จิ่งหลิวเยว่เห็นพิเอร์สไม่ไป ภายใต้ความโกรธก็ยกมือขึ้นฟาดไปทางหญิงสาว
พิเอร์สมือไวตาไวขัดขวางมือเขาเอาไว้ ตะคอกว่า “ผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิงไม่ใช่สุภาพบุรุษ!”
ถลึงตาใส่หญิงสาวที่แอบอยู่ด้านหลังของพิเอร์ส จิ่งหลิวเยว่ขู่ตะคอกว่า “มานี่”
หญิงสาวกัดริมฝีปากส่ายหน้าไม่หยุด น้ำตาคลอเบ้า
ท่าทางแบบนี้ทำให้พิเอร์สสงสารจับใจ “เธอไม่มีทางกลับไปกับคุณ คุณอย่าบีบบังคับเธอเลยนะ”
จิ่งหลิวเยว่ไม่พูดอะไรสักคำ จ้องหญิงสาวเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง จึงหมุนตัวเดินจากไปด้วยความขุ่นเคืองอย่างยิ่ง
ใครก็ไม่ได้สังเกตว่าพอเขาจากไปแล้ว มุมปากก็กระตุกขึ้นมาเป็นรอยยิ้มแห่งความสุข
มองดูจิ่งหลิวเยว่ขับรถจากไป พิเอร์สหันหน้าไป พูดกับหญิงสาวที่น่าสงสารว่า “เขาไปแล้ว คุณกลับบ้านเถอะ”
“ฉันไม่มีบ้าน” หญิงสาวพูดพลางร้องไห้พลาง
พิเอร์สและซ่างกวนเชียนสบตากัน สุดท้าย หญิงสาวก็ถูกพิเอร์สพากลับไปที่โรงแรม
พอจิ่งหลิวเยว่ขึ้นรถก็โทรศัพท์หาจิ้นเฟิงเฉิน
รอจนมีคนรับสาย เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “พี่ จัดการเรียบร้อยแล้ว
เจียงสื้อสื้อเพิ่งหลับ จิ้นเฟิงเฉินเกรงว่าจะเสียงดังรบกวนเธอ จึงหยิบโทรศัพท์เดินไปที่ระเบียง
“ได้รับแล้วเหรอ” เขาถามเสียงเข้ม
“ไม่ใช่ ผมบอกว่าคนของผมเข้าใกล้พิเอร์สแล้ว ของที่พี่ต้องการไม่นานก็จะได้รับแล้ว”
เมื่อเทียบกับความตื่นเต้นของจิ่งหลิวเยว่ จิ้นเฟิงเฉินดูเงียบมากไปเลย
“รอให้ได้ของก่อนแล้วค่อยโทรหาฉัน”
พูดจบ จิ้นเฟิงเฉินก็วางสายทันที ไม่ให้โอกาสจิ่งหลิวเยว่ได้พูดอะไร
“ฮัลโหล ๆๆ!”
จิ่งหลิวเยว่มองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสาย มุมปากก็ยกขึ้น ทำมากเกินไปจริงๆ!
เขายังอยากโอ้อวดความฉลาดของตนเองอยู่ แต่กลับไม่ให้โอกาสเขา
……
เช้าวันต่อมา เจียงสื้อสื้อลงมาทานอาหารเช้าที่ชั้นล่าง คิดไม่ถึงว่าฟางยู่เชินก็อยู่ที่นี่ด้วย
ตอนที่เจียงสื้อสื้อมองเห็น ก็แปลกใจเล็กน้อย “พี่คะ ปกติเวลานี้พี่ต้องไปทำงานแล้ว ทำไมวันนี้ยังอยู่ที่บ้านล่ะคะ”
“ดื่มมากไป ตื่นสายแล้ว” สีหน้าของฟางยู่เชินไม่สู้ดีนัก
“น้าสะใภ้ได้ต้มน้ำแกงแก้เมาให้พี่มั้ยคะ” เจียงสื้อสื้อถาม
“พี่ดื่มแล้ว”
ฟางยู่เชินยกมือนวดคลึงขมับที่ปวด ความจริงแล้วสิ่งที่ทำให้เขาไม่สบายที่สุดไม่ใช่เพราะดื่มมากไป แต่เป็นเพราะซ่างกวนหยวน
แค่เพียงนึกถึงว่าคนที่ซ่างกวนหยวนชอบคือใคร ศีรษะของเขาก็ปวดตุบๆขึ้นมา
เห็นท่าทางไม่สบายของเขา เจียงสื้อสื้อก็พูดอย่างเป็นห่วงว่า “พี่คะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้พี่ก็พักอยู่ที่บ้านเถอะค่ะ ไม่ต้องไปบริษัทแล้ว”
ฟางยู่เชินเงยหน้ามองเธอ หัวเราะเบาๆ “ฉันไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวก็หายแล้ว”
“เหรอคะ” เจียงสื้อสื้อแทบไม่เชื่อ “อย่างนั้นให้เฟิงเฉินไปช่วยพี่ดีมั้ยคะ”
“ไม่ต้องหรอก” ฟางยู่เชินดื่มนมที่เหลือจนหมด ลุกขึ้นยืน เดินมาข้างๆเธอ ยื่นมือมาตบที่หัวไหล่เธอ ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงพี่ พี่ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
เจียงสื้อสื้อสูดหายใจเข้าลึกๆ “ก็ได้ แต่ว่าถ้าพี่ไม่สบายมากจริงๆ ก็รีบกลับมาพักผ่อนนะคะ อย่ามัวแต่ฝืนอยู่”
ฟางยู่เชินพยักหน้า “ได้ เธอรีบกินข้าวเถอะ พี่จะไปทำงานแล้ว”
เขายิ้ม แล้วก็หมุนตัวเดินจากไป
แต่หลังจากที่เดินไปไม่กี่ก้าว จู่ๆเขาก็ชะงักฝีเท้า
เห็นดังนั้น เจียงสื้อสื้อก็ถามอย่างสงสัย “ทำไมเหรอคะ”
ฟางยู่เชินลังเลเล็กน้อย จึงหันหน้ากลับมา “ สื้อสื้อ ถ้าหากว่าเพื่อนเธอชอบน้องเขย เธอจะถือสาหรือว่าโกรธมั้ย”
จู่ๆเขาก็ถามขึ้นมาแบบนี้ เจียงสื้อสื้ออึ้ง จากนั้นก็ตั้งสติได้ว่าเขาหมายถึงใคร
เธอเม้มปาก ลองแกล้งถามดูว่า “พี่รู้แล้วเหรอคะ”
ฟางยู่เชินขมวดคิ้ว “นี่เธอหมายความว่ายังไง หรือว่าเธอเองก็รู้……”
“ก็อย่างที่พี่คิดนั่นแหละค่ะ” เจียงสื้อสื้อยักไหล่ สีหน้าไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เธอเองก็ไม่อยากรู้ แต่ใครใช้ให้ซ่างกวนหยวนแสดงออกชัดเจนขนาดนั้น
ฟางยู่เชินยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่าว่าพี่จะเป็นห่วงเก้อแล้ว”
เขายังเป็นกังวลตลอดว่าเธอจะรู้เรื่องนี้เข้า แล้วจะทำให้เธอได้รับความเจ็บปวด
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเธอเองก็รู้อยู่แล้ว
“หล่อนเป็นคนบอกพี่เหรอคะ” เจียงสื้อสื้อถาม
“ไม่ใช่” ฟางยู่เชินส่ายหน้า “พี่เป็นคนรู้เอง”
“อืม……” เจียงสื้อสื้อพิจารณาคำพูดของเขา “งั้นพี่ไม่เป็นไรนะ”
คนที่ตนเองชอบไปชอบผู้ชายคนอื่นก็ไม่เท่าไหร่ ผลปรากฏว่าผู้ชายคนนี้ยังไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นน้องเขยของตนเอง
เรื่องบ้าบอแบบนี้เกิดกับใครก็น่าตลก และก็น่าอึดอัดเล็กน้อย
“ฉันจะเป็นอะไรได้” ริมฝีปากฟางยู่เชินยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหยันตนเอง “ในเมื่อเธอบอกชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่า เธอไม่มีทางชอบพี่”
แม้ว่าน้ำเสียงของเขาฟังแล้วดูเหมือนไม่เป็นอะไร แต่เจียงสื้อสื้อรู้ดีว่าภายในใจเขานั้นเสียใจมาก
แต่ว่า ก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจเขาอย่างไร คิดไปคิดมา ได้แต่พูดออกมาว่า “พี่คะ พี่เองก็ยอดเยี่ยมมาก ไม่ได้ด้อยกว่าเฟิงเฉินเลยสักนิด”
ได้ยินดังนั้น ฟางยู่เชินส่งเสียงหัวเราะออกมา “ได้ยินเธอพูดแบบนี้ พี่ก็ไม่รู้สึกเสียใจแล้ว”
เจียงสื้อสื้อก็ยิ้ม “งั้นก็ดีแล้วค่ะ”
“ไปทำงานแล้วนะ”
ฟางยู่เชินโบกไม้โบกมือ สาวเท้าจากไป
เจียงสื้อสื้อมองแผ่นหลังเขาค่อยๆลับหายจากสายตา จึงดึงเก้าอี้ออกมานั่งลง เริ่มทานอาหารเช้าของเธอ
……
พอเข้ามาในอาคารบริษัท ฟางยู่เชินก็พบกับฟางอี้หมิง
ที่ผ่านมาเมื่อทั้งสองพบกัน แม้ฟางอี้หมิงจะไม่ชอบฟางยู่เชิน แต่ก็ยังยิ้มทักทายเขา
ทว่าวันนี้ฟางอี้หมิงได้แต่เหลือบมองเขาแวบหนึ่งอย่างเยือกเย็น แล้วก็เดินตรงเข้าไปในลิฟต์เลย
ฟางยู่เชินขมวดคิ้ว ไม่ได้ใส่ใจ
ถึงห้องทำงาน เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากทางตำรวจ
“ประธานฟาง จับคนได้แล้วครับ”
ฟางยู่เชินวางสาย ลุกขึ้นสาวเท้าเดินไปที่ประตู มือหนึ่งดึงประตูห้องทำงานเปิด
ส้งหยาวกำลังเตรียมจะเข้าไปรายงานกำหนดการเดินทางวันนี้กับเขา ทั้งสองเกือบจะชนกันแล้ว
“ท่านประธาน นี่คุณเป็นอะไรคะ” ส้งหยาวถามอย่างสงสัย
“เอากำหนดการวันนี้เลื่อนออกไปให้หมด คุณไปสถานีตำรวจกับผม”
ฟางยู่เชินเดินไปทางลิฟต์พลาง สั่งการพลาง
ส้งหยาวรีบพยักหน้า “ค่ะ”
ทั้งสองมาถึงสถานีตำรวจ มีตำรวจมาต้อนรับ “ประธานฟางคนอยู่ที่ห้องสอบสวน สารวัตรเฉินให้คุณรออยู่ด้านนอกครับ”
ฟางยู่เชินพยักหน้า เดินมานั่งลงที่ม้านั่งยาวอีกด้าน
ผ่านไปประมาณยี่สิบกว่านาที ในที่สุดสารวัตรเฉินก็ออกมา
“สารวัตรเฉิน” ฟางยู่เชินเดินเข้าไป
“คนจับมาได้แล้ว แต่ปากแข็งยังไม่ยอมรับ” สารวัตรเฉินพูด “อาจจะยังต้องใช้เวลาสักหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ ขอแค่เขายอมรับออกมาว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง ใช้เวลานานแค่ไหนก็ไม่เป็นไร” ฟางยู่เชินพูด
สารวัตรเฉินพยักหน้า “พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่ครับ”
ฟางยู่เชินคิดทบทวนแล้ว ถามว่า “ผมสามารถพบเขาได้มั้ยครับ”
“ได้ คุณตามผมมา”
ฟางยู่เชินคิดว่าคนร้ายน่าจะเป็นผู้ชายอายุราวสามสี่สิบปีคนหนึ่ง แค่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบปี
ฟางอี้หมิงจิตใจโหดเหี้ยมจริงๆ ให้เด็กวัยรุ่นขนาดนี้มาทำเรื่องไร้ศีลธรรมแบบนี้แทน ไม่กลัวบาปกรรม
“สวัสดี ฉันชื่อฟางยู่เชิน”
ตอนที่ได้ยินนามสกุล“ฟาง” แววตาคนร้ายก็เปล่งประกายเล็กน้อย มือที่ถูกใส่กุญแจไว้กำหมัด
ฟางยู่เชินสังเกตเห็น ดวงตาหรี่มอง ถามตรงๆไม่อ้อมค้อมว่า “คุณรู้จักฟางอี้หมิงไหม”
ไม่มีการโต้ตอบใดๆ
ฟางยู่เชินก็ไม่รีบร้อน เขายิ้ม พูดต่อว่า “ฟางอี้หมิงเป็นพี่ชายของผม รองประธานของฟางซื่อกรุ๊ป ผมคิดว่าคุณน่าจะเคยได้ยินชื่อเขาในอินเทอร์เน็ตมาบ้าง”