ทที่ 574 เจ้านายบอกว่าต้องมีชีวิตอยู่
“แด๊ดดี้?”
หลังเขากำลังเดินออกจากประตูใหญ่ เสี่ยวเป่าก็ออกมาจากห้องนอน
ท่าทางสะลึมสะลือ ในอ้อมแขนยังกอดตุ๊กตาไว้ตัวหนึ่ง เห็นเงาหลังของจิ้นเฟิงเฉินเข็นกระเป๋าเดินออกไป ก็ร้องเรียกอย่างสงสัยออกมาคำหนึ่ง
แต่จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ยิน ก้าวฝีเท้ายาวๆ จากไปแล้ว
เสี่ยวเป่าขมวดคิ้ว เดินลงบันไดมา ถามแม่จิ้นว่า “คุณย่า แด๊ดดี้ไปไหน?”
ในดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
“เขาออกไปทำธุระนิดหน่อย อีกสองวันถึงจะกลับมา ไม่ต้องห่วง พอถึงวันหมั้นของอาเล็ก แด๊ดดี้ก็จะกลับมาเอง”
ไม่ได้บอกเสี่ยวเป่าไปตามตรง แม่จิ้นโอบเสี่ยวเป่าเข้ามาในอ้อมแขน อธิบายอย่างคลุมเครือ
ทั้งสามคนต่างมองเงาหลังจิ้นเฟิงเฉินจากไป เกิดความไม่สบายใจขึ้นมาลางๆ
ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจอย่างเงียบๆ ขอให้จิ้นเฟิงเฉินอย่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย
ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ที่ห้องใต้ดินแห่งหนึ่ง เจียงนวลนวลที่สองมือสองเท้าถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ กำลังขดตัวอยู่บนพื้นอันเย็นเฉียบ
ในห้องใต้ดินมิดชิดจนลมไม่อาจผ่านได้ แสงก็ส่องเข้ามาไม่ถึง ภายในห้องจึงมืดทึบ ความหวาดกลัวค่อยๆ แผ่ลามไปทั่วร่าง
เจียงนวลนวลผมกระเซอะกระเซิง บนตัวส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา
ขาข้างหนึ่งบิดเบี้ยวอยู่ในท่วงท่าประหลาด แต่สีหน้ายังคงเป็นปกติ ราวกับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
รู้ว่าใกล้ๆ ยังมีคนคอยเฝ้าเธออยู่ ดังนั้นเธอจึงยกหูขึ้นมา ขดตัว แสร้งทำเป็นนอนหลับ
ยังห่างจากคนเหล่านั้นอยู่ระยะหนึ่ง เจียงนวลนวลจึงได้ยินเสียงแผ่วๆ
มีคนหนึ่งยืนขึ้นบิดขี้เกียจ จากนั้นก็ถามว่า “เจ้านายกำลังมาใช่ไหม?”
ในแววตาดูอ่อนล้าชัดเจน เพื่อจับตัวเจียงนวลนวล พวกเขาไม่ได้นอนติดต่อกันมาหลายวันแล้ว สุดท้ายก็ได้ตัวผู้หญิงคนนี้
“อืม ลูกพี่บอกว่าเขากับเจ้านายกำลังเดินทางมาที่นี่ ออกเดินทางตั้งแต่เมื่อวาน คงใกล้จะถึงแล้ว” มีคนตอบคำถามเขา
เจียงนวลนวลกัดริมฝีปากล่างที่เปื่อยยุ่ยเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย พอจะคาดเดาได้รางๆ ว่าเจ้านายที่พวกเขาพูดนั้นเป็นใคร ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้
จิ้นเฟิงเฉิน ชื่อของคนผู้นั้นราวกับฝันร้าย ตามติดเธอมาสามปีแล้ว
ความกลัวสลักลึกอยู่ในกระดูกของเธอ ราวกับพญามัจจุราช ตามติดไม่ห่าง เพื่อคร่าชีวิต
ขาข้างนั้นที่ถูกตีจนหักเมื่อหลายปีก่อน ยังเจ็บอยู่รางๆ
ความรู้สึกที่เจ็บจนเสียดแทงกระดูกเหล่านั้น ราวกับเถาวัลย์ที่พันรัดตัว พอเลื้อยพันขึ้นมา ก็ทำให้เธอหายใจไม่ออก
เธอกำหมัดแน่น แนบแก้มติดกับพื้น จะขยับตัวสักครั้งก็ยังไม่กล้า
“ผู้หญิงคนนั้นห้ามตายสินะ เจ้านายบอกว่าต้องมีชีวิตอยู่”
เสียงสนทนาที่หยุดไปเมื่อกี้ดังขึ้นมาอีกครั้ง
รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมาที่ตัวเอง เปลือกตาเจียงนวลนวลไหวระริก กระทั่งลมหายใจก็ยังกลั้นเอาไว้
“คงไม่ตายหรอกมั้ง เพิ่งจะอดข้าวแค่สามวันเอง เมื่อวานยังเอาน้ำมาให้เพื่อต่อชีวิตอยู่เลย”
สิ้นเสียงพูด ชายสองคนก็เดินไปยังก้อนกลมที่ขดตัวอยู่ตรงกลาง ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ก่อนหน้านี้จิ้นเฟิงเฉินกำชับเด็ดขาดว่าต้องเก็บชีวิตไว้ หากผู้หญิงคนนี้ตาย พวกเขาคงรับไฟโทสะไม่ไหว
เลือดราวกับแข็งตัว เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หัวใจของเจียงนวลนวลแทบจะกระโดดออกมา
สีหน้าเธอซีดขาว เล็บจิกพื้นอย่างแรง ดวงตาปิดสนิท คิดจะใช้แผนซ้อนแผน โดยทำเป็นแสร้งตาย
“จ๊อก……”
บรรยากาศเคร่งเครียดถูกทำลายลงด้วยเสียงจ๊อกๆ ที่ดังมาจากในท้อง
สองคนพี่น้องที่เฝ้าเจียงนวลนวลสบตากัน ชะงักอยู่ที่เดิม
“นายยังไม่ได้กินข้าวเช้า?”
หนึ่งในนั้นถาม
“บ้าสิ ฟังไม่ออกหรือไงว่าเสียงมาจากผู้หญิงคนนั้น!”
ชายอีกคนกลอกตาบนใส่เขา แต่ภายในกลับโล่งอก
เมื่อกี้เห็นเจียงนวลนวลไม่ขยับตัว ราวกับสิ้นลมหายใจไปแล้วอย่างนั้น พวกเขายังคิดว่าเธอจะหิวตายไปแล้ว
“เฮ้ ผู้หญิงคนนี้แกล้งตายใช่หรือเปล่า ทำเอาตกใจหมด เดี๋ยวฉันจะฉี่รดเรียกสติเธอเอง!”
ชายคนนั้นพูด เดินไปหาเจียงนวลนวลด้วยสีหน้าถมึงทึง
เจียงนวลนวลนอนคว่ำอยู่กับพื้นราวกับคนตาย เธอหลับตา เวลานี้ไม่อยากขยับตัวแล้วเช่นกัน
หลังถูกจับได้ ก็ไม่รู้สึกสะทกสะท้าน ในใจคิดว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องละเว้นชีวิตเธอ ยังไงก็ดีทั้งนั้น
“ตึกๆๆ ……”
เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นดังมาจากด้านบน ดังก้องภายในห้องใต้ดินที่กว้างโล่ง จนเกิดเป็นเสียงสะท้อนขึ้น
ชายคนนั้นที่เดินไปหาเจียงนวลนวลถูกดึงให้หยุดยืนตรงหน้าประตู
“เจ้านายมาแล้ว อย่าทำอะไรเหลวไหล รีบมานี่เร็ว!”
เจียงนวลนวลได้ยินเสียงจังหวะก้าวเดินนี้ จู่ๆ ร่างก็พลันสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง
สักพัก ประตูใหญ่ห้องใต้ดินก็ถูกเปิดออก
แสงแดดสายหนึ่งส่องลอดเข้ามา ภายในห้องใต้ดินที่มืดสนิทและอับชื้น เต็มไปด้วยแสงสว่าง
จนสามารถมองเห็นฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในแสงนั้นได้ด้วยตาเปล่า ความมืดมิด ไร้ทางหนี
ที่หน้าประตู มีชายรูปร่างสูงโปร่งยืนอยู่
คนจำนวนหนึ่งตามอยู่ข้างกายเขาอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ภายใต้แสงแดด ปกคลุมด้วยความมืดมิดอีกชั้นหนึ่ง
ดวงตาที่ดูราวกับหินออบซิเดียนคู่หนึ่ง เต็มไปด้วยความมืดมิดและลึกล้ำ
“เจ้านาย!”
พี่น้องสองคนที่มีหน้าที่เฝ้ายามค้อมตัวลงพร้อมกัน เรียกชายหนุ่มเสียงดัง
“เธอล่ะ?”
น้ำเสียงต่ำลึกแฝงความเย็นชาดังขึ้น ราวกับซีซาร์มาเยือนด้วยตัวเอง ห่อหุ้มไว้ด้วยความหนาวเหน็บของฤดูหนาว ทั่วร่างเจียงนวลนวลอดสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงขึ้นมาไม่ได้
เมื่อจำเจ้าของน้ำเสียงนี้ได้ เธอก็เยือกเย็นไม่ไหวอีกต่อไป
“อยู่ข้างในครับ”
พี่น้องที่อยู่หน้าประตูตอบจิ้นเฟิงเฉิน เอียงตัวเพื่อต้องการพาเขาเข้ามา
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง เจียงนวลนวลถูกความหวาดกลัวเข้าครอบงำ
เธอลืมไปแล้วว่าตนเองถูกโซ่ล่ามไว้ ไม่ต่างกับคนเสียสติ คลานขึ้นมาจากพื้น ต้องการจะหนี
แต่หนีไปได้ไม่กี่ก้าว โซ่ที่ล่ามไว้บนตัวเธอก็ทำงานทันที
เธอยิ่งออกแรง ข้อมือกับข้อเท้าของเธอก็ยิ่งถูกรัดแน่น
แต่ความหวาดกลัวครอบงำเธอ เจียงนวลนวลไม่อาจควบคุมตัวเองได้เลย
แต่เธอก็ถูกลากกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน! อ๊าๆๆ!”
เจียงนวลนวลยังคงออกแรงดิ้นรน ขาข้างหนึ่งลากอยู่บนพื้น
หลักถูกลากกลับมา เธอก็คลานถอยหลังอย่างสุดชีวิตอีกครั้ง หน้าตาดุร้าย
เดี๋ยวคลานเดี๋ยวร้องโหยหวนอย่างคนเสียสติ ราวกับผีร้ายตนหนึ่งที่กำลังกระเสือกกระสนใกล้ตายต่อหน้าพญามัจจุราช
คนข้างกายจิ้นเฟิงเฉินเห็นเช่นนี้ ก็รีบเดินไปกดตัวเจียงนวลนวลไว้ทันที
มือเท้าแต่ละข้างถูกคนจับไว้ ผลักอย่างแรงให้ไปหยุดตรงหน้าจิ้นเฟิงเฉิน
เมฆหมอกสีดำใหญ่ยักษ์แผ่ปกคลุมเบื้องหน้า รองเท้าหนังของจิ้นเฟิงเฉินปรากฏสู่สายตา
สายตาที่หยุดลงบนตัวเธอรุนแรงหาใดเปรียบ ความโกรธสูงล้นฟ้า ทำให้มดปลวกอย่างเธอตัวสั่นไปทั้งร่าง
เธอไม่กล้าสบตาจิ้นเฟิงเฉิน แต่มีคนดันคางเธอ บีบให้เธอเงยหน้า
ทั้งสองสบตากัน คนหนึ่งแววตามีเพียงความหวาดกลัว อีกคนแววตาเต็มไปด้วยความแค้นลุกโชน
ตอนที่จิ้นเฟิงเฉินเห็นใบหน้าของเจียงนวลนวล ดวงตาก็หรี่ลงเล็กน้อย จ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตาย
เจียงนวลนวลในตอนนี้ร่างกายผอมจนหนังหุ้มกระดูก ผมที่ยาวสยายก็กระเซอะกระเซิง
พอเห็นเขา ก็เอาฟันกระทบกัน ไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย
คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง ห่างไกลจากคุณหนูรองตระกูลเจียงผู้เฉิดฉายเมื่อสมัยก่อนอย่างลิบลับ