฟิงเฉินจึงได้พูดขึ้นว่า “สื้อสื้อครับ ถ้าคุณเชื่อใจผม เรื่องนี้ปล่อยให้ผมจัดการเอง คุณไม่จำเป็นต้องเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้”
เจียงสื้อสื้อคิดอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย เธอเชื่อว่าจิ้นเฟิงเฉินจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างดี
ทั้งสองอยู่ในโรงพยาบาลอีกสักพักก็จากไปพร้อมกัน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน แม่จิ้นเห็นทั้งสองคนอารมณ์ไม่ดีนักจึงได้เดินเข้ามาถาม
จิ้นเฟิงเฉินเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างคร่าวๆให้แม่จิ้นฟัง แม่จิ้นก็โมโหมาก
ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกเห็นใจเจียงสื้อสื้อเป็นอย่างยิ่ง ชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอช่างลำบากมากจริงๆ
การที่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับครอบครัวแบบนี้เธอช่างโชคร้ายจริงๆ
แม่จิ้นจับมือเจียงสื้อสื้อแล้วพูดว่า “สื้อสื้อ ต่อไปนี้อยู่ห่างจากครอบครัวแบบนี้ได้ก็ดี ไม่แน่ว่าวันไหนเขาอาจจะหาเรื่องมาให้เดือดร้อนอีกก็ได้”
เมื่อได้ยินแม่จิ้นพูดดังนั้น เจียงสื้อสื้อก็พยักหน้าเห็นด้วย
“แม่คะ หนูรู้แล้ว ตอนนี้หนูเพียงต้องการแค่มีเฟิงเฉินและเจ้าตัวเล็กอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข พวกเราสร้างครอบครัวด้วยกัน เรื่องอื่นๆหนูไม่อยากสนใจอีกแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอดังนั้นแม่จิ้นก็รู้สึกวางใจ
เมื่อเห็นบรรยากาศค่อนข้างเคร่งขรึม จิ้นเฟิงเหราจึงได้ลุกขึ้นมา
เอื้อมมือมากอดแม่จิ้นแล้วพูดว่า “เอาล่ะแม่ครับอย่ามัวแต่พูดถึงเรื่องไม่น่ายินดีแบบนี้สิ พวกเรามาจัดการเรื่องงานแต่งกันเถอะ”