“แม่พาคุณลุงคนหนึ่งไปเยี่ยมคุณป้าครับ”
คำตอบของอานอานทำให้เจียงสื้อสื้อรู้สึกสงสัย “คุณป้าเหรอ?”
“ใช่ครับ พี่สาวของแม่ผม หรือก็คือป้าผมนั่นแหละครับ”
เจียงสื้อสื้อรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เธอพูดไปด้วยความไม่เข้าใจ “แต่ว่า ป้าของเธอเขา……”
จำได้ว่าเหลียงซินเวยเคยบอกว่า พี่สาวของเธอเสียไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว
“ใช่ครับ คุณลุงคนนั้นเป็นเพื่อนเก่าของคุณป้า”
เจียงสื้อสื้อหยุดพูดแล้วยิ้มออกมา “ฉันเข้าใจแล้ว” เธอมองไปรอบๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “ฉันว่าเรามาแต่งห้องสักหน่อยมั้ย พอแม่เธอกลับมาจะได้รู้สึกเซอร์ไพรส์?”
สายตาของอานอานเป็นประกาย “ดีครับ”
ว่าแล้วเจียงสื้อสื้อก็หันไปพูดกับกู้เนี่ยนว่า “คุณช่วยไปซื้อพวกริบบิ้นลูกโป่งอะไรพวกนั้นให้ที ช่วยเร็วหน่อยก็ดีนะคะ เราจำเป็นต้องแต่งให้เสร็จก่อนที่เวยเวยจะกลับมา”
“ครับ”
กู้เนี่ยนหมุนตัวแล้วจากไป แต่จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องบางอย่างที่สำคัญมากๆ ขึ้น จึงได้หันกลับมาพูดว่า “คุณหญิง ถ้ามีใครมาเคาะประตู ทางที่ดีคุณอย่าเปิดประตูนะครับ”
เจียงสื้อสื้ออดขำไม่ได้ “ฉันรู้แล้ว ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้นค่ะ”
กู้เนี่ยนหันหน้ากลับไปด้วยความเขิน “ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นครับ”
“ไปเถอะค่ะ เราจะไม่เปิดประให้ใครง่ายๆ หรอกค่ะ” เจียงสื้อสื้อรู้ดีว่าเขาเป็นห่วง
เมื่อได้รับการรับประกันจากเธอ กู้เนี่ยนถึงได้ออกไปซื้อของอย่างสบายใจ
……
ในขณะเดียวกัน เหลียงซินเวยที่นั่งอยู่ในรถ เธอเห็นดอกไม้ที่วางอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ
ดอกทิวลิปสีขาว
เธออดไม่ได้ที่จะพูดออกไปว่า “ความจริงดอกไม้ที่พี่ฉันชอบคือดอกลิลีค่ะ”
เย่เฉินหยุนเหลียวกลับมามองเธอแวบหนึ่ง มุมปากแย้มขึ้นมาเล็กน้อย “ผมรู้ครับว่าซีเอนนั้นชอบดอกลิลี แต่วันนี้ผมอยากให้ดอกนี้กับเธอครับ”
ความรักที่เสียไป
มันคือการไว้ทุกข์ให้ความรักของตัวเอง
เหลียงซินเวยหันมองออกไปยังทิวทัศน์ที่วิ่งผ่านตา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “ของบางอย่างถ้าเสียไปแล้วมันก็จะเสียไปตลอดกาล ความรักเองก็เหมือนกัน”
พอได้ยินแบบนั้น แววตาของเย่เฉินหยุนก็ปรากฏความสงสัยออกมาแวบหนึ่ง นี่เธอรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซีเอนแล้วอย่างนั้นเหรอ?
“คุณว่าจริงมั้ยคะ คุณเย่” เหลียงซินเวยหันมองมาที่เขา
แล้วก็ได้เห็นริมฝีปากของเขาแย้มขึ้นเล็กน้อย “ครับ ก็เหมือนกับบางคนที่คิดว่าจะได้เจอกันอีก แต่กลับไม่ได้เจอกันอีกเลย”
เกิดความเงียบขึ้นภายในรถ
จนผ่านไปพักใหญ่ เหลียงซินเวยจึงได้ถามออกไปว่า “คุณรู้สึกเสียใจมั้ยคะ?”
คำถามของเธอทำเอาเย่เฉินหยุนถึงกับไปไม่ถูกเลย
จริงสิ เขาเสียใจมั้ย?
ความจริงเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองเสียใจรึเปล่า รู้สึกเหมือนความทรงจำที่มีต่อซีเอนนั้นมันเลือนรางมากๆ มากๆ เลือนรางจนเขาแทบจะรู้สึกถึงมันไม่ได้เลย
ถ้าวันนั้นไม่ได้เจอกับเหลียงซินเวย เขาเองก็น่าจะลืมมันไปแล้วมั้ง
ความเงียบของเขาทำให้เหลียงซินเวยต้องยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่แฝงด้วยความเยาะเย้ย
“คุณเย่คะ ช่วงสองปีสุดท้ายของพี่สาวนั้น เธอมักจะพูดถึงสมัยที่เธอไปเรียนต่อที่เมืองนอก มักจะพูดถึงถนนที่เป็นอุโมงค์ต้นไม้ มักจะพูดถึงร้านกาแฟที่อยู่ตรงมุมถนนนั่น”
น้ำเสียงของเธอเรียบเฉยมาก เหมือนกับกำลังเล่านิทานอยู่เลย
แต่พอเย่เฉินหยุนได้ยิน หัวใจของเขาก็เกิดบีบรัดขึ้นมา
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ เขาก็รู้ดีว่าในนิทานเรื่องนั้นมีตัวเองอยู่ด้วย
เหลียงซินเวยก้มลงแล้วยิ้ม “ฉันหวังว่าตอนที่คุณได้เจอพี่สาวฉัน คุณจะมองเธอให้มากๆ ไม่อย่างนั้น ฉันกลัวว่าอีกไม่กี่ปีคุณอาจจะลืมไปเลยก็ได้ว่าพี่สาวของฉันมีหน้าตาเป็นยังไง”
ความรู้สึกเจ็บเกิดขึ้นในใจ เย่เฉินหยุนกำสองมือแน่น แล้วตอบไปเบาๆ ว่า “ครับ”
……
หลังผ่านไปชั่วโมงกว่า ในที่สุดเจียงสื้อสื้อกับเด็กๆ ทั้งสามก็แต่งห้องรับแขกจนเสร็จ
“สวยมั้ย ดูดีมั้ย?” เจียงสื้อสื้อถามเด็กสามคนด้วยความตื่นเต้น
เด็กๆ ทั้งสามตอบมาอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “สวยครับ/ค่ะ”
“ถ้าสวยก็โอเค” เจียงสื้อสื้อทิ้งตัวลงบนโซฟา พักหายใจยาวๆ “ตอนนี้ก็รอแค่เวยเวยกลับมาเท่านั้น”
“คุณหญิง พวกคุณหิวกันรึยังครับ? เดี๋ยวผมออกไปซื้อของกินให้พวกคุณก่อนดีมั้ยครับ?”
กู้เนี่ยนในตอนนี้เหมือนกับแม่บ้านแก่ๆ ที่ขี้กังวลเลย
เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ไม่เป็นไรค่ะ เมื่อกี้คุณเพิ่งทำอะไรไปเยอะแยะเลย คุณเองก็นั่งพักก่อนเถอะค่ะเดี๋ยวพอเวยเวยกลับมาแล้วเราค่อยกินพร้อมกัน”
“ก็ได้ครับ” กู้เนี่ยนได้แต่นั่งลงบนโซฟาที่อยู่ข้างๆ
ตอนแรกนึกว่าเหลียงซินเวยไม่น่าจะไปนานมาก แต่ไม่นึกเลยว่าจะทุ่มหนึ่งแล้วเธอยังไม่กลับมาเลย
เด็กๆสามคนเล่นกันจนเหนื่อยแล้ว นั่งอยู่บนพรมที่ปูอยู่ในห้องรับแขก มองดูตัวการ์ตูนในทีวีด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“หม่ามี๊ หนูหิวแล้ว” เถียนเถียนหันมา จ้องมองเจียงสื้อสื้อด้วยท่าทางที่น่าสงสาร
เจียงสื้อสื้อหันมองเวลา แล้วปลอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เรารอกันอีกยี่สิบนาทีนะ ถ้าน้าเวยเวยยังไม่กลับมาอีกเราก็กินกันก่อน โอเคมั้ย?”
เถียนเถียนทำปากจู๋ “แต่เขาหิวแล้วนี่คะ”
“เถียนเถียน กินนมก่อนขวดหนึ่งนะ” กู้เนี่ยนยื่นนมขวดหนึ่งให้เธอ
“ใช่ รองท้องไปก่อนนะ” เจียงสื้อสื้อหันไปมองเสี่ยวเป่ากับอานอาน “พวกเธอล่ะจะกินสักขวดมั้ย?”
“ผมไม่เอา ผมจะรอแม่กลับมาแล้วกินพร้อมกันครับ” อานอานส่ายหน้าปฏิเสธ
เสี่ยวเป่าก็ส่ายหน้าเหมือนกัน “ผมก็ไม่เอาครับ”
“งั้นเถียนเถียนกินคนเดียวนะ” เจียงสื้อสื้อช่วยเถียนเถียนเสียบหลอด
ในตอนที่เถียนเถียนจะกินนมหมดนั้น เหลียงซินเวยก็กลับมาถึง
พอเปิดประตูมา มองเห็นลูกโป่งกับริบบิ้นที่ลอยอยู่เต็มบ้าน เธอก็รู้สึกเซอร์ไพรส์อย่างถึงที่สุด
“วันนี้มันวันอะไรเนี่ย?” เธอมองดูเจียงสื้อสื้อที่กำลังเดินเข้ามาด้วยความสงสัย
หน้าบึ้งๆ ของเจียงสื้อสื้อมองมาที่เธอแวบหนึ่ง “วันนี้เป็นวันเกิดของเธอ เธอจำไม่ได้เหรอ?”
พอเหลียงซินเวยได้ยินแบบนั้น จึงได้นึกถึงวันนี้อย่างจริงจัง แล้วยิ้มออกมาอย่างเขินอาย “ต้องขอโทษด้วย ฉันลืมไปแล้วจริงๆ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะอานอานจำได้ วันเกิดวันนี้ของเธอก็คงผ่านไปแบบไม่มีอะไรเลยแน่ๆ”
เจียงสื้อสื้อรู้สึกเห็นใจเธอ เลี้ยงลูกเองคนเดียว ยังต้องทำงานอีก การที่จะลืมวันสำคัญแบบนี้ไป ความจริงมันก็เป็นเรื่องที่ปกติดี
“แม่ครับ สุขสันต์วันเกิดครับ” อานอานยื่นของขวัญที่เตรียมไว้ให้เธอ
เหลียงซินเวยตาแดงขึ้นมาทันที เธอรับของขวัญมา กอดอานอานไว้ “ขอบคุณนะ อานอาน”
จากนั้น เสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนที่ตามหลังอานอานมาก็พูดออกมาพร้อมกันว่า “น้าเวยเวย สุขสันต์วันเกิดครับ/ค่ะ”
“ขอบคุณ ขอบคุณ” เหลียงซินเวยร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตัน
เธอได้ลืมเลือนวันเกิดที่จัดแบบง่ายๆ ในตลอดหลายปีมานี้ไปแล้ว ในทุกปีแทบจะเลยวันเกิดไปแล้วถึงนึกขึ้นได้ แค่ต้มหมี่ซั่วกินอย่างง่ายๆ ก็ถือว่าฉลองวันเกิดแล้ว
“วันนี้เป็นวันดี อย่าร้องไห้สิ” เจียงสื้อสื้อยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้เธอ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “เด็กสามคนนี้เป็นคนตกแต่งเองเลยนะ เธอรีบมาดูเร็ว” เหลียงซินเวยเช็ดน้ำตา แล้วมองดูอย่างตั้งใจ พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “สวยมากเลย ฉันชอบมาก”
“ได้ยินมั้ย แม่ของเธอบอกว่าชอบมาก” เจียงสื้อสื้ ลูบหัวของอานอาน
อานอานยิ้มออกมาด้วยความสดใสทันที ขอแค่แม่ชอบ เขาก็ดีใจแล้ว
“เด็กๆ ต่างก็หิวกันแล้ว กินข้าวกันก่อนแล้วเราค่อยตัดเค้กกันนะ”
เจียงสื้อสื้อบอกให้เด็กสามคนกับกู้เนี่ยนไปที่ห้องอาหารก่อน ส่วนเธอกับเหลียงซินเวยก็เดินตามหลังไป
“เธอไปเยี่ยมพี่สาวของเธอมาเหรอ?” เจียงสื้อสื้อถาม
เหลียงซินเวยพยักหน้า “ใช่ค่ะ ไปเป็นเพื่อนของพี่สาวคนหนึ่งค่ะ”
“ฉันเห็นแล้ว” เจียงสื้อสื้อพูด “แล้วฉันยังเจอเพื่อนของพี่สาวเธอคนนั้นไปซื้อดอกทิวลิปช่อหนึ่งทีร้านดอกไม้ด้วย”