หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เหลียงซินเวยเดินตามหลังเย่เฉินหยุนลงไปชั้นล่าง
“วันนี้เป็นงานวันเกิดของน้องสาวผม ดังนั้นรบกวนคุณช่วยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้มั้ยครับ ต้องขอโทษด้วยครับ ”
ก่อนจะลงมาชั้นล่าง เย่เฉินหยุนเอ่ยคำขอร้องของเขากับเหลียงซินเวย
เหลียงซินเวยมองเขา มุมปากยอกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน “คุณเย่คะ คุณนี่ช่างดีต่อน้องสาวของคุณจริงๆนะคะ”
ได้ยินการเยาะเย้ยในคำพูดเธอ เย่เฉินหยุนยิ้มอย่างเขิน ถามอย่างระมัดระวังว่า “ได้มั้ยครับ”
อาจเป็นเพราะท่าทางที่จริงใจของเขาทำให้เธอใจอ่อน เหลียงซินเวยพยักหน้า “ได้ แต่เรื่องนี้คุณต้องให้ข้อสรุปที่น่าพอใจกับฉันนะคะ”
“ไม่มีปัญหา” เย่เฉินหยุนยืนยันกับเธอ
หลังจากลงมาที่ชั้นล่างแล้ว เหลียงซินเวยก็ไปหาผู้จัดการที่รับผิดชอบงานวันเกิดนี้ เพื่อขอลางาน
เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น เธอจะมีกระจิตกระใจทำงานต่อไปได้อย่างไร
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องลางาน” ผู้จัดการสังเกตเห็นว่าเธอเปลี่ยนชุด ก็ขมวดคิ้ว “นี่เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ชุดพนักงานของเธอล่ะ”
เหลียงซินเวยเพลียนิดหน่อย ไม่อยากพูดอะไรมาก ได้แต่อธิบายสั้นๆว่า “ทำเลอะไปแล้วค่ะ คุณเย่เอาชุดมาให้ฉันยืมเปลี่ยน”
ผู้จัดการเห็นสีหน้าเธอไม่สู้ดีนักจริงๆ ก็พยักหน้า “ก็ได้ ไม่สบายก็กลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้มาทำงานตรงเวลาล่ะ”
“ขอบคุณค่ะผู้จัดการ”
เหลียงซินเวยเดินออกไป ถนนทั้งสายไม่มีคนเลย มีโคมไฟข้างถนนสว่างอยู่ แสดงให้เห็นถึงความอ้างว้างเงียบเหงาไม่มีที่สิ้นสุด
และด้านหลังของเธอ ก็ได้ยินเสียงครึกครื้นดังออกมาจากบ้านตระกูลเย่เบาๆ
เธอมองไปรอบๆตัว ถอนหายใจ ที่นี่เป็นเขตคฤหาสน์ ต้องเดินอีกไกลมากจึงจะมีป้ายรถประจำทาง
ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเกิดเรื่องน่ากลัวขนาดนั้น เธอก็คงไม่แลกกันกับเพื่อนร่วมงาน
แต่ว่า ถ้าเธอไม่มา ก็จะไม่ได้พบกับฟางยู่เชิน
แค่นึกถึงฟางยู่เชิน ในใจเธอก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
เวลานี้เอง จู่ก็มีรถยนต์คันหนึ่งมาจอดที่ด้านข้างเธอ
เธอหันหน้าไปดู คือเย่เฉินหยุน
“คุณเหลียง ผมจะส่งคุณกลับไป”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” เหลียงซินเวยปฏิเสธ เธอไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนตระกูลเย่มากเกินไป ต่อไปอยู่ให้ไกลได้แค่ไหนก็แค่นั้น
“ดึกขนาดนี้แล้ว ที่นี่ไม่มีรถเมล์ ” เย่เฉินหยุนเปิดประตูรถลงมา กล่อมเธออย่างอดทน “ขึ้นรถเถอะ ไม่อย่างนั้นคุณต้องเดินจนสว่างกว่าจะถึงบ้าน”
เหลียงซินเวยขมวดคิ้ว อานอานอยู่บ้านคนเดียว เธอกลับบ้านดึกเกินไปไม่ได้
ดังนั้น เธอจึงใจอ่อน ขึ้นไปบนรถของเขา
“บ้านคุณอยู่ที่ไหน” เย่เฉินหยุนถาม
เหลียงซินเวยพูดชื่อสถานที่แห่งหนึ่งออกมา แล้วจึงหันหน้าไปอีกด้าน ไม่อยากแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากพูดคุยกับเขา
เย่เฉินหยุนยิ้ม แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
รถขับเคลื่อนไปอย่างมั่นคงบนถนน แสงไฟตามถนนก็กระทบบนหน้าต่างรถ ภายในรถเดี๋ยวก็สว่างเดี๋ยวก็สลัว
เย่เฉินหยุนหันไปมองเหลียงซินเวยที่อยู่เงียบๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากถามว่า “ซีเอน เป็นพี่สาวคุณเหรอ เธอสบายดีมั้ย”
เหลียงซินเวยไม่ได้ตอบคำถาม
เย่เฉินหยุนเกรงว่าเธอจะเข้าใจผิด อธิบายว่า “ซีเอนเป็นเพื่อนของผม ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว ก็แค่อยากจะถามว่าเธอสุขสบายดีมั้ย”
“คุณเป็นเพื่อนเธอเหรอ” เหลียงซินเวยไม่ตอบแต่ย้อนถาม
“ใช่แล้ว ผมเป็นเพื่อน……ของเธอ”
ตอนที่พูดถึงคำว่า“เพื่อน” สองคำนี้ มือที่กำพวงมาลัยของเย่เฉินหยุนก็กำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในดวงตามีความรู้สึกที่มองเห็นไม่ชัดเจนอยู่
เหลียงซินเวยนิ่งเงียบอยู่หลายวินาที จึงพูดว่า “คุณจะไม่ได้พบเธออีกแล้ว”
เย่เฉินหยุนขมวดคิ้ว “หมายความว่าอะไร”
“ความหมายอยู่ในคำพูดนั้นแล้ว”
เหลียงซินเวยมองทิวทัศน์ที่ผ่านไปนอกหน้าต่าง มีความเศร้าโศกระหว่างคิ้วและดวงตา
พี่สาวของเธอ ไม่อยู่นานแล้ว
เย่เฉินหยุนครุ่นคิด ยังไม่เข้าใจความหมายของเธอ “พี่สาวคุณไปไหนแล้วเหรอ ทำไมถึงจะไม่ได้พบเธออีก หรือว่าเธอเคยบอกคุณ ว่าเธอไม่อยากพบผม”
“เธอไม่อยากพบคุณเหรอ” เหลียงซินเวยหันหน้ามา มองเขาอย่างน่าขัน “คุณเย่คะ คุณคิดเองเออเองมากไปหรือเปล่า พี่สาวฉันแทบจะไม่เคยพูดถึงคุณเลยด้วยซ้ำ รู้มั้ยคะ”
“จริงเหรอ” เย่เฉินหยุนยิ้มอย่างเขินๆ “ผมคิดเองเออเองมากเกินไปจริงๆ”
เขาหุบยิ้ม สีหน้าท่าทางเปลี่ยนเป็นเย็นชาเล็กน้อย
เหลียงซินเวยมองเขา พูดว่า “พี่สาวฉันไม่อยู่แล้ว”
เอี๊ยด——
ล้อรถเสียดสีกับพื้นถนนเกิดเป็นเสียงดังบาดหู
เหลียงซินเวยที่อยู่ภายในรถตกใจทันที “คุณเย่ ทำไมคุณ……”
เธอหันหน้าไปมองเย่เฉินหยุน กลับพบว่าเขามองตนเองด้วยสีหน้าตื่นตกใจอยู่
“คุณ เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะครับ”
เหลียงซินเวยขมวดคิ้ว “ฉันบอกว่าพี่สาวฉันเสียไปแล้วค่ะ”
“คุณกำลังหลอกผม ใช่มั้ย” เย่เฉินหยุนตาแดง เขาไม่เชื่อเรื่องที่เธอพูด
เหลียงซินเวยไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงต้องตื่นตกใจขนาดนั้น เธอยิ้มอย่างขมขื่น “คุณเย่ ฉันจำเป็นต้องพูดโกหกคุณแบบนี้เหรอคะ พี่สาวฉันเสียไปหลายปีแล้วจริงๆ”
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
เย่เฉินหยุนส่ายหน้า เขาไม่อาจรับความจริงเรื่องนี้ได้ “ซีเอนจะตายไปแล้วได้ยังไง เธอต้องให้คุณหลอกผมแบบนี้แน่ ต้องใช่แน่ๆ”
เหลียงซินเวยจ้องมองเขา มองเห็นอากัปกิริยาของเขา ก็เกิดความสงสัยขึ้นภายในใจ เขามีความเกี่ยวข้องอะไรกับพี่สาวกันแน่ ทำไมพอได้ยินว่าพี่สาวไม่อยู่แล้วถึงได้มีปฏิกิริยามากมายขนาดนี้
“คุณเย่ คุณเป็นแค่เพื่อนของพี่สาวฉันจริงๆเหรอคะ” เหลียงซินเวยลองถามดู
“ผม……” เย่เฉินหยุนสบตาเข้ากับดวงตาที่ใสสะอาดของเธอ จู่ๆก็สำลัก ทันใดนั้น เขาสูดลมหายใจลึกๆ เก็บอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด พยายามสงบนิ่ง พูดว่า “ใช่ ผมเป็นแค่เพื่อนของเธอ”
เขาสงบนิ่งราวเมื่อครู่กับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น
เหลียงซินเวยยิ้ม “ฉันคิดว่าคุณกับพี่ฉันมีความสัมพันธ์อะไรกันเสียอีก แต่ว่าถ้ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันจริง ทำไมไม่เคยเคยพบเจอกันนานหลายปีขนาดนี้ อีกทั้งก่อนที่พี่สาวฉันจะเสียชีวิต ก็ไม่เคยพูดถึงคุณเลย”
เย่เฉินหยุนกำพวงมาลัยแน่น เล็กขาวซีดไปหมด เหมือนกับกำลังสะกดกลั้นอะไรบางอย่าง เขาหลับตาลง ถามเสียงเคร่งขรึมว่า “ทำไมเธอถึงได้……”
คำพูดต่อจากนั้น เขาพูดไม่ออก
“ป่วยค่ะ ไม่ดีขึ้นเลย ไม่ทันได้ผ่านช่วงฤดูหนาวในปีนั้นก็จากไป”
เมื่อเอ่ยถึงความทรงจำที่เลวร้ายในช่วงนี้ เสียงของเหลียงซินเวยก็อดไม่ได้ที่จะสะอื้น
ลูกกระเดือกของเย่เฉินหยุนขยับเขยื้อน ความเจ็บปวดพลุ่งพล่านขึ้นภายในใจ
ซีเอน
ผู้หญิงที่มักจะยิ้มสดใสอยู่เสมอ ไม่ว่าจะพบเจออุปสรรคมากมายขนาดไหนคนนั้น ได้จากโลกนี้ไปแล้ว
แม้แต่การพบหน้ากันครั้งสุดท้ายเขาก็ยังไม่พบ
หัวใจเสมือนถูกคนบีบเคล้นอย่างแรง เจ็บจนเขาหายใจแทบไม่ออก
เขากัดฟันกรอด ไม่ให้เหลียงซินเวยสังเกตเห็นความผิดปกติของตนเอง
ภายในรถถูกปกคลุมด้วยความเศร้าโศกบางๆ
เหลียงซินเวยยกมือขึ้นเช็ดหางตาที่เปียกชื้น ถามว่า“คุณเย่ ไปได้หรือยังคะ”
เย่เฉินหยุนลืมตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ได้แล้วครับ”
เขาสตาร์ทรถ รถทะยานไปบนถนนในค่ำคืนที่มืดมิด
ต่อจากนั้น ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ภายในรถเงียบจนน่าอึดอัดเล็กน้อย
เหลียงซินเวยหันหน้าไปมองเย่เฉินหยุนที่ขับรถอย่างตั้งใจ ไม่รู้ว่าตนเองคิดผิดไปหรือเปล่า เธอรู้สึกว่ามีความโศกเศร้าบางๆอยู่รอบๆตัวเขา
เขาเป็นแค่เพื่อนของพี่สาวจริงๆเหรอ