ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! – บทที่939 มันก็แค่การถอยเพื่อความก้าวหน้า

บทที่939 มันก็แค่การถอยเพื่อความก้าวหน้า

พอกลับมาที่บ้านตระกูลฟาง ยังไม่ทันจะนั่งลง ก็ได้ยินฟางเฉิงพูดออกมาอย่างแทบจะรอไม่ไหว “ทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว เย็นนี้ต้องสรุปผลให้ได้ ว่าใครจะมาดูแลฟางซื่อกรุ๊ปชั่วคราว”

เขารีบขนาดนี้ กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ความคิดของตัวเองหรือยังไง?

เจียงสื้อสื้อสีหน้าเรียบเฉย ถึงให้จิ้นเฟิงเฉินนั่งลงริมสุด เธอยังไม่ต้องการจะมีส่วนร่วมในตอนนี้ อยากจะฟังก่อนว่าพวกเขาจะพูดว่าอะไรกัน

“ใช่ ฉันเห็นด้วยกับพี่ใหญ่” ฟางรุ่ยเสริม

เมื่อจุดประสงค์ของทุกคนเหมือนกัน พวกเขายืนอยู่ในเส้นเดียวกัน

ฟางเถิงยกมือขึ้นมานวดหว่างคิ้ว น้ำเสียงค่อนข้างเหนื่อยล้า “ก็ได้ ถ้ายังงั้นพวกพี่คิดว่าควรเป็นใครล่ะ? ”

“อี้หมิง!”

“เย้นซิน!”

ฟางเฉิงกับฟางรุ่ยตอบพร้อมกัน

เลือกไม่เหมือนกัน

ทั้งสองคนมองหน้ากัน ฟางเฉิงแสดงท่าทีของพี่ใหญ่ “น้องรอง ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดว่าความสามารถของอี้หมิงและเย้นซินใครเก่งกว่ากัน แต่ว่านายอย่าลืมนะว่าอี้หมิงเป็นหลานคนโต เขาเหมาะสมที่จะเป็นผู้สืบต่อของตระกูลฟางมากที่สุด”

พอได้ยินดังนั้น ฟางรุ่ยก็ยิ้ม “พี่ใหญ่ นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว ยังจะมาแยกหลานคนโตอะไรอีก มันต้องสำหรับผู้ที่มีความสามารถสิ!”

พอพูดแบบนี้ เขาก็หันไปมองฟางเถิง “น้องสาม แกว่าถูกไหม? ”

ฟางเถิงไม่ได้ตอบอะไร

เขาก็ไม่ได้อารมณ์เสียอะไร และพูดต่อ “ทุกคนก็เห็นอาการของพ่อแล้ว มันต้องส่งผลกระทบสู่บริษัทอย่างแน่นอน พนักงานไม่น้อยเลยที่กลัวว่าพ่อล้มไปแล้วฟางซื่อกรุ๊ปจะจบสิ้น

เพราะฉะนั้นคนที่จะมาแทนที่พ่อชั่วคราวนั้น นอกจากจะมีความสามารถแล้ว ก็ต้องมีความกล้าหาญด้วย ต้องเป็นเย้นซินเท่านั้น”

ฟางเย้นซินนั้นไม่เคยยอมแพ้หรือว่าท้อถอย ปลิ้นปล้อนพอๆ กับฟางอี้หมิง ความจริงแล้วก็เหมาะสมมากเช่นกัน

แต่ว่าคนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ย่อมรู้ดีว่า ไม่ว่าจะเป็นฟางอี้หมิงหรือฟางเย้นซินที่มาควบคุมฟางซื่อกรุ๊ปนั้น คนอื่นๆ ก็ต้องถูกไล่ออกจากฟางซื่อกรุ๊ปเนื่องจากไม่ใช่พวกเดียวกันอย่างแน่นอน

พวกเขาไม่สามารถทนกับคนที่ไม่เห็นด้วยกับพวกเขาได้

เพราะในสายตาของพวกเขามีเพียงผลประโยชน์และอำนาจ

“ไม่ถูก ต้องเป็นอี้หมิง!” ฟางเฉิงโต้กลับ “ถ้าจะพูดถึงความสามารถ อี้หมิงก็สุดยอด ดังนั้นอี้หมิงคือคนที่เหมาะสมที่สุด!”

และแล้ว ฟางเฉิงกับฟางรุ่ยก็ทะเลาะกันขึ้นมาอีกครั้งเพราะเห็นต่าง แม้แต่ภรรยาของพวกเขาก็เข้าร่วมศึกครั้งนี้ด้วย

สถานที่นี้วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง

พอเห็นว่าทะเลาะกันไม่จบไม่สิ้น ฟางเถิงที่เงียบอยู่นานนั้นสุดท้ายกอดไม่ได้ แล้วตะคอกออกมา “พอแล้ว!”

การทะเลาะวิวาทหยุดลงทันที

ทุกคนก็มองไปที่ฟางเถิง

ฟางเถิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ “ฉันรู้ว่าพวกพี่คิดว่าลูกชายของตัวเองมีความสามารถมากที่สุด……”

พึ่งจะพูดออกไปได้ครึ่งหนึ่ง พ่อบ้านก็รีบร้อนเดินเข้ามา “ทนายเฉินของคุณท่านมาแล้วครับ”

ทนายเฉิน?

ทุกคนมองหน้ากัน ทุกคนมีคำถามในใจ

ทนายเฉินคนนี้มาทำอะไรกัน?

ฟางอี้หมิงหรี่ตาลง แล้วเบิกตากว้างทันทีด้วยความประหลาดใจ คงไม่ใช่แบบที่เขาคิดใช่ไหม?

พ่อบ้านเชิญทนายเฉินเข้ามา

ทนายเฉินก้มหน้าทักทายอย่างมีมารยาท “สวัสดีตอนเย็นครับ ผมคือทนายเฉิน ทนายของคุณท่านฟางครับ”

“สวัสดีครับ รบกวนสอบถามว่ามีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ? ” ฟางเถิงถาม

“คือว่ายังงี้ครับ คุณท่านฟางได้ให้ผมได้ทำพินัยกรรมไว้ก่อนหน้านี้”

“พินัยกรรม?!”

ฟางเฉิงกับฟางรุ่ยตกใจ

คุณท่านไปทำพินัยกรรมไว้ตอนไหนกัน?

ตอนนั้นเอง พวกเขาก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ทนายเฉินเพิกเฉยต่อความตกใจของพวกเขา กล่าวต่อไปอย่างใจเย็น “ในพินัยกรรมคุณท่านฟางเขียนว่าถ้าเกิดว่าอุบัติเหตุ พินัยกรรมนี้จะมีผล ครั้งนี้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้น ดังนั้นพินัยกรรมของท่านก็ถือว่ามีผลบังคับใช้”

“พินัยกรรมเขียนว่ายังไงครับ? ” ฟางเฉิงถามอย่างรีบร้อน

ได้โปรดอย่าเป็นอย่างที่เขาคิดเลย

“พินัยกรรมเขียนว่าฟางยู่เชินจะเป็นผู้สืบทอด หลังจากวันนี้เป็นต้นไปฟางซื่อกรุ๊ปมอบให้เขาเป็นคนดูแลครับ”

“เป็นไปไม่ได้!”ฟางเฉิงไม่เชื่อ เขาหรี่ตาและจ้องไปที่ฟางเถิง “น้องสาม ทนายเฉินคนนี้แกเป็นคนหามาใช่ไหม เพื่อที่จะครอบงำฟางซื่อกรุ๊ปใช่ไหม? ”

ฟางเถิงขมวดคิ้ว “พี่ พูดจาไร้สาระอะไรอยู่? ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเรื่องพวกนี้”

ความจริงมันเป็นแบบนี้จริงๆ

เขาไม่รู้เลยว่าคุณท่านจะเขียนพินัยกรรมนี้เอาไว้นานแล้ว เกรงว่าเขาน่าจะคาดไว้แล้วว่ามันจะมีวันนี้สินะ

พอคิดได้แบบนี้ ฟางเถิงก็รู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก

ฟางเฉิงหัวเราะออกมาด้วยความโมโห “ได้ ถ้าแกอยากจะพิสูจน์ว่าแกไม่รู้เรื่อง ก็อย่าให้ลูกชายแกสืบทอดทุกอย่างของตระกูลฟางสิ”

“ยังไงฉันก็ไม่เชื่อว่าพ่อจะทำพินัยกรรมอะไรหรอก!” ฟางรุ่ยเองก็แสดงออกว่าสงสัยเหมือนกัน “นอกจากพ่อจะมีความสามารถที่จะคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้”

ทนายเฉินคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้ เขาก็หยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋าอย่างไม่รีบไม่ร้อน เปิดออก แล้วเอาวางไว้บนโต๊ะ

“พวกคุณลองดูพินัยกรรมฉบับนี้เอาก็ได้ครับ ด้านบนมีลายเซ็นของคุณท่านอยู่”

นอกจากครอบครัวของฟางเถิง เจียงสื้อสื้อและจิ้นเฟิงเฉิน ทุกคนก็ต่างล้อมเข้าไปดู

หลังจากอ่านพินัยกรรมแล้ว ใบหน้าของพวกเขาดูแย่เล็กน้อย

“ใครจะรู้ว่าลายเซ็นนี้ถูกปลอมแปลงหรือไม่” ทันใดนั้นเฉินหยุนก็พูดขึ้นมา

หลินหลานก็รีบเสริม “ใช่ สิ่งนี้สามารถปลอมแปลงได้และลายเซ็นก็ได้เช่นกัน ”

ทนายเฉินยังคงสงบนิ่งเช่นเคย “ถ้าเกิดว่าพวกคุณไม่เชื่อ ก็สามารถเชิญคนมาประเมินได้นะครับ”

พอพูดออก พวกฟางเฉิงก็มองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงดี

ตอนนี้เอง ฟางเถิงก็พูดว่า “ทนายเฉินเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของฟางซื่อกรุ๊ป และในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่พ่อเชื่อใจ เขาจะปลอมเอกสารและลายเซ็นได้อย่างไร? ”

“แกก็พูดแบบนี้ได้สิ เพราะว่าคนที่ได้ประโยชน์จากพินัยกรรมนี้ก็คือแกไง” ฟางเฉิงพูดอย่างเย็นชา

“ไม่ว่าใครจะได้ประโยชน์ แต่ฉันก็จะเชื่อฟังพ่อ พ่อจะมอบฟางซื่อกรุ๊ปให้ยู่เชิน ถ้ายังงั้นยู่เชินก็จะรับมา พวกเราไม่รู้สึกละอายใจในการตรวจสอบตนเอง”

ฟางเถิงสีหน้าดูใจกว้าง

ฟางยู่เชินลุกขึ้น “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับคุณปู่ พวกเราทะเลาะกันต่อไป ก็ไม่ดีต่อใครทั้งนั้น แล้วอีกอย่างผมก็จะรับคำสั่ง ถึงแม้ว่าจะรับมือไม่ทัน แต่ว่าผมก็จะไม่ทำให้คุณปู่ผิดหวัง”

“น้องสาม พวกแกเชื่อว่าพินัยกรรมนี้คือจริงยังงั้นเหรอ? ” ฟางเฉิงยังไม่ยอมเชื่อ

ไม่รอให้ฟางเถิงตอบ จู่ๆ ฟางอี้หมิงก็พูดขึ้นมา “พอเถอะพ่อ ในเมื่อปู่ทำพินัยกรรมขึ้นมาแล้ว พวกเราก็ทำตามนั้นเถอะ”

“อี้หมิง!”

ฟางเฉิงมองลูกชายตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ

คนอื่นๆ ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าฟางอี้หมิงจะพูดแบบนี้ ก็ต่างตื่นตกใจกัน

“เขาคิดได้แล้วเหรอ? ” เจียงสื้อสื้อกระซิบถามจิ้นเฟิงเฉิน

จิ้นเฟิงเฉินมองฟางอี้หมิง แล้วถามกลับ “เธอคิดว่าไงล่ะ? ”

“ฉันคิดว่า……เป็นไปไม่ได้” เจียงสื้อสื้อคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็วิเคราะห์ว่า “ตอนที่คุณปู่ยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน พวกเขาก็รีบยืนขึ้นพูดเกี่ยวกับเรื่องที่จะให้ฟางอี้หมิงเป็นคนดูแลฟางซื่อกรุ๊ปชั่วคราว ความทะเยอทะยานถูกเขียนไว้บนใบหน้าหมดแล้ว แล้วจู่ๆ จะมาคิดได้ได้ยังไง? ”

จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า “ถูกแล้ว เขากำลังถอยหลังเพื่อจะก้าวไปด้านหน้า”

ครอบครัวฟางเฉิงไม่ได้มีความคิดเห็นอะไร ส่วนฟางรุ่ยน่ะเหรอ ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่ยอมรับพินัยกรรมฉบับนี้

แต่ว่าความจริงก็คือความจริง มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ต่อให้พวกเขาไม่ยอมรับ ฟางยู่เชินก็จะต้องดูแลฟางซื่อกรุ๊ปต่อไป

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

Status: Ongoing

เมื่อห้าปีก่อน เพื่อช่วยแม่ของเธอ เธอบังคับตัวเองทําเรื่องเสื่อมทราม และกําเนิด ลูกให้คนอื่น หลังคลอดลูกแล้ว ก็ไม่เคยเห็นลูกอีก ห้าปีต่อมา ซาลาเปาตัวน้อย กลับมาหาเขา และพัวพันอยู่กับเจียงสือสือ อยากจะจูบ อยากจะกอดและนอน ด้วยกัน เจียงซื้อซื้อก็เต็มใจและมีการตอบสนองด้วย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท