จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกตลกกับคำพูดต่อรองของเถียนเถียน
แต่ก็ปฏิเสธคำขอร้องของหนูน้อยไม่ลง สุดท้ายก็ทำได้แค่อุ้มเธอเดินเข้าไปในห้องนอนของเจียงสื้อสื้อ
เมื่อเถียนเถียนเห็นเจียงสื้อสื้อนอนอยู่บนเตียง เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“แด๊ดดี้ หม่ามี๊เจ็บมากไหม?”
หนูน้อยเอามือปิดปากถามเบาๆ
ตอนเธอป่วยเธอรู้สึกทรานเป็นอย่างมาก แล้วยังต้องฉีดยา คงไม่ต้องพูดว่าทรมานแค่ไหน
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า พูดเสียงเบาๆเลียนแบบเธอว่า “ใช่แล้ว งั้นเถียนเถียนรับปากกับแด๊ดดี้ ให้หมามี๊พักผ่อนได้ไหม?”
หนูน้อยตอบตกลงอย่างรู้ความ
หนูน้อยที่กินข้าวเช้าเสร็จแล้ว นอนอยู่ในอ้อมแขนของจิ้นเฟิงเฉินอย่างรู้ความ
ต่อไปในอีกสองวันที่เจียงสื้อสื้อนอนหลับไป จิ้นเฟิงเฉินก็ได้ทำที่บริษัทมอบหมายให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
เถียนเถียน โม่เหยียและหานยู่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ดีที่ร่างกายของเจียงสื้อสื้อไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว พวกเขาสองคนผลัดกันเล่นกันเถียนเถียนก็ไม่ใช่ปัญหา
นี่ก็ถือว่าเป็นการช่วยให้แบ่งเบาภาระให้กับจิ้นเฟิงเฉิน
เจียงสื้อสื้อตื่นขึ้นในตอนบ่ายของวันที่สอง นิ้วมือขยับเล็กน้อย
ท่าทางเล็กๆน้อยๆนี้ทำให้จิ้นเฟิงเฉินที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลามองเห็น
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ตะโกนเรียกโม่เหยียและหานยู่ กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
“เอ่อ……”
เจียงสื้อสื้อส่งเสียงออกมา ลืมตาขึ้นแล้วก็ยกหัวที่มึนงงของตัวเองขึ้นมา
การขยับตัวของเธอทำให้ไปโดนเข็มที่ยังติดอยู่ที่หลังมือของเธอ รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันใด
จิ้นเฟิงเฉินโน้มตัวลงไปกอดเธอเอาไว้ “สื้อสื้อ ในที่สุดคุณก็ฟื้นแล้ว”
เสียงที่แหบแห้งเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เจียงสื้อสื้อหันหน้าไปมอง จิ้นเฟิงเฉินที่ไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาสองวันหน้าตาซีดเซียว แล้วยังมีหนวดขึ้นมาตรงบริเวณกรามของเขา
ดวงตาที่ราวกับหินแร่ธาตุสีดำคู่นั้นเปล่งประกายเจิดจ้า ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุขและความห่วงใย
“คุณหญิง นอนลงอีกครั้งได้ไหม พวกเราจะตรวจร่างกายให้คุณ”
ได้ยินที่โม่เหยียพูด เจียงสื้อสื้อพยักหน้า จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่สายตากลับจ้องมองไปที่จิ้นเฟิงเฉิน ไม่อยากให้คลาดสายตาแม้แต่น้อย
ดูเหมือนเธอจะจำได้แล้วว่าตัวเองมีไข้ขึ้น
แต่ทำไมเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินถึงได้ซีดเซียวขนาดนี้?
“หม่ามี๊! เถียนเถียนกับแด๊ดดี้เป็นห่วงหม่ามี๊มากๆ ”
หนูน้อยเข้ามาพร้อมกับโม่เหยีย เห็นเจียงสื้อสื้อลืมตาขึ้นมาแล้ว เธอก็แสดงความคิดถึงของตัวเองอย่างตื่นเต้นอยู่ข้างเตียง
โม่เหยียตรวจร่างกายอย่างละเอียดให้กับเจียงสื้อสื้อ
“ร่างกายของคุณหญิงไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว”
ได้ยินประโยคนี้ หัวใจที่เต้นขึ้นมาจนถึงลำคอของจิ้นเฟิงเฉินในช่วงสองวันที่ผ่านมา ในที่สุดก็กลับเข้าไปในท้องได้แล้ว
โม่เหยียและหานยู่ ทั้งสองคนเก็บของออกไปอย่างรู้งาน
พวกเขาไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอ และยิ่งไม่อยากถูกความหวานของคนรักกันสาดเข้าหน้า
“เฟิงเฉิน ฉันหลับไปนานมากเลยใช่ไหม?”
ทั้งสองคนพึ่งจะออกไป เจียงสื้อสื้อก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นนั่ง จับมือที่อบอุ่นและแห้งกร้านของจิ้นเฟิงเฉินมาถาม
จิ้นเฟิงเฉินนั่งลงข้างๆเจียงสื้อสื้อ ยื่นแขนออกไปกอดเธอเอาไว้
“คุณหลับไปสองวัน แต่ว่าก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
เจียงสื้อสื้อรู้ว่าตัวเองหลับไปสองวันก็ถึงกับตกใจ เงยหน้าขึ้นมองไปที่ใบหน้าที่ซีดเซียวของจิ้นเฟิงเฉิน
ระหว่างคิ้วของเขายังคงมีร่องรอยของความเหนื่อยล้า
ถึงแม้ว่าจะไม่ถาม แต่เธอก็เดาออก สองวันที่ผ่านมาเขาคงจะพักผ่อนไม่เพียงพอ และยังคอยดูแลเธอไม่ห่างไปไหน
เธอรู้สึกซาบซึ้งและเสียใจ
“เฟิงเฉิน ฉันขอโทษที่ทำให้คุณเป็นห่วง”
เจียงสื้อสื้อเอื้อมมือไปกอดที่เอวของจิ้นเฟิงเฉิน เอาใบหน้าเล็กๆวางไว้ที่หน้าอกของเขาและพูดขอโทษเบาๆ
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มอ่อน เขายกมืออีกข้างหนึ่งลูบผมของเธอเบาๆ
“ขอแค่คุณไม่เป็นอะไร ก็ดีกว่าอะไรทั้งนั้น”
สำหรับเขาแล้ว เจียงสื้อสื้อก็คือชีวิตของเขา
เขายอมที่จะสละชีวิต แต่ไม่มีทางยอมให้เธอเป็นอะไรไปแม้แต่น้อย
“หม่ามี๊ เถียนเถียนก็อยากกอด!”
หนูน้อยที่ถูกทอดทิ้ง จู่ๆก็เดินเข้ามาหาทั้งสองคนด้วยความไม่พอใจ ยกแขนเล็กๆสองข้างขึ้นประท้วง
“ได้เลย!”
เจียงสื้อสื้อกำลังจะเข้าไปอุ้มหนูน้อย
แต่กลับถูกจิ้นเฟิงเฉินที่สงสารเธอแย่งอุ้มหนูน้อยไว้ซะก่อน อุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา
เถียนเถียนหันหน้าออกมาอยากจะเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเจียงสื้อสื้อ กอดเอวเธอไว้อย่างแน่น จากนั้นก็เริ่มฟ้องว่า “หม่ามี๊ หนูมีอะไรจะฟ้องหม่ามี๊ สองวันมานี้แด๊ดดี้ไม่ยอมกินข้าวเข้านอนตรงเวลา!”
“โอเค เดี๋ยวหม่ามี๊จัดการเขา”
พูดเสร็จ เจียงสื้อสื้อก็จงใจทำสีหน้าดุร้ายเงยหน้าขึ้นไปมองจิ้นเฟิงเฉิน
แต่ทันทีที่สบตากับเขา เธอก็ใจอ่อนทันที
“เฟิงเฉิน ในเมื่อฉันไม่เป็นอะไรแล้ว คุณไปนอนก่อนดีไหม?ตอนเย็นฉันจะทำอาหารให้คุณกินเอง”
เธอใช้น้ำเสียงเกลี้ยกล่อมเด็กพูดกับจิ้นเฟิงเฉิน
จิ้นเฟิงเฉินก็เหนื่อยมากแล้วเหมือนกัน หลังจากครุ่นคิดอยู่สองสามวินาที เขาก็ตอบตกลง
รอให้เขาหลับไปแล้ว เจียงสื้อสื้อก็พาเถียนเถียนออกมาจากห้องนอน สองแม่ลูกพากันมานั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
เถียนเถียนยังเล่าเรื่องราวต่างๆของสองวันที่ผ่านมาให้เธอฟัง สุดท้ายยังไม่ลืมที่จะเพิ่มเติมอีกหนึ่งประโยค
“หม่ามี๊ วันนี้หม่ามี๊จะเล่นกับเถียนเถียนทั้งวันเลยใช่ไหม”
แน่นอนว่าเจียงสื้อสื้อพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
เล่นกับหนูน้อยจนถึงตอนเย็น เจียงสื้อสื้อก็ลงมือเตรียมส่วนผสมจำเป็นสำหรับอาหารเย็นวันนี้
เถียนเถียนก็เอะอะบอกว่าจะช่วยหม่ามี๊ทำอาหารเย็นให้แด๊ดดี้กิน
เจียงสื้อสื้อทนต่อความกระตือรือร้นของหนูน้อยไม่ไหว จึงแยกผักออกไปให้หนูน้อยแกะนิดหน่อย
จิ้นเฟิงเฉินตื่นขึ้นมาและเดินลงไปชั้นล่าง ภาพที่เขาเห็นคือเงาของคนที่กำลังยุ่งอยู่ในครัว
บนโต๊ะอาหารก็มีอาหารอร่อยๆวางอยู่มากมาย เห็นแล้วอยากจะกิน
“สื้อสื้อ ผมช่วยคุณเอง”
จิ้นเฟิงเฉินเดินผ่านโต๊ะอาหารเข้าไปในครัว แต่กลับถูกเจียงสื้อสื้อไล่ออกไปทันที “คุณรอกินก็พอ เอ่อใช่ คุณไปเล่นกับเถียนเถียนสิ”
ช่วยไม่ได้ จิ้นเฟิงเฉินก็เลยหันกลับไปนั่งข้างๆเถียนเถียนบนโซฟาและดูการ์ตูนกับเธอ
สิบห้านาทีต่อมา เจียงสื้อสื้อเอาขนมชิ้นสุดท้ายวางลงบนโต๊ะอาหาร จากนั้นก็กวักมือเรียนสองพ่อลูกมากิน
พ่อแม่ลูกนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร
เถียนเถียนอดไม่ได้ที่จะหยิบน่องไก่ชิ้นโตๆมากัดคำหนึ่ง ทั้งกินทั้งยกนิ้วให้เจียงสื้อสื้อ “หม่ามี๊ อร่อยมากเลย!”
เจียงสื้อสื้อถูกชมจนยิ้มออกมา
หลังจากที่ทั้งสามคนกินอาหารเย็นกันอย่างมีความสุขเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวเป่าก็โทรศัพท์เข้ามา
“หม่ามี๊ แด๊ดดี้ อยู่ไหม?”
เสียงที่อ่อนโยนของเสี่ยวเป่าดังออกมาจากโทรศัพท์ เถียนเถียนได้ยินเสียงของพี่ชาย เธอก็รีบแทรกเข้ามา
ตะโกนเสียงดังอยู่ห่างๆว่า “พี่ชาย!”
เจียงสื้อสื้อยิ้มและเปิดสปีกเกอร์โฟน
“เสี่ยวเป่า หม่ามี๊เอง”
“หม่ามี๊ แด๊ดดี้ เสี่ยวเป่าเป็นเด็กดี”
เสี่ยวเป่าเงียบไปพักหนึ่งและถามด้วยความเขินอายว่า “แล้วหม่ามี๊กับแด๊ดดี้จะกลับมาเมื่อไหร่?ผมคิดถึงทุกคนแล้ว!”
ได้ยินแบบนี้ เจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินก็หันมามองหน้ากันแล้วยิ้มตอบไปว่า “เสี่ยวเป่าเป็นเด็กดี อีกไม่นานหม่ามี๊กับแด๊ดดี้ก็จะพาน้องกลับไปแล้ว”
คุยกับเสี่ยวเป่าอยู่พักหนึ่ง เจียงสื้อสื้อก็วางสาย ตัดสินใจกับจิ้นเฟิงเฉินว่าจะกลับประเทศพรุ่งนี้
เช้าของวันต่อมา
ทั้งสามคนก็ขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินบินกลับประเทศ