เหลียงซินเวยนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน นิ่งคิดถึงคำสารภาพรักของกู้เนี่ยนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เธอกับกู้เนี่ยนรู้จักกันได้ไม่นาน แต่เขาดีกับเธอมาก ถ้าเป็นไปได้ เธอควรจะใช้ถ้อยคำที่สุภาพกว่านี้ ไม่ควรจะปฏิเสธออกไปตรงๆแบบนี้
พอเธอมาถึงร้านอาหารตะวันตกกำลังจะเริ่มทำงาน ส้งหร่านก็ดึงเธอไปด้านข้าง แล้วกระซิบถามเบาๆ “เธอตอบรับพี่กู้แล้วหรือยัง”
เหลียงซินเวยส่ายหน้า “ไม่”
“ทำไมล่ะ” ส้งหร่านไม่เข้าใจ “พี่กู้ไม่ดีตรงไหนกัน”
“เขาเป็นคนดีมาก แต่ฉันไม่ได้ชอบเขา”
ส้งหร่านถอนหายใจออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาไหนของเพื่อน “ทำไมเธอโง่แบบนี้ ไม่ชอบตอนนี้ก็ลองคบหาดูได้ บางทีอาจจะชอบขึ้นมาก็ได้”
เหลียงซินเวยเม้มปาก “ที่จริงแล้ว…”
“ที่จริงแล้วอะไร” ส้งหร่านพูดขัดจังหวะเธออย่างใจร้อน “ฉันจะต้องโมโหเธอจนบ้าตายแน่ๆ ในกรณีของเธอหายากมากที่จะมีผู้ชายที่เต็มใจจะช่วยเลี้ยงลูกเธอด้วย ตอนนี้อุตส่าห์มีมาคนหนึ่ง เธอยังปฏิเสธอีก ฉันนี่อยากจะ … “
ส้งหร่านโมโหมากจนไม่รู้จะพูดอะไร
เหลียงซินเวยมองเธออย่างขบขัน “ทำไมเธอถึงโกรธแบบนี้ล่ะ ฉันยังไม่รีบร้อนเลย ทำไมเธอถึงรีบร้อนแทนล่ะ”
“ฉัน…ก็ฉันเห็นเธอทำงานหนักขนาดนี้ รู้สึกปวดใจแทนเธอไง” ส้งหร่านหันไปด้านข้างด้วยความโมโห
“เอาล่ะ ฉันผิดไปแล้ว อย่าโมโหไปเลยนะ” เหลียงซินเวยกอดแขนเธอแล้วพูดออดอ้อนขึ้นมาทันที
ส้งหร่านหันไปมองที่เธอ “มาอ้อนฉันก็ไม่มีประโยชน์ ไปอ้อนพี่กู้จะดีกว่า”
“พูดอะไรบ้าๆ” เหลียงซินเวยถลึงตามองเธอ แล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คืนนี้เป็นงานเลี้ยงครบรอบของห้างสรรพสินค้า ดีใจหน่อยสิ อย่าโกรธเลยนะ”
“ฉันนี่ยอมให้เธอจริงๆ” ส้งหร่านส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แล้วยิ้มออกมา
“ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วงฉัน ฉันจะเอาสิ่งที่เธอพูดไปคิดดูนะ”
“ทางที่ดีทำให้ได้อย่างนี้” ส้งหร่านถอนหายใจอย่างแรง “ถ้ามีผู้ชายที่เต็มใจจะดูแลเธอ เธอจะได้หายเหนื่อยลงไปบ้าง”
เหลียงซินเวยเม้มปาก “ที่จริงแล้ว ฉันอยากพึ่งพาตัวเองมากกว่า”
“อย่าคิดว่าตัวเองเป็นยอดมนุษย์ รอวันไหนเธอล้มป่วยขึ้นมา ฉันจะคอยดูว่าเธอจะทำยังไง”
ส้งหร่านเห็นว่าเธอลำบากแค่ไหนในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นเธอจึงคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีผู้ชายที่ดีมาดูแลเธอสักคน
“เข้าใจแล้ว” เหลียงซินเวยเหลือบเห็นผู้จัดการเดินเข้ามา จึงรีบพูด “ผู้จัดการมาแล้ว ไม่พูดแล้ว”
เธอตบไหล่ส้งหร่านแล้วรีบกลับไปทำงานต่อ
ผู้จัดการเรียกทุกคนเข้าประชุม แล้วบอกพวกเธอว่าวันนี้จะเปิดร้านแค่ครึ่งวัน แล้วจะปิดร้านในตอนบ่าย
“ตอนเย็นเป็นงานเลี้ยงครบรอบของห้างสรรพสินค้า หวังว่าทุกคนจะสนุกกับงานนะ”
ทุกคนดีใจกันมาก ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส
“เวยเวย ตามฉันมา”
เหลียงซินเวยที่กำลังสนทนากับเพื่อนร่วมงานหลายคน ได้ยินเสียงเรียกจึงหันไปมอง เห็นผู้จัดการกำลังกวักมือเรียกเธอไปหา
เธอรีบเดินตามไป “ผู้จัดการคะ คุณมีอะไรจะสั่งฉันเหรอคะ”
“งานเลี้ยงในคืนนี้ เราต้องส่งตัวแทนจากแต่ละร้านขึ้นไปพูดบนเวที เจ้านายให้ฉันตัดสินใจว่าจะเลือกใคร ฉันจึงแนะนำเธอไป”
“ผู้จัดการคะ ฉัน… ฉันกลัวว่าจะทำไม่ได้ค่ะ”
ฉันรู้เสมอว่าผู้จัดการเอ็นดูเธอมาก แต่ไม่จำเป็นต้องดูแลเธอถึงขนาดนี้ก็ได้
งานสำคัญแบบนั้น…
ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีความมั่นใจ แต่เธอทำไม่ได้จริงๆ อีกทั้งยังอาจจะทำให้ร้านอับอายด้วย
“ฉันบอกว่าเธอทำได้ เธอก็ต้องทำได้” ผู้จัดการค่อนข้างมั่นใจในตัวเธอมาก
เหลียงซินเวยไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ผู้จัดการคะ คุณให้คนอื่นไปแทนเถอะนะคะ”
“เวยเวย ถ้าเธอปฏิเสธอีก ฉันจะโกรธแล้วนะ” ผู้จัดการขมวดคิ้ว
“ฉัน…” เหลียงซินเวยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดปากตอบตกลง “ก็ได้ค่ะ ฉันจะทำตามที่ผู้จัดการสั่งค่ะ”
พอเธอตอบตกลง ผู้จัดการก็ยิ้มออกมาทันที “ดีมาก ฉันเชื่อว่าเธอทำได้”
ผู้จัดการตบไหล่เธออีกครั้ง เพื่อบ่งบอกว่ามั่นใจในตัวเธอ
เหลียงซินเวยกระตุกมุมปากยิ้มอย่างไม่เต็มใจ ในใจรู้สึกลำบากใจจนพูดอะไรไม่ออก
เดิมทีเธอคิดว่าจะได้พักผ่อนในตอนกลางคืน แต่เธอได้รับหน้าที่ที่สำคัญแบบนี้ ทำให้หัวใจของเธอหนักอึ้ง
ส้งหร่านเห็นเธอเดินออกมาอย่างหมดแรง เธอจึงรีบถามด้วยความเป็นห่วง “ผู้จัดการเรียกเธอไปต่อว่าเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก” เหลียงซินเวยส่ายหน้า “ต่อว่าฉันยังดีกว่าเลย”
“แล้วเพราะเรื่องอะไรล่ะ”
เหลียงซินเวยสูดหายใจเข้าลึก“เธอขอให้ฉันขึ้นไปพูดบนเวทีในนามตัวแทนของร้านอาหารในคืนนี้”
“โชคดีขนาดนี้เลย” ส้งหร่านเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น
เหลียงซินเวยขมวดคิ้วแน่น “โชคดีตรงไหนกัน”
“ไม่ดีตรงไหนกัน คิดดูสิงานในคืนนี้จะต้องมีพวกไฮโซจำนวนมากเข้าร่วมงาน บางทีถ้าเธอขึ้นไปบนเวที เธออาจจะได้สามีผู้ร่ำรวยก็ได้นะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เหลียงซินเวยหัวเราะออกมา “หรือว่าฉันควรให้โอกาสนี้กับเธอดีนะ”
“ไม่เอาด้วยหรอก” ส้งหร่านปฏิเสธโดยไม่ลังเล
เธอปฏิเสธอย่างเด็ดขาดขนาดนี้ เหลียงซินเวยก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน “ก็ไหนบอกว่านี่เป็นโอกาสที่ดีไม่ใช่เหรอ ฉันให้โอกาสนี้กับเธอ ทำไมเธอไม่รับไว้ล่ะ”
ส้งหร่านยกยิ้ม “เพราะเธอต้องการโอกาสนี้มากกว่าฉัน”
“นี่เธอ” เหลียงซินเวยโบกมือ “ช่างเถอะ ฉันขี้เกียจจะเถียงกับเธอแล้ว”
เธอควรคิดว่าจะพูดอะไรในคืนนี้มากกว่า
……
เจียงสื้อสื้อตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อยุ่งอยู่ในห้องครัว เพราะเธออาสาที่จะเตรียมอาหารเช้าคนเดียว
ดังนั้นป้าเฉินจึงมอบทั้งห้องครัวให้เธอดูแล
หลังจากยุ่งอยู่นานกว่าหนึ่งชั่วโมง เธอก็ยกโจ๊กมาวางที่โต๊ะ แล้ววางเครื่องเคียงที่ปรุงอย่างพิถีพิถันลงบนโต๊ะทีละจาน
เธอรู้ว่าของโปรดของจิ้นเฟิงเฉินคือไข่ดาว เธอจึงเตรียมไว้ให้เป็นพิเศษ
เธอมองดูโต๊ะอาหารเช้าที่ตั้งใจเตรียมอย่างดี ในใจก็รู้สึกอิ่มเอมมาก
ถึงแม้เขาจะลืมเธอไปแล้ว แต่เธอเชื่อว่าหลังจากเขากินอาหารที่เธอทำแล้ว เขาจะต้องรู้สึกคุ้นเคยแน่ๆ
“พวกคุณหนูจะลงมาแล้ว เธอรีบกลับไปซ่อนตัวในครัวเร็วเข้า” พ่อบ้านรีบเข้ามาพูด
เจียงสื้อสื้อยื่นหน้ามองออกไป จึงเห็นซ่างกวนหยวนกับจิ้นเฟิงเฉินเดินเข้ามาที่ห้องอาหารพอดี เธอรีบหันหลังแล้ววิ่งเข้าไปในห้องครัวทันที
หลังจากซ่อนตัวแล้ว เธอก็อดที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้ วันเวลาแบบนี้จะต้องเป็นไปอีกนานแค่ไหนกัน
ทันทีที่เดินเข้าไปในห้องอาหาร ซ่างกวนหยวนก็ขมวดคิ้วเมื่อเห็นอาหารโต๊ะ “ทำไมวันนี้เตรียมอาหารไว้เยอะจัง”
พ่อบ้านรีบตอบออกไป “เมื่อวานนี้ดูเหมือนว่าคุณชายเฟิงเฉินจะไม่ชอบอาหารตะวันตกมากเท่าไหร่ ผมก็เลยสั่งให้ทางห้องครัวเตรียมอาหารเช้าแบบจีนมาครับ”
ซ่างกวนหยวนไม่สงสัยในสิ่งที่เขาพูดเลย เธอดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลงไป
จิ้นเฟิงเฉินนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆเธอ
พ่อบ้านสั่งให้พวกเขาตักโจ๊กแยกใส่ถ้วยเสิร์ฟ แล้วถอยออกมา เหลือไว้เพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
จิ้นเฟิงเฉินตักโจ๊กใส่ปากหนึ่งคำ ก่อนจะคีบไข่ดาวใส่ถ้วย หลังจากกัดเข้าไปหนึ่งคำ เขารู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย
“พวกเขารู้ได้ยังไงว่าผมชอบไข่ดาวครึ่งสุกครึ่งดิบแบบนี้” เขาหันไปถามซ่างกวนหยวน
ซ่างกวนหยวนเหลือบมองที่ไข่ดาวบนจานของเขา ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น “ฉันไม่เคยบอกพวกเขาค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอครับ” จิ้นเฟิงเฉินไม่คิดมาก “คงจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ครับ”
เจียงสื้อสื้อที่ซ่อนตัวอยู่ในครัวได้ยินคำพูดนี้ จึงยกยิ้มออกมา
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญค่ะ แต่ฉันเตรียมให้คุณเป็นพิเศษต่างหากล่ะ