ตอนที่เจียงสื้อสื้อได้สติ เธออดที่จะรู้สึกแสบจมูกไม่ได้ ตอนที่เห็นแม่จิ้นที่นั่งอยู่ข้างเตียงคอยดูแลเธอ
“คุณแม่คะ” เธอไม่ได้พูดมานาน เสียงของเธอจึงแหบแห้งเล็กน้อย
พอได้ยินเสียง แม่จิ้นก็ตื่นขึ้นมา เธอกะพริบตาปริบๆ พอเห็นเจียงสื้อสื้อฟื้นขึ้นมา สีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความดีใจ “สื้อสื้อ ตื่นแล้วเหรอลูก”
“คุณแม่คะ ทำไมคุณแม่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้คะ” เจียงสื้อสื้อเอ่ยถาม
“แม่เป็นห่วง กลัวว่าหนูจะกลัวถ้าตื่นมาไม่เห็นใครเลย” แม่จิ้นเอื้อมมือไปปัดผมที่หล่นอยู่บนแก้มให้เรียบร้อย
เจียงสื้อสื้อรู้สึกซาบซึ้งใจมาก แต่ก็รีบกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา แล้วยกยิ้ม “คุณแม่คะ หนูสบายดีค่ะ ไม่ต้องกังวล”
“ยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีก” แม่จิ้นมองเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ถูกยิงถึงขนาดนี้ ยังจะบอกว่าตัวเองไม่เป็นไรอีก”
ตอนที่เธอได้ข่าวว่าเจียงสื้อสื้อได้รับบาดเจ็บ เธอแทบจะเป็นลม เธอไม่สนใจที่จะดูแลหวั่นชีง รีบเดินออกมาเลย
“ขอโทษค่ะ หนูทำให้คุณแม่เป็นห่วงอีกแล้ว”
เจียงสื้อสื้อรู้สึกว่าเธอเป็นตัวสร้างปัญหาจริงๆ
ที่เมืองหลวง ฉันมักจะสร้างปัญหาให้กับน้าสะใภ้เล็กกับคนอื่นๆ เสมอ พอกลับมาที่เมื่อจิ่น เธอยังทำให้พ่อแม่สามีเป็นห่วงอีก
“เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ห้ามพูดอะไรแบบนี้อีก” แม่จิ้นพูด
เจียงสื้อสื้อยกยิ้ม “ได้ค่ะ”
“หิวไหมจ้ะ” แม่จิ้นถามด้วยความเป็นห่วง
“นิดหน่อยค่ะ”
“งั้นรอเดี๋ยวนะจ๊ะ แม่จะให้คนที่บ้านทำโจ๊กมาให้”
แม่จิ้นลุกขึ้นไปโทรศัพท์
ทันทีที่เธอออกไป เจียงสื้อสื้อก็ขมวดคิ้ว
เจ็บจัง
ความรู้สึกเจ็บแสบจากบาดแผล ทำให้เธอทรมานมาก แต่เธอไม่กล้าแสดงให้แม่จิ้นเห็น เพราะกลัวว่าพวกผู้ใหญ่เป็นห่วง
“สื้อสื้อ เดี๋ยวคนขับรถที่บ้านจะส่งโจ๊กมาให้”
แม่จิ้นเดินเข้ามาทันเวลาเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเจียงสื้อสื้อ โดยที่เธอไม่ทันได้ปรับเปลี่ยนสีหน้า เธอรีบเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “เจ็บแผลใช่ไหมลูก”
เจียงสื้อสื้อพยายามดึงรอยยิ้มที่อ่อนแรงออกมา “เจ็บนิดหน่อยค่ะ”
“เดี๋ยวแม่ไปเรียกหมอมาดู”
แม่จิ้นรีบเดินออกไปอีกครั้ง
เจียงสื้อสื้ออยากจะเรียกเธอไว้ก็สายเกินไปแล้ว
ไม่นานหมอกับพยาบาลก็เดินเข้ามา
หลังการตรวจ เจียงสื้อสื้อนอกจากความดันโลหิตต่ำเล็กน้อย ส่วนอื่นล้วนปกติ
“อาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าแผลจะหายดี อาการเจ็บปวดนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ พยายามอย่าให้ถูกน้ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ”
หลังจากได้ฟังคำแนะนำของแพทย์ แม่จิ้นก็ขมวดคิ้ว “ไม่มียาแก้ปวดเหรอคะ”
“คุณจิ้นครับ ทานยาแก้ปวดมากเกินไปไม่ดี มีผลเสียต่อร่างกายนะครับ”
“คุณแม่คะ หนูทนได้ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ” เจียงสื้อสื้อปลอบแม่จิ้น
“แม่ไม่ได้กลัวว่าลูกจะทนไม่ไหว แต่แม่รู้สึกปวดใจที่ลูกต้องทนลำบากแบบนี้” แม่จิ้นมองเธออย่างกังวลใจ
เจียงสื้อสื้อยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน “ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเลยค่ะ มีคุณแม่อยู่ด้วย หนูไม่ลำบากเลย”
“เด็กคนนี้”พอได้ยินแบบนี้ แม่จิ้นยิ่งรู้สึกเอ็นดูเธอมากขึ้น
คุณหมอครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้ไหมครับ ผมจะจ่ายยาแก้ปวดให้ ถ้าคุณทนเจ็บไม่ไหว ค่อยกินยา ดีไหมครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” เจียงสื้อสื้อปฏิเสธ เธอไม่ใช่คนอ่อนแอขนาดนั้น ความเจ็บปวดแค่นี้เธอทนได้
“ไม่ได้นะ ยังไงก็มียาไว้จะดีกว่า” แม่จิ้นมีความคิดแตกต่างกัน “หมอบอกว่าทนไม่ไหวแล้วค่อยกินยา เตรียมไว้ไม่มีอะไรผิด”
เจียงสื้อสื้อยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ทำตามที่คุณแม่ต้องการเลยค่ะ”
ถ้าหากทำให้ท่านสบายใจได้ ก็ให้ท่านทำทุกอย่างตามที่ท่านบอกก็แล้วกัน
……
จิ้นเฟิงเหราเดินเข้ามาในห้องพักฟื้นโดยถือปิ่นโตเก็บความร้อนไว้ด้วย พอเห็นเจียงสื้อสื้อนั่งพิงอยู่บนเตียง แม้ว่าสีหน้าของเธอจะยังซีดเซียว แต่ยังคงมีสติดี
เขาอดที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้
โชคดีที่เธอไม่เป็นไร ไม่อย่างนั้นเขาจะอธิบายกับพี่ชายได้ยังไง
“พี่สะใภ้ครับ”
จิ้นเฟิงเหราเดินไปวางปิ่นโตเก็บความร้อนไว้บนโต๊ะข้างเตียง
เจียงสื้อสื้อยิ้มเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าให้คนขับรถเอามาให้เหรอ ทำไมถึงเป็นคุณที่เอามาให้แทนล่ะ”
“ผมเพิ่งกลับบ้าน ก็เลยเอามาด้วยเลย” จิ้นเฟิงเหราเปิดปิ่นโตไปด้วย พร้อมกับตอบไปด้วย
เจียงสื้อสื้อมองมาที่เขา โดยยังมีรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากของเธอ “หวั่นชีงเป็นยังไงบ้าง”
“เธอเก่งมากครับ กินได้นอนได้ พี่สะใภ้ไม่ต้องเป็นห่วง”
พอได้ยินแบบนี้ เจียงสื้อสื้อก็หัวเราะออกมา “ดีแล้ว”
จิ้นเฟิงเหราเทโจ๊กใส่ชาม แล้วยกไปให้เธอ “ความอุ่นกำลังพอดีครับ”
เขาลืมไปว่าเจียงสื้อสื้อได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ข้างหนึ่ง ถ้าขยับจะส่งผลกระทบต่อบาดแผล
ตอนที่เจียงสื้อสื้อยกมือขึ้นเพื่อหยิบช้อน เธอก็ร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด ชามก็หลุดออกจากมือ
จนข้าวต้มหกเต็มพื้น
แล้วยังกระเด็นใส่ขากางเกงของจิ้นเฟิงเหราด้วย
จุดด่างบนกางเกงสูทสีดำดูชัดเจนมาก
ความรู้สึกอัดอั้นตันใจแผ่ซ่านไปทั่ว ไม่นานก็ครอบคลุมจิตใจของเจียงสื้อสื้อไปจนหมด
เธอขอบตาแดงก่ำ รีบพูดขอโทษไม่หยุด “ฉันขอโทษค่ะ ฉันขอโทษ…”
“พี่สะใภ้ ไม่เป็นไรครับ” จิ้นเฟิงเหรารู้สึกทำตัวไม่ถูก เมื่อเห็นขอบตาของเธอเริ่มแดง
“เกิดอะไรขึ้น” แม่จิ้นเดินเข้ามา พอเห็นชามที่แตกอยู่บนพื้นกับโจ๊กที่กระจัดกระจายไปทั่ว จึงขมวดคิ้วแน่น
“ผมลืมไปว่าพี่สะใภ้บาดเจ็บที่ไหล่ ผมเลยเอาข้าวต้มให้เธอ ก็เลย…”
จิ้นเฟิงเหราพูดไม่จบ แต่แม่จิ้นรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เธอจึงเข้าไปทุบตีเขาสองสามครั้ง “เจ้าลูกบ้านี่ โชคดีที่ชามข้าวต้มหล่นลงบนพื้น ถ้าลวกใส่พี่สะใภ้ของลูกขึ้นมาจะทำยังไง”
เจียงสื้อสื้อยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา “คุณแม่คะ หนูผิดเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเฟิงเหราหรอกค่ะ”
“ทำไมถึงไม่เกี่ยว ลูกบาดเจ็บอยู่ จะปล่อยให้ลูกกินเองได้ยังไง”
พอพูดจบ แม่จิ้นก็มองจิ้นเฟิงเหราอย่างไม่พอใจ
จิ้นเฟิงเหราเม้มปากแน่น อยากจะหัวเราะแต่ไม่กล้าที่จะหัวเราะออกมา
คนที่ไม่รู้จักคงคิดว่าพี่สะใภ้ต่างหากที่เป็นลูกสาวของท่าน
“ยังไม่รีบทำความสะอาดที่นี่อีก” แม่จิ้นสั่ง
“ครับ คุณแม่”
จิ้นเฟิงเหรารีบย่อตัวลง แล้วเก็บชิ้นส่วนแตกหักขึ้นมา ห่อด้วยกระดาษทิชชู่ แล้วใส่ลงในถังขยะ
พอมองไปที่จิ้นเฟิงเหราที่กำลังทำความสะอาดห้อง เจียงสื้อสื้อก็รู้สึกผิดมาก “เฟิงเหรา ฉันขอโทษ ทำให้คุณลำบากแล้ว”
“พี่สะใภ้ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องขอโทษผมก็ได้ ฉันก็ไม่ได้ลำบากอะไรด้วย” จิ้นเฟิงเหราพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“ใช่จ้ะ ก็แค่ทำความสะอาด มันจะลำบากอะไรกัน” แม่จิ้นพูดย้ำ “เขาเป็นชายร่างใหญ่ ไม่ใช่เด็กๆแล้ว”
จิ้นเฟิงเหราหัวเราะออกมา “คุณแม่ครับ ทำไมฟังดูแล้วเหมือนคุณแม่จะรังเกียจผมมากเลยล่ะครับ”
“แล้วไม่ใช่หรือไง” แม่จิ้นเหล่ตามองเขา “แม่ไม่รังเกียจลูก แล้วจะรังเกียจใครล่ะ”
จิ้นเฟิงเหราเบ้ปาก “เอาเถอะครับ ยังไงตั้งแต่เล็กจนโตคุณแม่ก็รังเกียจผมมาตลอดอยู่แล้ว”
“รู้ก็ดี”
เจียงสื้อสื้อกลัวว่าจิ้นเหิงเหราจะจริงจังกับเรื่องนี้ จึงรีบพูดอย่างรวดเร็ว “เฟิงเหรา อันที่จริงคุณแม่พูดอย่างนั้น แต่ในใจของท่าน ท่านรักคุณมาก”
“พี่สะใภ้ ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ถือเป็นเรื่องจริงจังหรอกครับ” จิ้นเฟิงเหราแสดงท่าทีไม่ใส่ใจ“ผมแค่พูดล้อเล่นกับคุณแม่เท่านั้นเอง”
“อ๋อ” เจียงสื้อสื้อรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย แล้วพูดติดตลก “ฉันยังนึกว่าคุณแม่พูดจริงซะอีก”
“เรื่องจริงสิ แม่ไม่ชอบเขาที่สุด” แม่จิ้นพูดอย่างจริงจัง
เจียงสื้อสื้ออดที่จะยิ้มด้วยหัวใจที่แสนอบอุ่นไม่ได้
เธอรู้ว่าพวกเขากลัวว่าเธอจะเสียใจ เธอถึงได้จงใจพูดแบบนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากเธอไป