บทที่ 659 คิดว่าเขาจะไม่หึงจริงๆเหรอ
น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง“ให้ผมกอดสักพักเถอะ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”
เจียงสื้อสื้อเม้มริมฝีปาก ในที่สุดมือที่ยกขึ้นก็วางลง
ช่างเถอะ ให้เขากอดเถอะ
ในขณะเดียวกัน ในห้องพักผู้ป่วยอีกห้องหนึ่ง หญิงชรากับหลานสาวก็กำลังพูดคุยกันอยู่
แม้ว่าอายุจะห่างกันมาก แต่ก็พูดคุยกันได้อย่างมีความสุข
ฝู้จิงเหวินใจลอย มองไปที่หน้าประตูตลอด กรอกน้ำใช้เวลาแค่ครู่เดียว แต่ทำไมสื้อสื้อถึงไปนานขนาดนี้?
อยู่ที่โรงพยาบาลก็ไม่น่าจะหลงทางนะ
เขานั่งอยู่สักพักหนึ่งก็นั่งไม่ติดเก้าอี้เสียแล้ว ลุกขึ้นแล้วบอกกับแม่ฝู้ว่า“แม่ครับ ผมขอออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกนะครับ”
แม่ฝู้ยิ้มแล้วเหลือบตามองเขาครู่หนึ่ง แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจ
ลูกชายของเธออยากจะไปตามหาสะใภ้ก็ไปตามหาสิ ไม่เห็นต้องหาข้ออ้างเลย
คิดว่าเธอจะดูไม่ออกเหรอ?ดวงตาคู่นั้นแทบจะมองทะลุออกไปจากประตูแล้ว
“ได้สิ ลูกไปเถอะ มีเถียนเถียนอยู่เป็นเพื่อนแม่ทั้งคน”แม่ฝู้จงใจพูดขึ้น
หลังจากที่ฝู้จิงเหวินออกจากห้องพักคนป่วย ก็ไปตามหาบริเวณกรอกน้ำรอบหนึ่ง ก็ไม่เห็นเจียงสื้อสื้อ
ในใจเกิดความสงสัย หากไม่อยู่ที่นี่แล้วไปอยู่ที่ไหนกันนะ
เขาเดินเรียบทางเดิน ค่อยๆมองไปรอบๆ ด้านหน้ามีพยาบาลสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่
“เด็กคนนั้นหน้าตาน่ารักมากเลย หากช่วยชีวิตไว้ไม่ได้ น่าเสียดายจริงๆ”
“ใช่แล้ว ได้ยินมาว่าที่บ้านร่ำรวยด้วย เหมือนว่าเป็นคุณชายน้อยของJSกรุ๊ป คนมีเงินงานยุ่งมากจริงๆเลยนะ ไม่มีแม้แต่เวลาจะดูแลลูก”
“ก็ใช่ไง……”
เมื่อได้ยินชื่อบริษัทของตระกูลจิ้น ฝู้จิงเหวินก็ขมวดคิ้ว
รีบเดินเข้าไปถาม“พวกคุณกำลังพูดเรื่องอะไรกันเหรอครับ?”
เนื่องฝู้จิงเหวินมาเฝ้าของเขาที่โรงพยาบาลบ่อยๆ พยาบาลจึงรู้จักเขา
เนื่องจากรูปหน้าหน้าตาของเขาทั้งหล่อทั้งสูง เมื่อนางพยาบาลเห็นก็ต่างหน้าแดง แล้วยังจะพูดอะไรออกมาได้
เมื่อเห็นท่าทีบ้าผู้ชายของพวกเธอ ในใจของฝู้จิงเหวินก็รู้สึกรำคาญจึงถามขึ้นอีกครั้ง
นางพยาบาลที่อยู่ด้านขวาพูดขึ้นว่า“มีเด็กคนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุรถชนค่ะ น่าสงสารมาก”
“เด็กเป็นลูกของใคร?”
นางพยาบาลทั้งสองสบตากัน คุณฝู้รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
แต่ว่าในเมื่อเขาถามขึ้นแล้ว พวกเธอก็ทำได้แค่เพียงตอบกลับ
“ได้ยินมาว่าคุณชายน้อยของจิ้นกรุ๊ป ก็คือลูกชายของประธานจิ้นที่ออกหน้าหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจบ่อยๆ”
ฝู้จิงเหวินตะลึกงันเล็กน้อย จิ้นเฟิงเฉินมีลูกชายเพียงคนเดียว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กคนนั้นก็คือเสี่ยวเป่า
แต่ว่าจิ้นเฟิงเฉินก็ดีกับเสี่ยวเป่าไม่เหรอ ทำไมถึงเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ล่ะ?
“ครับ ทราบแล้วครับ ขอบคุณพวกคุณมากครับ”
เมื่อฝู้จิงเหวินขอบคุณเรียบร้อยแล้วก็จากไป ในใจรู้ดีว่าเจียงสื้อสื้อน่าจะได้ยินข่าวของเสี่ยวเป่าและคงตามไปดู
เสี่ยวเป่าติดเจียงสื้อสื้อเป็นอย่างมาก แต่สื้อสื้อก็เอ็นดูเขามากเช่นกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหึงหวงเพราะเด็กน้อยคนนี้ แต่ว่าผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเด็กน้อยก็ไม่แน่
แต่ตอนนี้เกี่ยวพันกับชีวิตคน ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาความรู้สึกเป็นที่ตั้ง
ฝู้จิงเหวินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้เข้าไปดู เพราะหากไปจะต้องเจอกับจิ้นเฟิงเฉินเป็นแน่ ตอนนี้เขายังไม่อยากเจอกับผู้ชายคนนั้น
ฝู้จิงเหวินทำเพียงเดินมือเปล่ากลับมายังห้องพักผู้ป่วย
เถียนเถียนพูดพึมพำไม่หยุด เธอก็รู้ดีว่าเธอก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งจะมีเรื่องให้คุยอะไรตั้งมากมาย
แม่ฝู้เหลือบมองที่ด้านหลังเห็นเพียงฝู้จิงเหวิน จึงถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า“สื้อสื้อล่ะ ลูกไปตามหาคนไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมกลับมาคนเดียวล่ะ”
ฝู้จิงเหวิน“……”
ที่แท้แม่ของเขาก็รู้ ถึงว่าเมื่อสักครู่นี้ท่านยิ้มอย่างมีเลศนัย
เขาอุตส่าห์หาข้ออ้างอะไรอีก พูดตรงๆว่าไปตามหาเจียงสื้อสื้อก็สิ้นเรื่อง
สีหน้าของฝู้จิงเหวินไม่สู้ดีนัก พูดเพียงสั้นๆว่า “เธอไปดูเสี่ยวเป่า”
เมื่อได้ยินชื่อเสี่ยวเป่า แม่ฝู้ก็เกิดความสงสัย“เสี่ยวเป่า?อืม ก็คือเด็กคนนั้น เขาเป็นอะไรไป?”
“ได้ข่าวว่าเขาเกิดอุบัติเหตุ”
เดิมทีเถียนเถียนไม่สนใจคำพูดของทั้งสองคนนี้ แต่เมื่อได้ยินคำว่า เสี่ยวเป่าชื่อนี้ เธอก็เงยหน้าขึ้น
ถามขึ้นอย่างร้อนใจว่า“แดดดี๊พูดว่าอะไรนะคะ?”
เมื่อเห็นใบหน้าเถียนเถียนเต็มไปด้วยความกังวล ฝู้จิงเหวินก็รู้สึกหงุดหงิดตัวเอง ลืมไปว่าเถียนเถียนก็อยู่ที่นี่ด้วย
อย่าให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเสี่ยวเป่า ทำให้เธอต้องตกใจ
เขาพยายามใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนพยายามอธิบายให้เธอฟัง“แดดดี๊จะบอกว่า พี่ชายของลูกป่วย กำลังรักษาตัวอยู่ที่นี่”
“ป่วยเป็นโรคอะไรเหรอคะ แล้วต้องให้น้ำเกลือเหมือนคุณย่าไหมคะ?”เถียนเถียนเบิกตากว้าง ถามขึ้นอย่างตื่นตระหนก
ฝู้จิงเหวินพูดขึ้นอย่างคลุมเครือ“อืม ต้องให้น้ำเกลือด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงจะเจ็บมากเลย หนูอยากจะไปเยี่ยมพี่ชายค่ะ”
จู่ๆเถียนเถียนไถลลงมาจากเตียง ร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา
ฝู้จิงเหวินกอดเธอไว้แน่น ช่วยเธอใส่รองเท้า
ในเวลานี้แม่ฝู้ก็พูดขึ้นว่า“เถียนเถียน หนูบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนย่าไม่ใช่เหรอคะ ทำไมถึงจะไปเร็วจังเลยล่ะคะ?”
เถียนเถียนพูดกับแม่ฝู้ว่า“คุณย่าคะ หนูขอออกไปเยี่ยมพี่ชายครู่หนึ่งนะคะ เดี๋ยวหนูจะกลับมาคุยเป็นเพื่อนคุณย่านะคะ ดีไหมคะ?”
เมื่อเห็นท่าทางของเธอ แม่ฝู้ก็ใจอ่อน ทำใจไม่ได้ที่จะปฏิเสธ
ทำได้เพียงรับปาก“ก็ได้ค่ะ ย่าจะรอเถียนเถียนกับเสี่ยวเป่ากลับมานะ”
เถียนเถียนรู้สึกว่าตนได้บอกกล่าวแล้ว จึงจูงมือฝู้จิงเหวินอย่างไม่รอช้า เงยหน้าจิ้มลิ้มขึ้นพลางพูดว่า“แดดดี๊ พวกเราไปเยี่ยมพี่ชายกันเถอะ”
“เถียนเถียน,”ฝู้จิงเหวินครุ่นคิด พลางคว้ามือของเถียนเถียนไว้ แล้วพูดขึ้นอย่างอดทนว่า“ตอนนี้ไปหาพี่ชายของลูกก็คงจะไม่เจอ พวกเรายังไม่ต้องไปดีไหมค่ะ รอพี่ชายของหนูออกมาก่อน ค่อยไปเยี่ยม?”
“ทำไมถึงจะไม่เจอพี่ชายล่ะคะ?”เถียนเถียนถามขึ้น
เมื่อเห็นใบหน้าที่รู้เดียงสาของลูกสาว ฝู้จิงเหวินก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เธอฟังอย่างไร จึงพูดขึ้นว่า“ตอนนี้พี่ชายของหนูจะต้องพักผ่อน ถ้าเถียนเถียนไปก็จะเป็นการรบกวนพี่ชายของหนู”
“ไม่เอาค่ะ หนูแอบๆก็ได้ค่ะ ไม่รบกวนพี่ชายหรอกค่ะ แดดดี๊รีบพาหนูไปเร็วค่ะ”เถียนเถียนจูงมือฝู้จิงเหวิน
เมื่อถูกเธออ้อนจนมีทางเลือกและเห็นว่าคงพูดอะไรต่อไปไม่ได้แล้ว เถียนเถียนใกล้จะร้องไห้แล้ว
ท้ายที่สุดฝู้จิงเหวินก็ทำได้เพียงพาเธอไม่หาเสี่ยวเป่า
เธอถามตลอดทาง ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูห้องผ่าตัด
“แดดดี๊!”
เมื่อเถียนเถียนเห็นจิ้นเฟิงเฉิน ก็ร้องเรียกขึ้นเสียงดังแล้วรีบวิ่งเข้าไปหา
เมื่อเห็นท่าทีดีอกดีใจของเถียนเถียน ในใจของฝู้จิงเหวินก็รู้สึกเจ็บแปลบ
เจ้าเด็กคนนี้จริงๆเลย ชอบเรียกคนอื่นต่อหน้าตนเองว่าแดดดี๊ แล้วจะไม่ให้เขาหึงได้ยังไง
นานแล้วที่จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้เจอกับเถียนเถียน เมื่อเห็นเด็กน้อยก็อ้าแขนและกอดเธอไว้ในอ้อมอก สีหน้าเย็นชาดูอ่อนลงไม่น้อย
อาจเป็นเพราะว่ารับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าที่อยู่รอบกายของจิ้นเฟิงเฉิน เถียนเถียนไม่พูดไม่จา ทำเพียงยื่นแขนอวบๆสองข้างออกไป
แขนทั้งสองข้างโอบกอดที่ลำคอของจิ้นเฟิงเฉิน
ใบหน้าจิ้มลิ้มแนบที่หลังคอของจิ้นเฟิงเฉิน และปลอบใจอย่างไร้ซึ่งเสียง
เด็กน้อยเอาอกเอาใจขนาดนี้ ในใจของจิ้นเฟิงเฉินก็ทุเลาลง
เจียงสื้อสื้อที่อยู่ข้างๆ น้ำตาไหลพรากไร้ซึ่งเสียงใดๆ
หากช่วยเสี่ยวเป่าไม่ได้จริงๆ แล้วเถียนเถียนจะทำยังไง?
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นดีมาก แล้วเธอจะทนรับความเจ็บปวดนี้ได้ไหม?
นี่เป็นครั้งแรก ที่เธอรู้สึกว่าโชคชะตาชีวิตของเธอช่างโหดร้าย
หากเป็นไปได้เธอไม่อยากบอกเถียนเถียนเลยว่า เสี่ยวเป่าพี่ชายของเธอนอนอยู่ข้างในนั้น
ไฟในห้องผ่าตัดยังคงส่องสว่างอยู่ เจียงสื้อสื้อจูงมือข้างหนึ่งของเถียนเถียนด้วยความเจ็บปวด ไม่กล้าพูดอะไรออกมา กลัวว่าหากพูดอะไรออกมาแล้วน้ำตาของเธอจะไม่หยุดไหล
บรรยากาศของทั้งสามคน ไม่มีใครสามารถแทรกเข้าไปได้ ราวกับว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน
ภาพนี้ฝังอยู่ในใจลึกๆของฝู้จิงเหวิน
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ว่างที่จะสนใจตนเอง เขายิ้มแล้วอธิบายขึ้นว่า“ได้ยินมาว่าเสี่ยวเป่าเกิดอุบัติเหตุ เด็กน้อยคนนี้อยากที่จะมาเยี่ยมพี่ชาย ห้ามยังไงก็ไม่ฟัง ผมก็เลยพามาครับ”