“พวกเราเป็นคนในครอบครัวของเธอ เป็นสิ่งที่สมควรทำอยู่แล้ว” ฟางยู่เชินเอ่ย
ได้ยินดังนั้น จิ้นเฟิงเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขอบคุณพวกคุณด้วยนะครับ”
“ทำไมจู่ ๆ บอกขอบคุณล่ะ?”
จิ้นเฟิงเฉินดึงผ้าเช็ดปากมา เอ่ยปากอย่างเชื่องช้า “ช่วงเวลาที่ผมไม่ได้อยู่ข้าง ๆ สื้อสื้อ ขอบคุณพวกคุณที่ดูแลเธอแทนผม”
ฟางยู่เชินขมวดคิ้ว “นายนึกอะไรบางอย่างออกแล้วใช่ไหม?”
ไม่อย่างนั้นเขาจะพูดแบบนี้ได้ยังไง?
“เปล่า ผมไม่ได้นึกอะไรออก” จิ้นเฟิงเฉินยิ้มอย่างจำใจ “แต่ตั้งแต่ตอนที่ผมรู้ช่วงเวลาที่ลำบากของสื้อสื้อ ผมก็รู้สึกไม่สบายใจ”
บางทีสมองอาจจำไม่ได้ แต่หัวใจยังคงจดจำ
ได้ยินดังนั้น เจียงสื้อสื้อรู้สึกปวดตื้อที่ปลายจมูก มีหมอกปกคลุมจาง ๆ ในดวงตา เธอเม้มปากเล็กน้อยแล้วยิ้มเอ่ย “ขอเพียงนายกลับมาอย่างปลอดภัย อะไรก็ไม่สำคัญ”
“ไม่ นี่สำคัญสำหรับฉันมาก” จิ้นเฟิงเฉินจ้องมองเธอลึกเข้าไป “ตอนนี้ฉันกลับมาแล้ว จะต้องชดเชยให้เธอแน่นอน”
เบื้องหน้ามีละอองน้ำเอ่อขึ้นมาหนึ่งชั้นอย่างรวดเร็ว
เจียงสื้อสื้อเอื้อมมือกดซับที่หัวตา บังคับให้น้ำตาไหลกลับเข้าไป
ด้วยคำพูดประโยคนี้ของเขา จากวันเวลาเหล่านั้น ความลำบากและการยืนหยัดทั้งหมดล้วนคุ้มค่าแล้ว
“พอเถอะ อย่าแสดงความรักต่อหน้าฉัน” ฟางยู่เชินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ทำลายบรรยากาศที่เจือความโศกเศร้าเสียใจในคราวเดียว
เจียงสื้อสื้อปาดน้ำตาอย่างยิ้ม ๆ “ทำไม? อิจฉาหรือว่าริษยา?”
“ทั้งคู่”
ฟางยู่เชินอิจฉาความผูกพันของพวกเขามากจริง ๆ หวังอยากให้ตัวเองและเวยเวยสามารถเป็นเหมือนพวกเขาได้เหมือนกัน ความผูกพันที่ลึกซึ้งขนาดนี้
“น้อยหน่อยน่า พี่ก็ไม่ได้โสด อิจฉาอะไรกัน” เจียงสื้อสื้อพูดแขวะไปหนึ่งประโยคอย่างไม่พอใจ
ซ่างหยิงกำลังยกอาหารมาพอดี ได้ยินเข้าจึงถามด้วยความสงสัย “โสดอะไรเหรอ?”
“เปล่าค่ะ ก็แค่คุยเล่นกันน่ะค่ะ” เจียงสื้อสื้อสบตากับฟางยู่เชินเล็กน้อยแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
ซ่างหยิงวางอาหารลง มองจิ้นเฟิงเฉินพลางเอ่ย “รอเฟิงเฉินฟื้นคืนความทรงจำได้แล้ว ถึงตอนนั้นคนในครอบครัวค่อยมารวมตัวอีกครั้ง”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “ได้เลยค่ะ””
“ถึงตอนนั้นก็เรียกพวกเสี่ยวอี้มา”
พอได้ยิน ฟางยู่เชินขมวดคิ้ว “แม่ คนในครอบครัวเรารวมตัวกัน เรียกพวกเขามาทำอะไร?”
“ไม่นานก็จะเป็นคนในครอบครัวแล้ว” ซ่างหยิงหัวเราะร่า
ฟางยู่เชินอ้าปากจะโต้แย้ง ซ่างหยิงสังเกตความคิดของเขาออก จึงแย่งเอ่ยปากพูดก่อน “เอาล่ะ กว่าเฟิงเฉินจะกลับมาได้ เธอก็อย่าทำให้ทุกคนหมดอารมณ์สิ”
เธอพูดขนาดนี้ ฟางยู่เชินก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
แม้ว่าเจียงสื้อสื้อจะเห็นใจเขา แต่ก็ช่วยเขาไม่ได้
หลังจากกินข้าวเสร็จ เจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินขึ้นไปพักผ่อนชั้นบน
“วันนี้นายนอนห้องนี้” เจียงสื้อสื้อยกห้องของตัวเองให้เขา
“งั้นเธอล่ะ?” จิ้นเฟิงเฉินถาม
เจียงสื้อสื้อยิ้ม “ฉันจะนอนห้องรับแขก”
จิ้นเฟิงเฉินย่นระหว่างคิ้ว “ให้ฉันนอนห้องรับแขกดีกว่า”
ขณะเจียงสื้อสื้อกำลังจะพูดว่าไม่ต้อง เสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนก็วิ่งมาหา
“แด๊ดดี้ คืนนี้พวกเราอยากนอนกับแด๊ดดี้ด้วย” เสี่ยวเป่าเอ่ย
จิ้นเฟิงเฉินเหลือบมองเจียงสื้อสื้อ “พวกหนูอยากนอนกับฉันเหรอ?”
เถียนเถียนพยักหน้าหลายครั้ง “อ้อ แล้วก็หม่ามี๊ด้วย”
เมื่อเจียงสื้อสื้อได้ฟังก็รีบพูดขึ้น “ไม่ได้ พวกหนูต้องนอนกันเอง ส่งเสียงรบกวนแด๊ดดี้ไม่ได้นะ”
จิ้นเฟิงเฉินยังไม่ได้ฟื้นคืนความทรงจำ เธอให้เขากับเด็กแล้วก็ตัวเองนอนบนเตียงเดียวกันคงจะไม่ดี
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นสามีภรรยากันก็ตาม
“หนูไม่เอา หนูอยากจะนอนด้วยกันกับแด๊ดดี้หม่ามี๊” เถียนเถียนเบ้ปากอย่างไม่พอใจ
“เถียนเถียน……”
เจียงสื้อสื้อตั้งใจว่าจะเกลี้ยกล่อมเธอ ให้เธอละทิ้งความคิดนี้
ใครจะไปรู้ว่าจิ้นเฟิงเฉินจะรับปากอย่างไม่คาดคิด
“ได้ พวกเรานอนด้วยกัน”
เจียงสื้อสื้ออึ้งไป “นายแน่ใจเหรอ?”
มุมปากจิ้นเฟิงเฉินกระตุกยิ้มจาง ๆ “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ใช่เหรอ?”
เอาเถอะ เธอจนปัญญาจะโต้แย้ง
ส่วนเสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนเมื่อได้ยินเขารับปากก็เปล่งเสียงร้องดีใจทันที “ดีจังเลย!”
จากนั้นพวกเขาก็วิ่งตามกันเข้าห้องไป
มองดูเด็กน้อยทั้งสองดีใจสุดขีดแล้ว สายตาของจิ้นเฟิงเฉินก็ย้ายไปจับจ้องใบหน้าเจียงสื้อสื้อ นัยน์ตาเอ่อล้นความอ่อนโยนโดยที่เขาไม่รู้ตัว “เธอไม่ถือสาใช่ไหม?”
เจียงสื้อสื้อเผลอยิ้ม “ฉันจะถือสาอะไรล่ะ?”
“ถึงยังไง……ตอนนี้ฉันสูญเสียความทรงจำ สำหรับเธอแล้วก็เหมือนคนแปลกหน้าคนหนึ่ง”
เจียงสื้อสื้อส่ายหน้าเบา ๆ “ฉันไม่ถือสา ไม่ว่านายจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน นายก็เป็นสามีของฉัน เป็นคนที่ฉันรัก”
คำพูดนี้เข้าไปในหูของจิ้นเฟิงเฉิน เสมือนก้อนหินก้อนหนึ่งโยนเข้าไปทะเลใจของเขา กระตุ้นให้เกิดคลื่นลูกเล็กเป็นช่วง ๆ
เขายื่นแขนโอบเอวของเธอเอาไว้อย่างอดใจไม่อยู่ โอบเธอเข้ามาในอ้อมอก ฝ่ามือใหญ่ปลอบประโลมแผ่นหลังของเธอ
กลิ่นหอมเย็นสะอาดของเขาโชยเข้าจมูก เจียงสื้อสื้อค่อย ๆ หลับตาลง หัวใจหนึ่งดวงถูกเติมเต็มด้วยความสงบและความปลอดภัยในพริบตา
เฟิงเฉินของเธอกลับมาแล้วในที่สุด
น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าฟังดังขึ้นข้างหู “สื้อสื้อ ฉันจะพยายามนึกถึงความทรงจำระหว่างเรา ฉันจะใช้เวลาหลังจากนี้ชดเชยให้เธอ”
เจียงสื้อสื้ออ้าแขนออก โอบเอวเขาไว้จนแน่น ซุกหน้าในอ้อมอกของเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม “คุณพูดเอาไว้ ฉันจะดีต่อเธอชั่วชีวิต อย่าจากฉันไปอีก”
ในช่วงเวลาที่เขาจากตัวเองไป เธอรู้ดีที่สุดว่าเสียน้ำตาไปมากแค่ไหน กลางดึกสะดุ้งตื่นลืมตาจนถึงฟ้าสว่างมากี่คืน
ช่วงเวลาเจ็บปวดทรมานแบบนี้ เธอไม่อยากประสบพบเจออีกแล้ว
จิ้นเฟิงเฉินส่งเสียง “อืม” เบา ๆ กุมมือของเธอไว้แนบแน่น ใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ครั้งนี้ เขาจะต้องนึกถึงเรื่องในอดีตให้ได้
……
ก่อนกลับเมืองจิ่น เจียงสื้อสื้อตัดสินใจพาจิ้นเฟิงเฉินไปพบคุณแม่
ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เจียงสื้อสื้อเอ่ยกำชับเป็นพิเศษ “ตอนที่เจอแม่ฉัน นายจะต้องเรียกเธอว่า’แม่’นะ ถ้าหากเธอถามนายว่าทำไมตั้งนานกว่าจะกลับมา คุณก็บอกไปว่างานค่อนข้างเยอะ ฉะนั้นถึงได้กลับมาช้า”
เธอกลัวว่าหากแม่รู้เรื่องที่เฟิงเฉินสูญเสียความทรงจำแล้วจะเป็นกังวล ถึงได้กำชับเขาเป็นพิเศษ
จิ้นเฟิงเฉินยิ้ม “เธอวางใจได้ ฉันจะตามน้ำไป ”
เจียงสื้อสื้อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังไม่วางใจ “ช่างเถอะ นายก็ยังคงเหมือนอย่างแต่ก่อน เป็นคนไม่ค่อยพูดค่อยจา มีอะไรฉันเป็นคนพูดแล้วกัน ”
ขณะที่พูดอยู่ รถก็ค่อย ๆ หยุดลงที่หน้าประตูโรงพยาบาล
เมื่อถึงห้องคนไข้ พอฟางเสว่มั่นเจอจิ้นเฟิงเฉินก็ดีอกดีใจขึ้นมาทันที “เฟิงเฉิน เธอกลับมาเมื่อไหร่?”
จิ้นเฟิงเฉินเอ่ยอย่างขอโทษ “แม่ครับ ขอโทษนะครับ ที่ไม่ได้มาเยี่ยมนานขนาดนี้”
“แม่รู้ว่าเธองานยุ่ง ไม่ได้จะตำหนิเธอหรอก” ฟางเสว่มั่นอธิบาย
เจียงสื้อสื้อเดินไปหา ประคองแขนคุณแม่เอาไว้ “แม่คะ พวกเราเตรียมตัวจะกลับไปเมืองจิ่นระยะหนึ่ง อาจจะมีช่วงหนึ่งไม่สามารถมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยได้”
“แม่ไม่จำเป็นต้องให้ลูกอยู่เป็นเพื่อนหรอก” ฟางเสว่มั่นตบเบา ๆ ที่แขนของเธอ เอ่ยด้วยความปลื้มใจ “ขอแค่พวกเธอสองคนรักใคร่กันดีก็สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว”
เจียงสื้อสื้อเผลอยิ้ม “แม่คะ พวกเราก็ดีต่อกันมาตลอด”
“งั้นก็ดี” ฟางเสว่ยิ้มอย่างหมดห่วง
พอคุยเล่นเป็นเพื่อนคุณแม่สักพักหนึ่งแล้ว เจียงสื้อสื้อก็พาจิ้นเฟิงเฉินไปหาคุณท่านฟาง
“คุณตายังไม่ฟื้นขึ้นมา แต่คุณหมอบอกว่ามีความหวังอยู่มาก” เจียงสื้อสื้อเอ่ยขณะมองดูคุณท่านที่ยังคงนอนแน่นิ่ง