ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! – บทที่ 548 เธอยังมีชีวิตอยู่

บทที่ 548 เธอยังมีชีวิตอยู่

บทที่ 548 เธอยังมีชีวิตอยู่

“นายอยากพูดอะไรกันแน่? ไม่มีอะไรก็วางสาย” จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้ว เริ่มไม่มีความอดทน

“ใจร้ายจริง” จิ้นเฟิงเหรายกมือยอมแพ้

“ผมแค่อยากถามพี่ว่าปีนี้จะพาเสี่ยวเป่ากลับมาไหม? พวกพี่ไม่ได้กลับบ้านสามปีแล้ว พ่อกับแม่ก็คิดถึงพี่กับหลาน”

จิ้นเฟิงเหราถาม

จิ้นเฟิงเฉินสายตานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆส่ายหน้า

“ไม่กลับแล้ว เสี่ยวเป่าเรียนชั้นประถมอยู่ เวลาปิดเทอมก็ไม่ตรงกับวันหยุดที่ประเทศ”

ได้ยินแล้ว สายตาจิ้นเฟิงเหราก็มีแววผิดหวัง คำตอบตามคาด

หลายปีนี้ สองพ่อลูกก็ไม่เคยกลับประเทศ

ทุกปี เขาก็ต้องเป็นฝ่ายพาพ่อแม่ ไปเยี่ยมพวกเขาสองพ่อลูก เวลาสั้นๆไม่กี่วัน ก็ต้องบินกลับ

จิ้นเฟิงเฉินไปต่างประเทศหลายปีนี้ ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เศร้าโศก ตั้งใจทุ่มเทในการบริหารบริษัท

ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ของจิ้นกรุ๊ป ขยายบริษัทในต่างประเทศให้เติบโตขึ้น

วันนี้JSกรุ๊ปที่เขาบริหารอยู่ ก็เติบโตเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในฝรั่งเศสแล้ว ความสามารถเทียบเท่ากับจิ้นกรุ๊ปในประเทศได้เลย

ระยะเวลาสั้นๆเพียงสามปีก็บริหารบริษัทได้ถึงขนาดนี้ ก็คิดได้ว่าแต่ละวันจิ้นเฟิงเฉินทำงานเยอะแค่ไหน

พ่อจิ้นแม่จิ้น ถึงจะไม่เคยพูดอะไร แต่จิ้นเฟิงเหราเห็นทั้งสองดูรูปภาพของลูกชายกับหลานชายนั่งเหม่อลอย ความคิดถึงนั้นมากจนล้นออกมา

สถานการณ์แบบนี้ยิ่งเห็นได้ชัดเวลาเทศกาล

ขาดจิ้นเฟิงเฉินกับเสี่ยวเป่าไป ที่บ้านก็โล่งไปเยอะ เงียบเหงากว่าเดิม เหมือนไม่สมบูรณ์

“พี่ พี่ยังปล่อยวางพี่สะใภ้ไม่ได้ใช่ไหม?”

ถึงยังไม่กล้ากลับประเทศ กลัวกลับมาสถานที่ทำให้เสียใจ

จิ้นเฟิงเฉินถามไปประโยชน์หนึ่ง ด้วยน้ำเสียงต่ำ

คำพูดออกจากปาก จิ้นเฟิงเฉินหยุดนิ่ง หมึกที่เซ็นชื่อบนกระดาษขาวถูกขีดเป็นเส้น

ในสายตามีอารมณ์บางอย่างที่ดูเข้มข้น ลำคอแน่น

หลายวินาทีผ่านไป จิ้นเฟิงเหราได้ยินคำตอบจากเขา “อืม ฉันไม่มีวันปล่อยวางเธอได้”

หน้าจอมือไป จิ้นเฟิงเฉินวางสาย

เร็วจนจิ้นเฟิงเหราอดสงสัยไม่ได้ ว่าตัวเองหูฝาดไปไหม

หลังจิ้นเฟิงเฉินวางสายแล้ว สีหน้าก็เริ่มมีแววของความเจ็บปวด

เขากดขมับไว้ ในสมองมีแต่ภาพรอยยิ้มของเจียงสื้อสื้อ ทำให้เขาคิดถึงจนเหมือนคนบ้า

เขาว่าเวลาเป็นยาที่ดีที่สุด แต่หลายปีนี้ เวลาผ่านไป ความคิดถึงก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

พระอาทิตย์ตกดิน ความมืดเริ่มบดบังท้องฟ้า ท้องฟ้าสีคราม

อากาศอบอ้าวเริ่มเลือนหาย นกน้อยบินกลับรัง ในเมืองมีความอบอุ่นมากขึ้น ปกคลุมด้วยความเงียบสงบ

ช่วงหัวค่ำ ในคฤหาสน์ คนแก่ท่าทางเหมือนพ่อบ้านก้าวเท้าออก เดินไปห้องหนังสือชั้นสอง

ประตูไม่ได้ปิด แง้มเปิดอยู่

มองเข้าไปจากช่องระหว่างประตูมองเห็นจิ้นเฟิงเฉินนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ทำงานอย่างสีหน้าจริงจัง

เขายกมือผอมขึ้น เคาะที่ประตู

ครู่หนึ่ง ข้างในมีน้ำเสียงผู้ชายดังขึ้น “เข้ามา”

พ่อบ้านแก่ผลักประตูเข้าไป ก้มตัว พูดอย่างมีมารยาท “คุณชาย ถึงเวลาแล้ว ต้องลงไปกินข้าวแล้ว”

จิ้นเฟิงเฉินเงยหน้า ส่ายหัวเบาๆ แล้วพูดว่า “ผมยังไม่กิน ยังไม่หิว”

ต้องเคลียร์งานในมือให้เสร็จก่อน

พ่อบ้านได้ยินก็พยักหน้า ในใจอยากให้จิ้นเฟิงเฉินวางงานกินข้าวก่อน

แต่รู้นิสัยเขาดี เลยไม่ได้พูดอะไรมาก

ดูจิ้นเฟิงเฉินแล้ว พ่อบ้านคิดถึงเสี่ยวเป่าที่อยู่ชั้นล่าง อยากพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูด

จิ้นเฟิงเฉินเรียกพ่อบ้านไว้ตอนที่เขาหันหลังจะออกไป เรียกเขาไว้แล้วพูด

“ใช่แล้ว ส่งอาหารไปให้ลิงน้อยด้วย อย่าบอกว่าผมให้เอาไป บอกว่าลุงแอบเอาไปให้”

พ่อบ้านยิ้มหน้าบาน “ได้ครับ ได้ครับ ไปเดี๋ยวนี้ครับ คนที่เป็นห่วงคุณชายน้อยที่สุดก็คือคุณ”

จิ้นเฟิงเฉินทำเสียงเหมือนไม่ใส่ใจ “ผมแค่กลัวเขาจะหิวจนเป็นลม เมื่อก่อนสื้อสื้อรักเสี่ยวเป่าที่สุด ผมกลัวเขาจะว่าผมทรมานลูก ถ้ากลับมาแล้วจะมาว่าผมได้”

เมื่อพูดถึงสื้อสื้อ น้ำเสียงจิ้นเฟิงเฉินก็ธรรมชาติขึ้น เหมือนเชื่อว่าสักวันสื้อสื้อจะกลับมา

ถึงแม้ในใจยังรู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ไม่เหมือนช่วงแรกๆแล้ว

เพราะเขาคิดว่า ถ้าวันหนึ่งไม่มีคนพูดถึงสื้อสื้อแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เหมือนเธอหายไปจากโลกนี้แล้ว

จิ้นเฟิงเฉินคิดอย่างเอาแต่ใจ ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่

เขาไม่จำเป็นต้องปิดปังความรู้สึกอะไร เพราะว่าเขาคิดถึงเจียงสื้อสื้อจริง คิดถึงจนเหมือนคนบ้าน

พ่อบ้านมองหน้าจิ้นเฟิงเฉินที่คิดถึงความหลัง ก็คิดถึงเมื่อก่อนเขามั่นใจสง่าแค่ไหน ก็รู้สึกดีใจจนยิ้ม

“ผมลงไปดูคุณชายน้อยนะครับ ถ้ายุ่งเรื่องงานเสร็จแล้วก็กินอะไรหน่อยนะครับ อย่าทำให้เสียสุขภาพ”

พูดจบ เขาก็เดินออกไปจากห้อง

ในมือถือขนมเค้ก ยิ้มหน้าบานเดินไปที่มุมห้อง

เสี่ยวเป่ากำลังหันหน้าเข้าหาผนังบ่นพึมพำเอง ก็ได้กลิ่นหอม

ขยับจมูกเล็กๆ หันไปตามกลิ่นหอม

พอเห็นพ่อบ้าน เสี่ยวเป่าก็ยิ้มหน้าบาน พูดเสียงหวาน

พ่อบ้านลูบหัวเสี่ยวเป่า ถามอย่างอ่อนโยน “คุณชายน้อย หิวแย่แล้วซิ?”

ตั้งแต่พ่อบ้านมา สายตาเสี่ยวเป่าก็จ้องอยู่ที่เค้กในมือของพ่อบ้าน

ต่อมน้ำลายแตก จนจะไหลออกมา

ยกมือขึ้นปาดน้ำลายตัวเอง เสี่ยวเป่ากลืนน้ำลายไปด้วย แล้วพูดอย่างน่าสงสาร “หิว แต่แดดดี๊ไม่ให้ผมกินข้าวเย็น เพราะผมทำผิด”

ใบหน้าน่ารัก ทำสีหน้าน่าสงสาร ทำให้คนเห็นรู้สึกเอ็นดู

พ่อบ้านรีบเอาขนมในมือใส่ในมือของเสี่ยวเป่า พูดปลอบเสียงนุ่ม “ไม่เป็นไร กินไม่กี่คำ คุณผู้ชายไม่ว่าอะไรหรอก”

“ไม่ได้หรอก ผมต้องเชื่อฟังแดดดี๊”

เสี่ยวเป่าทำหน้า จับจานแล้วพลักไปทางพ่อบ้าน แต่แรงมือก็หนัก ทั้งอยากได้และไม่อยากได้

ลังเลอยู่สักพัก เขากัดฟัน ผลักขนมออก

“คุณปู่ เอากลับไปเถอะ ผมยังไม่หิว”

พูดยังไม่ขาดคำ เสียงท้องร้องก็ดังขึ้น

เสี่ยวเป่าหน้าแดง ถูมือด้วยความเขิน

พ่อบ้านเห็นแล้ว ก็หัวเราะส่ายหัว

“คุณชายน้อย กินหน่อยเถอะ คุณผู้ชายรู้ ถ้าเขาทำโทษคุณชายน้อย ก็เอาไปฟ้องคุณแม่ เพราะเธอเป็นห่วงคุณชายน้อยที่สุด ไม่มีวันทำโทษคุณชายน้อยแน่นอน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เสี่ยวเป่าได้ยินแบบนี้ ตาที่คมเข้มก็เหมือนมีสีแห่งอารมณ์บางอย่าง

ไม่นาน ก็กลับมาปกติเหมือนเดิม

ริมฝีปากอ้าออก ยิ้มอย่างดีใจ

ใช่แล้ว หม่ามี๊มีอำนาจเหนือกว่าแดดดี๊

เมื่อคิดตกแล้ว เสี่ยวเป่าก็หยิบถามขนมมา กินคำโตๆ

เวลานี้ สีผู้ชายร่างใหญ่เดินมาจากข้างนอก

พ่อบ้านพยักหน้าให้เขา เป็นการทักทาย

“เถ้าแก่อยู่บ้านไหม”

“อยู่ห้องหนังสือ คุณขึ้นไปได้เลย”

พ่อบ้านพยักหน้า ชี้ไปทางห้องหนังสือ

คนที่มาคือกู้เนี่ยน จิ้นเฟิงเฉินมาฝรั่งเศสนานหลายปี กู้เนี่ยนก็ติดตามเขามาด้วย

เขาพยักหน้าให้พ่อบ้าน แล้วเดินขึ้นห้องหนังสือ

เข้าไปแล้ว ก็ล็อกประตูห้อง

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

Status: Ongoing

เมื่อห้าปีก่อน เพื่อช่วยแม่ของเธอ เธอบังคับตัวเองทําเรื่องเสื่อมทราม และกําเนิด ลูกให้คนอื่น หลังคลอดลูกแล้ว ก็ไม่เคยเห็นลูกอีก ห้าปีต่อมา ซาลาเปาตัวน้อย กลับมาหาเขา และพัวพันอยู่กับเจียงสือสือ อยากจะจูบ อยากจะกอดและนอน ด้วยกัน เจียงซื้อซื้อก็เต็มใจและมีการตอบสนองด้วย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท