“เป็นยังไงบ้างจ้ะ”
พอเห็นเจียงสื้อสื้อวางโทรศัพท์ลง ซ่างหยิงก็รีบถามทันที
เจียงสื้อสื้อยักไหล่ “ของขวัญซื้อได้แล้วค่ะ”
พอซ่างหยิงได้ยินแบบนี้ เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ซื้อแล้วก็ดีจ้ะ”
เธอมองไปที่เจียงสื้อสื้อด้วยท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “ทำไมเหรอ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าจ้ะ”
“พวกเขาบังเอิญไปพบกับเสี่ยวอี้ แล้วตอนนี้พี่ชายก็กำลังไปเดินซื้อของกับเธออยู่ค่ะ” เจียงสื้อสื้อพูด
ซ่างหยิงดีใจขึ้นมาทันที “ทำไมถึงบังเอิญขนาดนี้ ตอนนี้ยู่เชินคงปฏิเสธไม่ได้แล้วล่ะ”
เจียงสื้อสื้อยิ้มๆ แต่ไม่พูดอะไร
เธอรู้สึกผิดต่อเหลียงซินเวยเล็กน้อย
ถ้าเธอไม่ขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย คงไม่ต้องมาเจอกับเรื่องอับอายแบบนี้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ถอนหายใจเบา ๆ วันหลังค่อยหาโอกาสไปขอโทษเวนเวยก็แล้วกัน
แต่สิ่งที่เธอไม่คิดไม่ถึงก็คือฟางยู่เชินจะกลับมาเร็วขนาดนี้
“ลูกไม่ได้ไปเดินซื้อของกับหนูเสี่ยวอี้เหรอ ทำไมกลับมาเร็วแบบนี้” ซ่างหยิงเหลือบมองนาฬิกาที่ผนัง
นี่ยังไม่ถึงสามทุ่มเลย
“ผมไม่ได้ไปกับเธอครับ” สีหน้าของฟางยู่เชินไม่ค่อยดีนัก
พอซ่างหยิงได้ยินว่าเขาไม่ได้อยู่กับเย่เสี่ยวอี้ เสียงของเธอก็สูงขึ้นเล็กน้อย “ทำไมลูกไม่อยู่เป็นเพื่อนเธอล่ะ อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งที”
“ผมยังมีงานต้องทำครับ”
“งานเหรอ” ซ่างหยิงโกรธขึ้นมาทันที เธอชี้หน้าเขาต่อว่า “ในสมองของลูกนอกจากงานแล้ว คิดถึงเรื่องความรักบ้างจะได้ไหม เป็นแบบนี้ต่อไป ลูกจะหาภรรยาได้ยังไง แล้วเมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลานสักที”
ฟางยู่เชินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “คุณแม่ครับ ผมยังอายุไม่ถึงสามสิบ ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ครับ”
“นี่ลูกจะทำให้แม่โมตายเลยหรือไง” ซ่างหยิงพูดขึ้นเสียง
เจียงสื้อสื้อรีบเข้าไปลูบหลังเธอ แล้วพูดปลอบ “น้าสะใภ้เล็กคะ อย่าเพิ่งโมโหค่ะ น้าก็รู้นิสัยของพี่เขาดี ตอนนี้ในสมองเขาเต็มไปด้วยงาน บีบบังคับเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ใช่เหรอคะ”
“แล้วเขาก็อยู่กับงานไปตลอดชีวิตเลยเถอะ” ซ่างหยิงส่งเมียงฮึดฮัดไม่พอใจ
เจียงสื้อสื้อหุบยิ้ม “น้าสะใภ้เล็กคะ ถ้าน้าพูดแบบนั้น พี่เขาอาจจะทำจริงๆได้นะคะ”
“เขากล้าทำเหรอ” ซ่างหยิงมองไปที่ฟางยู่เชินด้วยความขุ่นเคือง
ฟางยู่เชินส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “คุณแม่ครับ อย่าบังคับผมแบบนี้ได้ไหม ผมเองก็มีแผนชีวิตของตัวเอง ตอนไหนที่ผมควรจะแต่งงาน ผมมีการจัดการของตัวเอง”
“ได้” ซ่างหยิงพยักหน้า “งั้นลูกบอกแม่มา ว่าลูกจะแต่งงานเมื่อไหร่”
“รอพรหมลิขิต”
พอได้ยินสี่คำนี้ ทำให้ซ่างหยิงโกรธขึ้นมาอีกครั้ง “พรหมลิขิต พรหมลิขิต ถ้าพรหมลิขิตไม่มา ลูกก็จะอยู่เป็นโสดตลอดไปชีวิตเลยหรือเปล่า”
ฟางยู่เชินเลิกคิ้วอย่างไม่ปฏิเสธ
“เจ้าลูกบ้าคนนี้” ซ่างหยิงโกรธมากจนยกกำปั้นทุบตีเขาหลายครั้ง “แม่คิดว่าลูกอยากจะทำให้แม่อกแตกตาย”
“แม่ครับ ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะครับ” ฟางยู่เชินโอบไหล่ของเธอ สีหน้ายิ้มเอาอกเอาใจ “ผมสัญญาว่าผมจะไม่โสดไปตลอดชีวิต แน่ๆ ผมจะหาลูกสะใภ้ที่ดีให้คุณแม่ แล้วมีหลานจ้ำม่ำให้คุณแม่ได้อุ้มอย่างแน่นอนครับ”
พอได้ยินคำพูดเอาอกเอาใจน้าสะใภ้เล็ก เจียงสื้อสื้อก็กระตุกมุมปากของเธอ เขาเป็นประเภทพูดเก่งแต่ทำไม่ได้
รอเขาหาแฟนเอง ไม่รู้ว่าต้องรอไปถึงเมื่อไหร่
ซ่างหยิงยิ้มเยาะ “ลูกคิดว่าแม่จะเชื่อลูกไหม”
“คุณแม่ครับ ผมยังมีงานต้องทำ ผมขึ้นไปข้างบนก่อนนะครับ”
ฟางยู่เชินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของเธอ แล้วเดินตรงขึ้นไปชั้นบน
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ” ซ่างหยิงตะโกนสั่ง
ฟางยู่เชินทำได้เพียงหยุดเดินอย่างเชื่อฟัง
“ลูกเป็นลูกชายของแม่ ในใจลูกคิดอะไรอยู่ แม่รู้ดี” ซ่างหยิงพูด “ลูกไม่ชอบเสี่ยวอี้ใช่ไหม”
ฟางยู่เชินไม่ตอบ
ซ่างหยิงพูดต่อ “แต่เธอชอบลูกมาก บางทีลูกน่าจะลองทำความรู้จักกับเธอดู ไม่แน่ว่าลูกอาจจะชอบเธอก็ได้”
“ไม่มีทางครับ”
คราวนี้ฟางยู่เชินพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเป็นพิเศษ
“ทำไมจะไม่มีทาง หนูเสี่ยวอี้เป็นเด็กดีขนาดนั้น เธอไม่เพียงแต่สวยแต่ยังสุภาพเรียบร้อยอีกด้วย ผู้หญิงแบบนี้จะหาได้จากที่ไหนอีก”
ซ่างหยิงรู้สึกพึงพอใจในตัวเย่เสี่ยวอี้มาก ถึงกับถือว่าเธอเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคตของเธอแล้ว
“คุณแม่ครับ เรื่องความรักของผมให้ผมตัดสินใจเองไม่ได้เหรอครับ ผมไม่ชอบเย่เสี่ยวอี้จริงๆ” ฟางยู่เชินรู้สึกเหนื่อยใจมาก
ถ้าเขาไม่เห็นอีกด้านหนึ่งของเย่เสี่ยวอี้ เขาอาจจะยอมฟังแม่ของเขาทำความรู้จักกับเธอก็ได้
แต่ตอนนี้ ไม่มีทางก็คือไม่มีทาง
“แล้วลูกชอบใคร” ซ่างหยิงถาม
“ผมชอบ…” ฟางยู่เชินนิ่งเงียบไปสักพัก ไม่รู้จะพูดชื่อใครออกมาดี
“ตอนนี้ลูกยังไม่มีคนที่ชอบ ถูกต้องไหม”
เงาร่างหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของฟางยู่เชิน เขาจึงโพล่งออกมา “ไม่มีที่ไหนครับ ผมชอบเวยเวย”
พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เขาตกใจเท่านั้น แม้แต่ซ่างหยิงกับเจียงสื้อสื้อเองก็ตกใจเช่นกัน
“ลูกชอบหนูเวยเวยอย่างนั้นเหรอ” ซ่างหยิงมองหน้าเขาอย่างไม่น่าเชื่อ
สายตาของฟางยู่เชินไม่อยู่กับเนื้อกับตัว“ใช่ครับ ผมชอบเวยเวย”
อันที่จริงเขาเองไม่มีความมั่นใจเลย ว่าที่เขาพูดมันเพราะเขาพูดไม่ทันคิดหรือเปล่า
เจียงสื้อสื้อมองเขาด้วยสายตาสำรวจ
“ลูกจะชอบหนูเวยเวยได้ยังไงกัน” ซ่างหยิงยังคงไม่เชื่อ “เธอมีลูกแล้วนะ ลูกจะชอบใครไม่ชอบ แต่กลับชอบเธอเนี่ยนะ”
เหลียงซินเวยเองก็เป็นเด็กดี แต่ซ่างหยิงไม่สามารถยอมรับได้เมื่อคิดถึงเรื่องที่เธอมีลูกแล้ว
“น้าสะใภ้เล็กคะ อย่าบีบบังคับพี่เขาเกินไปดีกว่านะคะ เขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาชอบเวยเวยจริงๆหรือเปล่า” เจียงสื้อสื้อพูดเกลี้ยกล่อม
เธอเองก็เคยคิดจับคู่พี่ของเธอกับเวยเวย แต่ดูจากสีหน้าของพี่เธอแล้ว เขาคงไม่ได้ชอบเวยเวยจริงๆ เขาแค่ใช้ เวยเวยเป็นข้ออ้าง
ซ่างหยิงถอนหายใจ “เอาเถอะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ทางที่ดีลูกควรคิดให้ดีว่าคุณชอบใคร”
“เข้าใจแล้วครับ คุณแม่”
ฟางยู่เชินมองเจียงสื้อสื้ออย่างรู้สึกขอบคุณ จากนั้นก็พูดกับซ่างหยิง “งั้นผมขอขึ้นไปทำงานต่อนะครับ”
“ไปเถอะ”
พอฟางยู่เชินขึ้นไปชั้นบน ซ่างหยิงก็ยกมือขึ้นกุมหน้าอกของเธอ เธอขมวดคิ้วแน่น สีหน้ากังวลใจ “สื้อสื้อ ยู่เชินคงไม่ได้ชอบหนูเวยเวยจริงๆ หรอกใช่ไหม”
เจียงสื้อสื้อยกยิ้ม “น้าสะใภ้เล็กคะ จริงหรือไม่จริง ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่าค่ะ”
“แต่น้ากลัว ว่าเขาจะชอบหนูเวยเวยจริงๆ”
พอคิดถึงเรื่องนี้ ซ่างหยิงก็ยิ่งรู้สึกจุกแน่นในอกของเธอ
“นัฝ้าสะใภ้เล็กเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เจียงสื้อสื้อเข้าไปช่วยพยุงเธอ แล้วถามด้วยความห่วงใย
“น้าไม่เป็นไรจ้ะ พอดีโมโหเจ้าลูกบ้านั่นเกินไปหน่อย” ซ่างหยิงถอนหายใจอย่างแรง “เสี่ยวอี้ออกจะเป็นเด็กดี ทำไมเขาถึงไม่ชอบกันนะ” “
เจียงสื้อสื้อนิ่งเงียบไปสักพัก “บางครั้งสิ่งที่เราเห็นอาจไม่เป็นเหมือนที่เราคิดก็ได้นะคะ”
“หลานหมายความว่ายังไงจ้ะ” ซ่างหยิงถาม
“ก็หมายความตามนั้นค่ะ”
เจียงสื้อสื้อช่วยพยุงเธอไปนั่งที่โซฟา แล้วพูดว่า “น้าสะใภ้เล็กคะ หนูขึ้นไปหาพี่ยู่เชินนะคะ น้าสะใภ้เล็กก็อย่าโกรธเลยนะคะ”
ซ่างหยิงยิ้มอย่างเหนื่อยใจ “น้าชินแล้วล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“งั้นหนูขึ้นไปแล้วนะคะ”
“จ้ะ ไปเถอะ”
พอเห็นเจียงสื้อสื้อเดินขึ้นไปชั้นบน ซ่างหยิงก็หุบยิ้ม ก่อนที่สีหน้าของเธอจะเคร่งขรึมขึ้นมา