บทที่ 719 อย่าเอามาใส่ใจ
เพราะเรื่องในครั้งนี้ แผลของเจียงสื้อสื้อร้ายแรงขึ้นเล็กน้อย
เดิมทีวันที่จะได้ออกจากโรงพยาบาลใกล้เข้ามามากแล้ว ตอนนี้ต้องพักผ่อนเพื่อรักษาบาดแผลใหม่อีกครั้ง
แต่ว่าทุกวันเถียนเถียนและเสี่ยวเป่าก็จะมาพูดคุยกับเจียงสื้อสื้อ คลายความเบื่อหน่ายให้เธอ จิ้นเฟิงเฉินก็มักจะมาเสมอ
วันเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลก็นับว่าไม่ได้ยากลำบากมากขนาดนั้น
บ้านพักตระกูลฝู้
ฝู้จิงเหวินกลับถึงบ้านด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ปริมาณการทำงานในหนึ่งวันทำให้เขาไร้เรี่ยวแรงเล็กน้อย
หลังจากเปลี่ยนรองเท้าแตะแล้วมองไปทางแม่ฝู้ที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา วางกระเป๋าเอกสารไว้บนเก้าอี้ในห้องรับแขก ถามว่า “แม่ เป็นอะไรครับ?”
แม่ฝู้เห็นฝู้จิงเหวินอ้าปากถาม หลังจากถลึงตาใส่เขาก็ถามว่า “ฉันถามนาย แอดไลน์ไปหาสื้อสื้อที่โรงพยาบาลใช่ไหม? และยังปะทะกับเธอด้วย ทำให้แผลของสื้อสื้อฉีกด้วย?”
ฝู้จิงเหวินไม่คิดว่าแม่ฝู้จะรู้เรื่องเร็วขนาดนี้ ความทุกข์ใจปรากฏออกมาให้เห็น
เม้มริมฝีปาก ก้มหัวลงและถามว่า “แม่ แม่รู้แล้ว……”
เห็นเขาไม่ยอมรับ แม่ฝู้ก็หยุดคำพูดที่ฝู้จิงเหวินจะพูดต่อไป และพูดว่า “นายแค่บอกฉัน จริงใช่ไหม?”
เรื่องมาถึงขั้นนี้ฝู้จิงเหวินก็ไม่ปิดบังอีก พึมพำอยู่สักพัก ก็อ้าปากตอบ “……ใช่……”
แม่ฝู้ได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจออกมา อดไม่ได้ที่จะโมโห มองไปที่ฝู้จิงเหวิน อย่างโมโหและผิดหวัง
“งั้นฉันถามนาย นายเชื่อคำพูดของแอดไลน์ผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม?”
ถึงแม้ฝู้จิงเหวินจะรู้ว่าตัวเองทำผิด แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ในตอนแรกเขาก็เชื่อคำพูดของแอดไลน์จริงๆ
ถ้าหากว่าตอนนั้นจิ้นเฟิงเฉินไม่อยู่หล่ะก็ เขาไม่รู้จริงๆว่าจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ยังไง
เมื่อเผชิญหน้ากับการซักถามของแม่ฝู้ ฝู้จิงเหวินปิดปากเงียบสนิทไม่พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้า
เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของฝู้จิงเหวิน แม่ฝู้ก็ลุกขึ้นมาอย่างโมโห ชี้มาที่ฝู้จิงเหวินและพูดว่า “แอดไลน์ผู้หญิงคนนั้นมีท่าทางยังไงนายไม่เข้าใจ? นายยอมที่จะเชื่อผู้หญิงที่สลับซับซ้อนแบบนั้น แต่ไม่ยอมเชื่อสื้อสื้อ ในเมื่อตอนแรกเธอยอมตัดสินใจแต่งงานกับนาย นั่นคือการเตรียมพร้อมแล้วที่จะตัดขาดจากอดีต
นายทำแบบนี้ ไม่ใช่ว่าทำให้เธอผิดหวังเเหรอ? ถ้าหากไม่ใช่คนข้างล่างเป็นคนบอกฉันเรื่องนี้ นายยังไม่รู้ว่าจะปิดบังฉันไปถึงเมื่อไหร่!”
ในฐานะที่เป็นผู้หญิง แม่ฝู้เข้าใจสื้อสื้อมาก ถูกคนเข้าใจผิดเป็นเรื่องที่เป็นทุกข์มากที่สุดในโลก
ฝู้จิงเหวินไม่เคยเข้าใจเหตุผลนี้เลย แค่ในตอนนั้นเห็นท่าทีของฝู้จิงเหวินที่ดูแลปกป้องเจียงสื้อสื้อ เขาก็สูญเสียสติปัญญาไปทั้งหมด
ในใจทั้งเสียใจและหดหู่ ทำได้แค่ยิ้มอย่างขมขื่น “แม่ เรื่องนี้ผมทำผิดแล้ว ผมเข้าใจ”
เห็นท่าทางแบบนี้ของฝู้จิงเหวิน แม่ฝู้ก็ยิ่งโกรธมาก
“ตอนนี้นายรู้ว่าตัวเองผิดก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ที่นายควรทำก็คือไปของโทษสื้อสื้อ พิจารณาความผิดของตัวเองอย่างตั้งใจ ลูกสะใภ้ของฉันจะโดนรังแกฟรีๆไม่ได้ ถ้าหากว่านายไม่ไปสั่งสอนผู้หญิงคนนั้น ฉันจะไปเยี่ยมถึงบ้านและคุยกับแม่ของผู้หญิงคนนั้นด้วยตัวเอง สอนออกมาได้คุณภาพแบบนี้!”
ในตอนนั้นเธอยังคิดจะให้พวกเขาเกี่ยวดองกัน ดูจากครั้งนี้แล้ว ถ้าเกิดว่าตอนแรกไม่ใช่เพราะการปฏิเสธของฝู้จิงเหวิน เกรงว่าความหายนะนี้จะต้องเป็นตระฝู้ของพวกเขาที่รับไว้
คิดถึงตรงนี้แม่ฝู้ก็ยิ่งดีใจที่เจียงสื้อสื้อปรากฏตัว แต่ก็ยิ่งโมโหฝู้จิงเหวินที่ไม่เชื่อใจเจียงสื้อสื้อ
ย้อนนึกไปถึงภาพเหตุการณ์วันนี้ที่โรงพยาบาล ฝู้จิงเหวินเห็นความผิดหวังและเสียใจในดวงตาของเจียงสื้อสื้ออย่างชัดเจน
ตอนนี้ที่เขากลัวคือการทำให้หัวใจของเจียงสื้อสื้อบาดเจ็บถึงที่สุด
เงียบอยู่สักพัก ก็พูดว่า “แม่ งั้นผมควรจะทำยังไง?”
แม่ฝู้เห็นลูกชายของตัวเองยังมีเปลี่ยนใจกลับมาเล็กน้อย ความโมโหอย่างรุนแรงในใจก็หายไปเล็กน้อย
เธอกลับไปนั่งบนโซฟาและโอบแขนของฝู้จิงเหวินพูดว่า “ถ้าหากว่านายอยากจะเอากลับคืนมาจริงๆ ก็ไปขอโทษสื้อสื้ออย่างตรงไปตรงมา อธิบายดีๆสักหน่อย”
ฝู้จิงเหวินได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า
วันต่อมา
เสี่ยวเป่าและเถียนเถียนมาถึงโรงพยาบาลแต่เช้า
ก่อนจะมาก็โดนจิ้นเฟิงเฉินกล่าวเตือน ไม่อนุญาตให้สัมผัสเจียงสื้อสื้อง่ายๆ เพื่อหลีกเลี่ยงให้แผลเธอฉีก
ดังนั้นเด็กน้อยทั้งสองคนก็หายใจไม่ทั่วท้องโดยตลอด กลัวมากว่าจะมีผลกระทบกับแผลของเจียงสื้อสื้อ
บนใบหน้ามีความกังวลและกลุ้มใจไม่สอดคล้องกับอายุ
เจียงสื้อสื้อเห็นทั้งสองคนมีความกังวลใจ ยิ่งดูก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา
เสี่ยวเป่ามองเจียงสื้อสื้อหัวเราะส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างงงๆ ก็ถามว่า “หม่ามี๊ หม่ามี๊หัวเราะอะไรครับ?”
พูดจบ เจียงสื้อสื้อก็ยื่นมือไปบีบแก้มของเสี่ยวเป่า ยิ้มออกมา
“หม่ามี๊ไม่ได้เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ พวกหนูสองคนกลุ้มใจทั้งวันเหมือนกับอะไรอย่างนั้น ไม่ต้องเป็นห่วงหม่ามี๊ พักฟื้นสักพักก็โอเคแล้ว”
“ไม่ให้เป็นห่วงหม่ามี๊เหรอ หม่ามี๊เมื่อไหร่หม่ามี๊จะหายเป็นปกติหล่ะครับ เสี่ยวเป่าคิดทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่เห็นว่าหม่ามี๊จะหายดีเร็วๆ” เสี่ยวเป่าพูดอย่างออดอ้อน
เถียนเถียนที่อยู่ข้างๆก็พยักหน้าตาม เห็นด้วยมากกับคำพูดของเสี่ยวเป่า
ในตอนที่ทั้งสองสามคนกำลังพูดคุยกัน ในตอนนั้นฝู้จิงเหวินก็ถือตะกร้าผลไม้เดินเข้ามาพอดี
นำตะกร้าวางไว้ข้างๆ พูดอธิบายว่า “ตอนนี่คุณกำลังฟื้นฟูร่างกายมีอาหารไม่น้อยที่ทานไม่ได้ ก็เลยซื้อผลไม้มาเล็กน้อย”
มองไปที่ตะกร้าผลไม้เล็กน้อย เจียงสื้อสื้อตอบอย่างสุภาพ “ขอบคุณค่ะ รบกวนคุณมากไปแล้ว”
ฝู้จิงเหวินคิดไม่ถึงว่าเจียงสื้อสื้อจะใช้คำพูดที่เกรงอกเกรงใจไม่คุ้นในการตอบขนาดนี้ ราวกับว่าแค่ชั่วพริบตาเดียวความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนก็ถูกดึงไปไกลแล้ว
เถียนเถียนก็ไม่มาใกล้ชิดเขาอีก มองสายตาของเขาก็ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน
ในใจอดไม่ได้ที่จะกลัดกลุ้มเหมือนมีอะไรขาดหายไป ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดขึ้นมาจากตรงไหน
จริงๆแล้วก็เข้าใจท่าทีของเจียงสื้อสื้อทุกวันนี้
ในตอนนั้น เขาไม่ได้เลือกที่จะเชื่อเธอตั้งแต่แรก ตอนนี้กล้ามาจากไหนจะมาขอให้เธอไม่สนใจเรื่องนี้?
หลังจากลังเลอยู่สักพัก ฝู้จิงเหวินพูดออกมาอย่างเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
“สื้อสื้อ วันนี้ที่ผมมาคือจะมาขอโทษคุณ เมื่อวานผมไม่ดีเอง ที่เชื่อคำพูดพูดของแอดไลน์ผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้เลือกที่จะเชื่อคุณตั้งแต่แรก ขอโทษ ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย”
เสี่ยวเป่าและเถียนเถียนต่างจ้องมองกันไปมาด้วยความตะลึงไม่รู้จะทำยังไงดี ไม่เข้าใจคำพูดของฝู้จิงเหวิน
เจียงสื้อสื้อพิงอยู่ที่หัวเตียง ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางมองขึ้นไปบนฟ้า ยิ้มอย่างอบอุ่น ในสายตาของฝู้จิงเหวินกลับกลายเป็นมีดที่ไร้ความปรานี
เธอพูดเบาๆว่า “คุณไม่ต้องสนใจเรื่องนี้เหรอก ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่ต้องเอามาใส่ใจ ดีไหม?”
ความไม่สนใจของเธอทำให้จิ้นเฟิงเฉินหาคำตอบอื่นไม่เจอ ทำได้เพียงตอบไปอย่างกลัดกลุ้มใจ “โอเค”
บรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในชั่วขณะ ฝู้จิงเหวินก้มหัวลงอย่างทรมานใจ
ยิ่งเจียงสื้อสื้อแสดงออกว่าไม่เป็นไรในใจของเขาก็ยิ่งไม่สบายใจ
เขากลับคิดว่าเจียงสื้อสื้อจะแสดงความรู้สึกตื่นเต้นออกมาสักหน่อย ทะเลาะกับเขาโวยวายกับเขา อย่างน้อยความรู้สึกผิดในใจของเขาจะได้น้อยลงไปบ้าง
อย่างน้อยที่สุดเขายังรับรู้ได้ว่าเธอยังสนใจ
เจียงสื้อสื้อเห็นความรู้สึกของฝู้จิงเหวินลดต่ำลง เคลื่อนย้ายสายตาอย่างเงียบๆ
แม้ว่าเธอไม่แก่งแย่งกับคนอื่น แต่เธอก็ไม่ใช่กระสอบทราย จะได้ทำเหมือนความไม่เป็นธรรมอะไรเหมือนเมฆหมอกที่ลอยผ่านไป
รู้สึกขัดข้องใจกับเรื่องนี้อยู่แล้วในใจ ไม่มากแต่กลับฝังรากลึกลงไป
ฝู้จิงเหวินเห็นเธอไม่เต็มใจให้เขาพูดอะไรมากอีก ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา สรรหาคำข้ออ้าง “สื้อสื้อคุณพักผ่อนเยอะๆ ผมไปห้องวิจัยก่อน”