บทที่691 นี่คือสิ่งที่คุณขอเอง
แต่ดวงดาวจะสว่างไสวก็ยังมีวันที่เลือนราง
อากาศเงียบลงชั่วขณะและจิ้นเฟิงเฉินก็พูดทันทีว่า “ผมจะกลับประเทศแล้ว ไฟล์ทคืนวันมะรืน”
ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้วแต่เมื่อได้ยินเขาพูดออกมาก็ยังแอบหวิว ๆ ในใจ
แม้ว่าจะเห็นชัดว่าเป็นทุกข์กลับทำได้เพียงแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
“เหรอ? งั้นฉันไปส่งคุณที่สนามบิน”
“ไม่ต้องหรอก” จิ้นเฟิงเฉินส่ายหน้าปฏิเสธ
เขาหันไปมองเจียงสื้อสื้อหลายครั้ง เขาพูดขึ้นนิ่งๆ “เรื่องหย่า ผมอยากรอให้อาการป่วยของเสี่ยวเป่าดีขึ้นก่อนแล้วค่อยไปทำเรื่อง หวังว่าคุณจะเข้าใจ คุณจัดงานแต่งงานก่อนก็ได้ ไม่มีผลอะไร”
“ไม่เป็นไร”
เจียงสื้อสื้อพูดและยิ้มหวานให้จิ้นเฟิงเฉิน
แต่มีเพียงแต่เธอเองเท่านั้นที่รู้ว่าในใจตอนนี้เจ็บปวดรุนแรงเพียงใด
เธอจิกฝ่ามือแน่นเพื่อไม่ให้อารมณ์ของเธอแสดงออกมา
นี่คือสิ่งที่เธอร้องขอเองจะโทษใครได้
หลังจากได้สติ จิ้นเฟิงเฉินพูดขึ้นอีก “รออาการของเสี่ยวเป่าคงที่ก่อน ผมจะเซ็นเอกสารหย่าแล้วส่งเอกสารให้คุณ”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้าตอบช้าๆ แยกไม่ออกว่าตอบสนองอะไร
เวลาที่ได้ยินจิ้นเฟิงเฉินพูดคำว่า “หย่า” นั้น สติเธอก็เริ่มฟั่นเฟือน
สิ่งที่จิ้นเฟิงเฉินพูดนั้น เธอได้ยินแล้วผ่านเข้าสมองและลืมไปเลย
จิ้นเฟิงเฉินจิบกาแฟและวางมือลง จากนั้นก็จ้องเขม็งไปที่เจียงสื้อสื้อ
สายตานี้เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ มันเปลี่ยนไปมาก
มันไม่ร้อนแรงอีกแล้ว มันสงบนิ่งเหมือนการปฏิบัติต่อเพื่อนปกติทั่วไป
“ผมมีเรื่องที่อยากจะพูดแค่นี้”
“อือ” เจียงสื้อสื้อพยักหน้าตามอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ผมไปก่อนนะ แล้วเจอกัน”
จิ้นเฟิงเฉินพูดจบแล้วก็เลื่อนแก้วกาแฟไปด้านข้างและลุกขึ้น
พอเห็นเขาจะไปเจียงสื้อสื้อจึงลุกขึ้น
เธอเงยหน้ามองชายหนุ่มที่สง่างามและสูดหายใจ
ในใจของเธอเหมือนกำลังเผชิญกับพายุฝนกระหน่ำ
เธอไม่อยากจะเสียเขาไป ไม่อยากหย่าขาดจากเขา
แต่จะพูดอะไรตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว
สุดท้ายมุมปากค่อยๆ ยกสูงขึ้นปรากฏให้เห็นรอยยิ้มจางๆ “ลาก่อน”
เธอมองเขาจากไป เจียงสื้อสื้อใช้มือจับหน้าอกกุมหัวใจของตนเองที่เจ็บปวด เธอเกลียดตนเองที่สูญเสียความทรงจำ และคิดอะไรไม่ออก
ถ้าเธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขามันก็คงไม่ทำให้เกิดสถานการณ์เหมือนวันนี้
น้ำตาร้อนไหลจากเบ้าตาและหยดลงในถ้วยกาแฟต่อหน้าเจียงสื้อสื้อทำให้เกิดการกระเพื่อม
ข่าวการจากไปของจิ้นเฟิงเฉิน นอกจากคนรอบตัวเขาไม่กี่คนแล้วไม่มีใครคนอื่นรู้
ฝู้จิงเหวินรู้เพียงว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับเสี่ยวเป่า และกลับประเทศไปพร้อมกับพ่อจิ้นแม่จิ้นแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจิ้นเฟิงฉินจะกลับไปด้วย
ในตอนแรกเขาพบว่าเจียงสื้อสื้อผิดปกติไป เดิมทีเขาคิดว่าเจียงสื้อสื้อมีอารมณ์หดหู่เพราะเรื่องของเสี่ยวเป่า
หลังจากซักถามเพิ่มเติมก็ได้รับรู้โดยบังเอิญจากเจียงสื้อสื้อว่าจิ้นเฟิงเฉินได้กลับประเทศแล้ว
ศํตรูหัวใจจากไป ฝู้จิงเหวินควรจะดีใจถึงจะถูก แต่เขาหันไปมองเจียงสื้อสื้อแสดงออกอย่างทุกข์ทน ในใจก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความหึงหวง
จิ้นเฟิงเฉินไม่อยู่ เจียงสื้อสื้อก็ไร้จิตวิญญาณเช่นกัน
คนที่ไร้จิตวิญญาณมันต่างจากหุ่นไม้เชิดอย่างไรกัน?
เขาเงียบไปครู่หนึ่งและถามคำถามที่ไม่คาดคิด
“สื้อสื้อ คุณตอบรับที่จะแต่งงานกับผม…เสียใจรึเปล่า?”
เจียงสื้อสื้อคิดไม่ถึงว่าฝู้จิงเหวินจะถามคำถามแบบนี้
“ไม่เสียใจ”
ต่อให้เสียใจก็ไม่มีโอกาสให้หวนกลับแล้ว
เจียงสื้อสื้อเลิกคิ้วและมองไปที่พื้นอย่างเหม่อลอย
เขาติดค้างฝู้จิงเหวินมากมายเหลือเกิน
ชดใช้ไม่หมด
เมื่อได้ยินคำตอบของเจียงสื้อสื้อ ในใจของฝู้จิงเหวินไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร
แต่ก็ยังพูดอย่างอ่อนโยน “เป็นผมที่คิดมากไปเอง”
พูดแล้ว ฝู้จิงเหวินก็ออกจากห้องและช่วยเจียงสื้อสื้อปิดประตูอย่างเบามือ
ทันใดนั้นเสียงสะอึกสะอื้นของเจียงสื้อสื้อก็ดังขึ้นจากหลังประตูนั้น
เขายืนอยู่ที่หน้าประตู รอยยิ้มจางหายไปและกำหมัดแน่น
เขาไม่รู้ว่าการที่เธอมาโดยใช้วิธีนี้…เขาดีใจจริงๆ หรือไม่
เขาก้มลงมองโทรศัพท์มือถือ มันมีเบอร์โทรศัพท์แปลกๆ อยู่ในนั้น
เขามองมันแล้วลบเบอร์นั้นทิ้งไป
จากนั้นจึงเดินออกจากบ้านตระกูลฝู้
หลายวันผ่านไป ที่วิลล่าของจื่อเฟิง ป๋ายหลี่กับจื่อเฟิงกำลังเผชิญหน้ากัน
เผชิญหน้ากับคนที่ขัดขวางตัวเองมาตลอดอย่างป๋ายหลี่ จื่อเฟิงเหลืออดแล้วจริงๆ และพูดออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ “คุณพอได้รึยัง? ! ฉันไม่อยากเจอคุณอีก!”
ป๋ายหลี่มองไปที่จื่อเฟิงเงียบๆ ขนตาสั่นไหวแผ่วเบาและพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย “ไม่เป็นไร ยังไงซะอีกหน่อยก็คงไม่ได้เจอแล้ว”
เขาไม่ได้เก็บซ่อนอารมณ์เอาไว้เลย สายตาที่มองไปที่จื่อเฟิงนั้น สนอกสนใจ ลึกซึ้ง
เหมือนกำลังฝังร่างของจื่อเฟิงไว้เข้าไปในใจ ลึกลงไปจนถึงกระดูก
ข่าวการจากไปของจิ้นเฟิงเฉิน จื่อเฟิงยังไม่รู้
ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของป๋ายหลี่ เธอจึงยังคงไม่เข้าใจ และขมวดคิ้วถาม “คุณพูดอะไรน่ะ? อะไรคือไม่ได้เจอแล้ว?”
“ไม่มีอะไร”
หลังจากนิ่งไปชั่วขณะ ป๋ายหลี่ก็มองจื่อเฟิงด้วยสายตาเหมือนได้รับบาดเจ็บ “คุณเกลียดผมขนาดนั้นเลยเหรอ?”
จื่อเฟิงเงยหน้าขึ้นเมื่อเขาได้ยินคำนั้นและยืนตรงด้วยขายาวในรองเท้าส้นสูงเช่นเดียวกับราชินีผู้สง่างาม
เธอมองไปที่ป๋ายหลี่อย่างดูถูกเหยียดหยามโดยไม่ให้หน้าแต่อย่างใด
“แน่นอน! คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าตัวเองน่ะน่าเกลียดแค่ไหน แค่เห็นหน้าคุณก็คลื่นไส้แล้ว”
หลังจากพูดแบบนี้จื่อเฟิงก็พ่นลมหายใจที่น่ารังเกียจพลางเลิกคิ้วและมองไปที่ป๋ายหลี่ด้วยความสนใจ
เดิมทีเธอคิดว่าป๋ายหลี่จะเสียท่าเพราะคำพูดของเธอ แต่ป๋ายหลี่กลับไม่มีสีหน้าท่าทีใดๆ ด้วยแววตาไม่แยแส
ไม่มีการแสดงออกซึ่งความเจ็บปวดให้เห็น
มีเพียงคำพูดที่เรียบเฉย “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง ดูแล้วการมีอยู่ของผมคงขัดตาคุณสินะ”
จื่อเฟิงได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ “นี่คุณเพิ่งจะรู้เหรอ? เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนแรกถือเป็นการเข้าใจผิด ฉันไม่เก็บเอามาใส่ใจ แล้วยิ่งฉันก็ไม่ได้คิดจะคบค้าอะไรกับคุณ”
ทุกคำพูดแต่ละคำเหมือนมีดที่คมที่สุดในโลกแทงไปที่บาดแผลของป๋ายหลี่
บ่อยครั้งที่มีแต่คนที่คุ้นเคยที่สุดเท่านั้นที่รู้ว่าคำพูดใดทำร้ายจิตใจคนได้มากที่สุด
หัวใจของป๋ายหลี่รู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อย บางทีควรจะต้องหยุดตรงนี้แล้วจริงๆ
คนที่ใจแข็งดังหินผาไม่มีทางที่จะใจอ่อนลงได้
สายตาของเขาเหนื่อยล้าป๋ายหลี่กล่าวด้วยความปล่อยวาง “ก็ดี ผมจองตั๋วเครื่องบินกลับประเทศแล้ว ต่อไปคงไม่ได้โผล่มาให้คุณเห็นหน้าอีก ต่อไปก็ทำตัวดีๆ ล่ะ”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น จื่อเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและรีบคว้าแขนเสื้อของป๋ายหลี่
“คุณหมายความว่ายังไง? คุณกลับประเทศ? งั้นคุณชายล่ะ?”
ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของจิ้นเฟิงเฉิน ปกติแล้วพวกเขาไม่สามารถจะละทิ้งฐานที่ตั้งของตนเองได้ตามอำเภอใจ นอกเสียจากว่าจิ้นเฟิงเฉินมอบหมายภารกิจใหม่ให้
ดวงตาของป๋ายหลี่หยุดนิ่งไปสองสามวินาที
“คุณชายเหรอ…กลับไปก่อนแล้ว ตอนนี้อยู่ที่เมืองเป่ยแล้ว”
จื่อเฟิงอึ้งไป จับมือป๋ายหลี่และอดไม่ได้ที่จะใช้แรงและพูดกับป๋ายหลี่ด้วยความโมโห “ทำไมก่อนหน้านี้ไม่บอกฉัน!”
ถ้าหากเขาจากไปแล้วการที่ตนเองอยู่ที่นี่จะมีความหมายอะไร?
ป๋ายหลี่มองไปที่จื่อเฟิงด้วยความประชดเล็กน้อยและปัดมือของเธอออก
“ตารางการเดินทางของBossเป็นความลับ ผมไม่มีทางจะบอกคุณได้”
เมื่อเห็นความวิตกกังวลในดวงตาของจื่อเฟิง ป๋ายหลี่ก็รู้สึกแดกดันอย่างมาก
คนที่ไปรักเขาก่อน เจ็บที่สุดเสมอ
ความรู้สึกคือหายนะและไม่มีใครสามารถหลีกหนีพ้น