จิ้นเฟิงเฉินมองฟางยู่เฉินที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง จึงค่อยๆเอ่ยปากว่า“ถ้าคุณมั่นใจ ก็ไปทำเลย”
“ได้”
ได้รับการสนับสนุนจากเขา ฟางยู่เชินยิ่งมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น
เช้าตรู่วันต่อมา เขาไปที่บริษัท ตรงเข้าไปที่ห้องทำงานของฟางอี้หมิงทันที
ฟางอี้หมิงมาทำงานเช้ามาก เหมือนที่ผ่านมาปกติ เมื่อเขาเข้าห้องทำงาน มองเห็นฟางยู่เชิน ก็ตกใจเล็กน้อย
“อรุณสวัสดิ์ครับ พี่” ฟางยู่เชินยิ้มพลางทักทายเขา
ฟางอี้หมิงขมวดคิ้วแน่น เสียงไม่พอใจเล็กน้อย“นายมาทำอะไรที่นี่”
“มีเรื่องหนึ่ง ผมไม่เคยเข้าใจเลย ดังนั้นที่ผ่านมาจึงต้องขอคำชี้แนะจากพี่มาตลอด”
ได้ยินคำพูดอ่อนน้อมถ่อมตัว แต่ฟังออกว่าในคำพูดนั้นแฝงไปการเยาะเย้ยถากถาง
สีหน้าฟางอี้หมิงก็ยิ่งแย่ยิ่งขึ้น เขายิ้มอย่างเย็นยะเยือก “พี่ไม่กล้า นายไปขอคำชี้แนะจากคนอื่นเถอะ”
เขาเดินผ่านฟางยู่เชินไปด้วยสีหน้าเย็นเยือก เอากระเป๋าเอกสารหนักๆโยนไปที่โต๊ะทำงาน
ฟางยู่เชินหมุนตัว มองเห็นเขาดึงเนคไท เห็นชัดว่ามีสีหน้าไม่พอใจ
รอยยิ้มมุมปากกว้างมากขึ้น ฟางยู่เชินแกล้งไม่เข้าใจถามว่า “ทำไม ตอนนี้ทั้งบริษัทนอกจากพี่แล้ว ก็ไม่มีใครช่วยผมได้”
“ฟางยู่เชิน!” ฟางอี้หมิงเรียกชื่อเขาตรงๆ เงยหน้า แววตาเย็นเยือกจ้องไปที่เขา “ฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลา เข้าใจมั้ย”
“พี่ ผมไม่รบกวนเวลาพี่มากนักหรอก พี่ก็ทำได้ ช่วยผมหน่อยนะ ”
“ทำไมนายดื้อด้านขนาดนี้ ฉันบอกว่าไม่มีเวลาไง!” ฟางอี้หมิงโมโหแล้ว เสียงเริ่มสูงขึ้นมา
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางยู่เชินค่อยๆจางหายไป เขาจ้องมองฟางอี้หมิงอย่างโมโห คิ้วค่อยๆขมวด ถามด้วยน้ำเสียงเรียบว่า “อย่างนั้นถ้าทางตำรวจมาหาพี่ พี่จะมีเวลามั้ยครับ”
สีหน้าฟางอี้หมิงเปลี่ยนไปทันที “นายพูดอะไร”
“ทางตำรวจจับคนร้ายที่ฉีดยาพิษให้หลี่เผิงได้แล้ว อีกฝ่ายบอกว่าพี่เป็นคนสั่งให้เขาทำแบบนั้น ดังนั้นต้องการให้พี่ไปพบ” ฟางยู่เชินพูดอย่างเนิบๆ
เขามองเห็นสีหน้าหางอี้หมิงตื่นตระหนกขึ้นมาทันที แต่ไม่นานก็กลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม
“เหลวไหล!” ฟางอี้หมิงอดสบถไม่ได้ “ฉันกับหลี่เผิงไม่ได้มีความโกรธแค้นอะไรกัน ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้น ฉันเป็นคนป่วย หรือว่าว่างมากนักหรือไง”
ฟางยู่เชินยิ้ม “พี่จะป่วย หรือว่าว่างมากเกินไป ก็ไปพูดกับตำรวจเถอะ แล้วยัง……”
เขาชะงัก พูดต่อว่า “โกดังไฟไหม้ เวชภัณฑ์ที่หายสาบสูญไปนั้น คือพี่ขายให้กับSAกรุ๊ปแล้ว ข้อนี้ พี่ไม่มีทางปฏิเสธได้หรอกมั้ง”
ฟางอี้หมิงไม่ได้โต้แย้ง
“คืนนั้นที่โกดังไฟไหม้ มีหลี่เผิงเฝ้าอยู่คนเดียวถึงเที่ยงคืน พี่กลับบอกผมว่าพี่ไม่รู้จักเขา ข้อนี้ดูเหมือนจะฟังไม่ขึ้นนะครับ”
ฟางยู่เชินใช้สายตาจับผิด จ้องมองฟางอี้หมิง
ฟางอี้หมิงสายตาเลิ่กลั่ก ราวกับกำลังคิดว่าจะแก้ตัวอย่างไร
ฟางยู่เชินหัวเราะเบาๆ “อีกทั้งคนของแผนกคลังสินค้า บอกว่าบ่ายวันนั้นพี่ไปที่โกดังด้วยตนเอง และยังพูดคุยกับหลี่เผิงด้วย หรือว่าที่พวกเขาเห็นจะไม่ใช่คุณ”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามของฟางยู่เชิน ในใจฟางอี้หมิงก็ตื่นตระหนกแล้วจริงๆ แต่ภายนอกก็ยังรักษาความสงบนิ่งไว้ โต้แย้งว่า “แม้ว่าฉันจะรู้จักหลี่เผิง ก็สามารถยืนยันว่าฉันเป็นคนสั่งให้คนฉีดยาพิษให้เขาเหรอ นี่ไม่มีตรรกะอะไรที่น่าเชื่อถือได้เลยนะ”
“ทำไมจะไม่มีตรรกะ” ฟางยู่เชินขมวดคิ้ว “นี่ก็แสดงว่าพี่อยากฆ่าคนปิดปากไง!”
“ฟางยู่เชิน!” ฟางอี้หมิงโกรธแล้ว “นายไม่ต้องมาใส่ร้ายคนดีส่งเดช!”
เมื่อเทียบกับความตื่นตระหนกของเขา ฟางยู่เชินสงบนิ่งมาก เขาหัวเราะ “ไม่อยากถูกผมใส่ร้าย อย่างนั้นก็ไปเผชิญหน้ากับคนร้ายคนนั้นสิ พี่จะกลัวอะไร”
“ใครบอกฉันกลัว!” ฟางอี้หมิงโต้แย้งกลับไป
“ได้ ในเมื่อไม่กลัว งั้นก็ไปกันเถอะ”
ฟางยู่เชินเอี้ยวตัว ทำมือเป็นท่า“เชิญ”
เวลานี้ ฟางอี้หมิงจึงได้สติกลับมา ตนเองถูกลากเข้าไปพัวพันด้วย เขาถลึงตาใส่ฟางยู่เชินอย่างโกรธเกรี้ยว
ส่วนฟางยู่เชินกลับยิ้มตาหยีให้เขา
ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก!
ไม่ไป ก็แสดงว่าตนเองกลัว
ไป หากตนเองไม่สามารถหลุดออกมาจากเรื่องนี้ได้ เช่นนั้นทุกอย่างก็จบเห่
เห็นเขาไม่ขยับ ฟางยู่เชินเร่งรัดว่า“พี่ครับ ยังคิดอะไรอยู่ รีบไปสิครับ”
ฟางอี้หมิงรู้ว่านี้ไม่อาจหลบเลี่ยงได้แล้ว
เขาพยักหน้า กัดฟันกรอด “ได้ ฟางยู่เชินไอ้ตัวดี!”
พูดจบ เขาก็เดินฟึดฟัดออกไป
ฟางยู่เชินยิ้มแล้วเดินตามไป
……
ถึงสถานีตำรวจแล้ว ฟางอี้หมิงได้พบกับผู้ต้องหาแล้ว
ตอนที่ผู้ต้องหาเห็นเขา สายตาฉายความประหลาดใจ ดูเหมือนกับว่าคาดไม่ถึงว่าเขาจะมา
“หยางจื่อเฉิน คุณรู้จักเขามั้ย” สารวัตรเฉินที่รับผิดชอบคดีนี้ถาม
ผู้ต้องหาหยางจื่อเฉินส่ายหน้า “ผมไม่รู้จัก”
ได้ยินดังนั้น ฟางอี้หมิงแอบถอนใจอย่างโล่งอกในใจ
ทันใดนั้น เขาก็นึกขึ้นได้ว่าฟางยู่เชินบอกว่ารู้จักเขา
บ้าเอ้ย!
ติดกับอีกแล้ว!
เขาหันไปถลึงตาใส่ฟางยู่เชิน
อาจะเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา ฟางยู่เชินจึงมองมา
สายตาทั้งสองคนประสานกัน คนหนึ่งโกรธ คนหนึ่งไร้อารมณ์
“ไม่รู้จักจริงเหรอ” สารวัตรเฉินถามอีก
“ไม่รู้จัก”
สารวัตรเฉินหันหน้าไปมองฟางยู่เชิน ฝ่ายหลังก้าวมาข้างหน้า มุมปากโค้งขึ้น “หยางจื่อเฉิน อายุสิบเก้า พ่อแม่เสียชีวิตแล้ว ถูกเลี้ยงดูโดยปู่ย่า ป่วยหนักรักษาตัวในโรงพยาบาล เป็นหนี้ค่ารักษาพยาบาลก้อนโต ใช่มั้ย”
หยางจื่อเฉินขมวดคิ้ว “พวกคุณสืบเรื่องของผมเหรอ”
ฟางยู่เชินยิ้ม “นายเป็นผู้ต้องหา ไม่สืบเรื่องนายแล้วจะไปสืบเรื่องใครล่ะ”
หยางจื่อเฉินพูดไม่ออก สองมือของเขาจับกันอย่างไม่เป็นสุข
ฟางยู่เชินหมุนตัว เดินมาตรงหน้าฟางอี้หมิง สายตามองที่ใบหน้าเขา พูดต่อว่า “แต่น่าแปลกมาก ที่ก่อนเกิดเหตุไม่กี่วัน จู่ๆบัญชีของเขาก็มีเงินเพิ่มขึ้นมาก อีกทั้งจำนวนเงินก็ไม่น้อย”
พูดถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าฟางยู่เชินกว้างมากขึ้น“พี่ครับ พี่ไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกมากเหรอ”
ฟางอี้หมิงสีหน้าเย็นเยือก ไม่พูดไม่จา
“น่าแปลก แปลกแน่นอน!” ฟางยู่เชินถามเองตอบเอง “เด็กหนุ่มอายุสิบเก้าคนหนึ่ง ช่วงเวลาสั้นๆก็มีเงินจำนวนมากขนาดนั้นเข้าบัญชี ช่างน่าอิจฉาเหลือเกิน”
“นั่น……นั่นเป็นเงินที่ผมหามาได้ ไม่ได้เหรอ หยางจื่อเฉินโต้แย้ง
ฟางยู่เชินขมวดคิ้ว “ได้ ได้แน่นอน แต่วิธีการหาเงินชองนายไม่ถูก”
จากนั้น เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เปิดภาพถ่ายออกมา แล้วก็หยิบให้สารวัตรเฉิน “นี่คือเอกสารการเดินบัญชีของธนาคาร ด้านบนเห็นชัดว่าคนที่โอนเงินคือพี่ชายผม……”
ได้ยินดังนั้น ฟางอี้หมิงตะคอกเสียงแข็งว่า “ฟางยู่เชิน นายอย่าพูดเหลวไหล!”
ฟางยู่เชินหันไปมองเขา ยิ้มพลางเอ่ยว่า “พี่ครับ พี่จะร้อนตัวไปทำไม ผมยังพูดไม่ทันจบเลยนะ”
ฟางอี้หมิงจ้องเขาเขม็ง สองมือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำหมัดแน่น
“แม้ว่าคนโอนเงินจะไม่ใช่พี่ชายผม แต่ก็เกี่ยวข้องกับพี่ชายผม เพราะคนที่โอนคือพ่อของเขา”
“เป็นไปไม่ได้!”
ฟางอี้หมิงพุ่งไปแย่งโทรศัพท์มือถือ พอเห็นว่า ชื่อคนที่โอนเงินสองตัวเขียนว่า “ฟางเฉิง”
สีหน้าเขา “พรึ่บ”ซีดเผือดทันที
เป็นไปไม่ได้!
นี่มันเป็นไปไม่ได้!
เห็นชัดว่าเขาให้พ่อระมัดระวังตัวหน่อย ทำไมถึงยังทิ้งหลักฐานแบบนี้ไว้ได้
“พี่ครับ ตอนนี้ พี่ยังมีอะไรจะพูดอีก” ฟางยู่เชินยิ้มกว้างพลางเอ่ยถาม