บทที่ 592 ด้านนอกด้านในตีขนาบประสานกัน
ฝู้จิงเหวินทนไม่ไหวจ้องมองไปที่สีหน้าของเจียงสื้อสื้อ พบเห็นว่าเวลานี้เจียงสื้อสื้อใจลอยแล้วเหมือนอย่างที่คิด
นัยน์ตาปกคลุมพยับเมฆอยู่อย่างหนา ลักษณะเหมือนดั่งมีเรื่องหนักอกหนักใจ ฝู้จิงเหวินกดฝ่ามืออย่างแน่น
ในสมองของเจียงสื้อสื้อตอนนี้ล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยเงากายของเสี่ยวเป่ากับจิ้นเฟิงเฉิน ประโยคคำถามที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจประโยคนั้นของเสี่ยวเป่ามักจะดังก้องอยู่ในสมอง
ถามเธอว่าไม่เอาเขาแล้วใช่หรือไม่ สีหน้านั้นน้ำเสียงนั้น
ทุกครั้งที่เธอนึกขึ้นมา ในอกก็เหมือนดั่งกองสุมฝุ่นไว้อย่างมากมาย ทรมานจนหายใจไม่ออก
เธอรู้สึกว่าตนเองเป็นคนมีบาปคนหนึ่ง ส่วนที่ขาดหายไปจากความทรงจำทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว
เดิมทีเจียงสื้อสื้อคิดว่าตนเองออกจากเมืองเป่ยแล้ว ก็จะเป็นห่วงคิดถึงพ่อลูกตระกูลจิ้นได้น้อยลง นึกไม่ถึงขบวนการความคิดยิ่งมากกว่าเดิม
แม่ฝู้ที่อยู่ข้างๆสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เอียงหัวถามเจียงสื้อสื้อว่า “สื้อสื้อ เกิดอะไรขึ้นกับแกหรือ? ไม่สบายตรงไหนหรือ? สีหน้าทำไมแย่ขนาดนี้ล่ะ?”
ได้ยินการไต่ถามของแม่ฝู้ เจียงสื้อสื้อก็ดึงตัวเองออกจากขบวนการความคิดของตนเองอย่างรวดเร็ว
เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อยหนึ่งที
“ไม่มี ฉันดีมากนะ น่าจะนั่งเครื่องนานเกินไปแล้ว มีความเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย”
เธอกดระหว่างคิ้วไว้ บนใบหน้าปรากฏความเหน็ดเหนื่อยหลายส่วน
แม่ฝู้พินิจพิเคราะห์สีหน้าของเธออยู่ พยักหน้าต่อๆกันอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ก็ใช่นะ งั้นพวกแกไปพักผ่อนก่อนเถอะ อาหารเย็นทำเสร็จแล้วค่อยเรียกพวกแกอีก”
เห็นเจียงสื้อสื้อจะขึ้นข้างบน อีหนูเงยหน้าจ้องมองคู่ปู่ย่าของตระกูลฝู้โดยเฉพาะ
แม่ฝู้ลูบหัวของเธออย่างรักใคร่เอ็นดู พูดว่า “ไปเถอะ”
ในเวลานี้ฝู้จิงเหวินก็คืนสติกลับมาด้วย ช่วยหิ้วกระเป๋าเดินทางของเจียงสื้อสื้อไปยังห้องนอน
แม่ฝู้จ้องมองภาพด้านหลังของคนทั้งสองเหมือนคิดอะไรอยู่
เห็นความสัมพันธ์ของคนทั้งสองนี้รู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างมาก อีกทั้งลักษณะล้วนดั่งมีเรื่องหนักอกหนักใจ เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องอะไรปกปิดพวกเขาอยู่
เจียงสื้อสื้เธออาจจะไม่ได้เข้าใจอย่างมาก แต่ลูกชายของบ้านตนเองอารมณ์แบบไหน เธอยังมองออกได้
ตั้งแต่เข้าประตูถึงตอนนี้ คิ้วก็ไม่เคยคลายออกมา
จ้องมองเจียงสื้อสื้อแม่ลูกทั้งสอง ก็เป็นสีหน้าที่สลับซับซ้อนเช่นกัน
“เหล่าฝู้ คุณรู้สึกหรือไม่ว่าสื้อสื้อกับจิงเหวินของบ้านเรามีความแปลกประหลาดเล็กน้อยล่ะ?”
เธอใช้ข้อศอกแหย่พ่อฝู้ที่อยู่ข้างๆแหย่แล้วแหย่อีก
“แปลกประหลาดที่ไหนล่ะ คุณคิดมากไปแล้วล่ะ” พ่อฝู้ส่ายหัว
“ช่างเถอะ พูดกับคุณไม่เข้าใจ สายหน่อยฉันไปสืบข่าวสักหน่อย” แม่ฝู้ทำการตัดสินใจ
กลางคืน ทั้งครอบครัวกินข้าวเสร็จ เจียงสื้อสื้อพาเถียนเถียนไปอาบน้ำที่ห้องน้ำ
ส่วนฝู้จิงเหวินคือเข้าไปอยู่ในห้องหนังสือคนเดียว
แม่ฝู้จับโอกาสได้ ถือกาแฟแก้วหนึ่งไว้ เข้าไปในห้องหนังสือ เตรียมตัวที่จะถามลูกชายตัวเอง
เคาะประตูสักที “ลูกชาย แม่เข้าไปได้หรือเปล่า?”
“อืม ไม่ได้ทำอะไร ท่านเข้ามาเถอะ”
เดิมทีฝู้จิงเหวินก็ไม่มีใจที่จะจัดการเรื่องงานด้วย คราวนี้วางเอกสารที่อยู่ในมืออย่างสะดวกไม่ยุ่งยาก เงยหน้าจ้องมองไปยังแม่ฝู้
เห็นลักษณะคำพูดติดที่ปากของมารดาบ้านตนเอง ฝู้จิงเหวินเอ่ยปากไต่ถามว่า “แม่ ท่านมีเรื่องจะพูดหรือ?”
แม่ฝู้ได้ยินคำพูด พยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก
เธอดึงเก้าอี้มาตัวหนึ่งนั่งอยู่ข้างกายฝู้จิงเหวิน ถามอย่างเสียงเบาว่า “จิงเหวิน แกพูดกับแม่ตามตรง แกกับสื้อสื้อเจอเรื่องอะไรอยู่ที่เมืองXแล้วใช่หรือไม่?”
ฝู้จิงเหวินอึ้งชะงักไปสักพักเล็กน้อย กลับนึกไม่ถึงว่าแม่ฝู้สังเกตความผิดปกติอย่างฉลาดหลักแหลมขนาดนี้
เขาเล่าเรื่องทั้งหมดที่เจออยู่ในเมืองเป่ยออกมาอย่างเปิดเผย
“ผู้ชายที่เก็บอีหนูได้กับเด็กผู้ชายคนนั้น พวกเราก็เจออยู่ในเมืองเป่ยด้วย จากนั้นเกิดเรื่องเล็กน้อย พวกเขาพบเจอกับสื้อสื้อแล้ว
ดูเหมือนเป็นเพื่อนเก่าของสื้อสื้อในอดีต เด็กผู้ชายดึงสื้อสื้อไว้เรียกเธอว่าหม่ามี๊ สื้อสื้อก็เป็นไปได้มากที่อาจจะเป็นภรรยาของผู้ชายคนนั้นด้วย……ตอนนี้ผมมีความสับสนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี”
นัยน์ตาฝู้จิงเหวินบรรยายความทุกข์ใจคร่าวๆออกมาเล็กน้อย ตอนที่พูดคำพูดเหล่านี้ เสียงสั่นระริกเล็กน้อย เขากุมหัวของตนเองไว้อย่างหงุดหงิดโมโห
ตอนที่แม่ฝู้ได้ยินว่าจิ้นเฟิงเฉินกับเสี่ยวเป่าก็คือสามีกับลูกชายของเจียงสื้อสื้อ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันแล้ว
“ไฮ่ บนโลกทำไมมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ล่ะ!” แม่ฝู้ทนไม่ไหวถอนหายใจหนึ่งทีอย่างหนักอึ้ง
อ้อมไปหนึ่งรอบก็ยังพบเจอได้ ฟ้าไม่อยากให้สื้อสื้ออยู่ข้างกายของพวกเขาหรือ?
“แกนะแก ตอนนี้จึงรู้จักรีบร้อน ให้แกลงมือตั้งแต่แรกแล้ว แกก็จะรอให้สื้อสื้อความจำกลับคืนมาให้ได้ก่อน จริงๆนะ ไฮ่!”
พูดไปพูดมา แม่ฝู้ตัดพ้อต่อว่าลูกชายของบ้านตนเองอีก มีความหมายแบบเข้มงวดกับเขาก็หวังที่จะให้เขาดีขึ้น
ความรู้สึกเสียใจภายหลังในเวลานี้ของฝู้จิงเหวินก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุดแล้วด้วย กระชากสมองไว้ไม่ได้ตอบกลับ ความหงุดหงิดในใจค่อยๆเข้มขึ้น
จ้องมองลักษณะที่หมดอาลัยตายอยากของลูกชายบ้านตนเอง แม่ฝู้ก็ใจร้ายไม่ลงที่จะสั่งสอนอีกต่อไปแล้ว
นัยน์ตาของเธอกวาดผ่านแสงที่ยืนหยัดมั่นคงเล็กน้อย แม่ฝู้เกาะไหล่ของฝู้จิงเหวินไว้ พูดกำชับกับเขาด้วยคำพูดที่อัดแน่นเต็มไปด้วยน้ำใสใจจริงกลับแฝงไว้ด้วยความหมายที่ลึกซึ้งว่า “ตอนนี้เสียใจภายหลังก็สายไปแล้ว จิงเหวิน รับปากแม่ เริ่มตั้งแต่นี้ไปแกจีบสื้อสื้อให้ดีๆได้ไหม ไม่แน่ว่าเรื่องยังมีโอกาสหมุนพลิก!”
ถึงแม้ว่าจะเป็นวัวหายค่อยล้อมคอก งั้นก็ต้องลองดูเช่นกัน!
จิตใจแน่วแน่ของแม่ฝู้ส่งเข้ามา จิตใจแห่งการต่อสู้ของฝู้จิงเหวินก็ลุกไหม้ขึ้นอยู่นัยน์ตาด้วย พยักหน้าตอบว่า “อืม ครั้งนี้ผมจะไม่หดหู่อีกแล้ว!”
ตอนที่เงยหน้าขึ้นมา ในสายตาที่เย็นสดใสนั้นมีเจตนาร้ายออกมาพร้อมกัน
ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมถอยอีกอย่างเด็ดขาด ถ้าถอยอีกก้าวหนึ่ง ก็จะสูญสิ้นเจียงสื้อสื้อกับเถียนเถียนแล้วจริงๆ!
“ฮัดเช่ย…….”
ในห้องนอนฝั่งโน้น เถียนเถียนห่อผ้าเช็ดตัวสีขาวอยู่ถูกอุ้มออกจากอ่างอาบน้ำ
ทันทีที่ออกมาก็ไม่นั่งอยู่เฉยๆ เปิดผ้าเช็ดตัวออก ผิวที่ขาวนิ่มเปลือยอยู่กลางอากาศ อีหนูทนไม่ได้จามไปหนึ่งที
เจียงสื้อสื้อเดินตามเสียงเข้าไปอย่างรวดเร็ว หยิบกางเกงที่อีหนูเอะอะโวยวายไม่ยอมให้ซักเข้ามา
จ้องมองอีหนูที่นั่งอยู่ข้างเตียง ทนไม่ได้สั่งสอนไปประโยคหนึ่ง
“ไม่ใช่บอกแล้วหรือว่าให้แกนอนอยู่เฉยๆดีไหม?”
ปรับอุณหภูมิของแกให้สูงขึ้น ช่วยอีหนูใส่เสื้อผ้าให้ดีๆ
ทันทีที่ใส่เสื้อแล้ว อีหนูกระโดดโลดเต้นอยู่บนเตียงขึ้นมาในทันที
หมุนหนึ่งรอบอยู่ต่อหน้าเจียงสื้อสื้อ ถามอย่างอารมณ์ฮึกเหิมว่า “หม่ามี๊ เถียนเถียนหอมไหม?”
เจียงสื้อสื้อน่าขำพูดว่า “เพิ่งอาบน้ำเสร็จ จะไม่หอมได้ยังไงหรือ?”
“งั้นก็ดี!”
บนใบหน้าของอีหนูปรากฏรอยยิ้มอย่างเบิกบาน กอดคอของเจียงสื้อสื้อไว้ ออดอ้อนกับเธอพูดว่า “อยากจะวิดีโอคอลกับพี่ชาย ได้ไหม? หม่ามี๊ขอร้องล่ะ!”
สีหน้าของเจียงสื้อสื้ออึ้งชะงักเล็กน้อย ผ่านไปสักพักมีปฏิกิริยาขึ้นมา หาข้ออ้างอย่างหนึ่งปฏิเสธพูดว่า “ไม่ใช่หม่ามี๊ไม่ให้ หม่ามี๊ไม่มีวิธีการติดต่อกับพวกเขาล่ะ”
นัยน์ตาดำสนิทของเถียนเถียนกวาดผ่านความฉลาดหนึ่งที
เพียงเห็นเธอรีบหยิบกางเกงตัวนั้นที่ให้เจียงสื้อสื้อหยิบออกมา มือน้อยๆควักแล้วควักอีกอยู่ข้างใน ควักกระดาษโน้ตออกมาใบหนึ่ง
เปิดออกมาเหมือนดั่งอวดสิ่งล้ำค่า บนนั้นเขียนตัวเลขแถวหนึ่งอย่างสะดุดตามาก
“ฉันมี!” อีหนูยืดอกขึ้น ยิ้มจนคิ้วตางอ
เจียงสื้อสื้อตื่นตะลึง “แกเอามาจากไหนหรือ?”
อีหนูยิ้มจนเหมือนดั่งสุนัขจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง หวาดกลัวเจียงสื้อสื้อจะเปลี่ยนใจ
รีบร้อนจับแขนของเธอไว้แกว่งแล้วแกว่งอีกอ้อนวอนพูดว่า “ก่อนที่จะไป พี่ชายแอบยัดใส่ให้ฉันล่ะ บอกว่าพวกเราสามารถวิดีโอคอลได้ หม่ามี๊ เมื่อกี้ท่านรับปากกับฉันแล้วล่ะ จะเปลี่ยนใจไม่ได้โอ้ว!”