ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! – บทที่ 1390 เป็นครอบครัวเดียวกัน

บทที่ 1390 เป็นครอบครัวเดียวกัน

เมื่อเจียงสื้อสื้อฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นก็คือหิมะขาวโพลนที่แสบตาเข้าในตา และเธอก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย

นี่เธออยู่ที่ไหน?

เธอไม่ได้อยู่บนรถกับเฟิงเหราหรอกเหรอ?

“สื้อสื้อ”

เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นก้องมาข้างๆ หู

เธอค่อยๆ หันหน้ามา แล้วสบตาเข้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวลคู่นั้น และเบ้าตาของเธอก็แดงขึ้นมาทันที “เฟิงเฉิน……”

เธอจำเหตุการณ์ที่โดนไล่ตามบนถนนได้ เพราะตอนนี้เธอเฉียดผ่านร่างยมทูตไปหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังไปชนเข้ากับต้นไม้

ทันทีที่ชนเข้าไปกับต้นไม้ เธอก็ถูกปกคลุมไปด้วยความสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง

เธอคิดว่าตัวเองคงตายซะแล้ว

คิดว่าตัวเองคงจะไม่ได้เห็นหน้าเฟิงเฉินและลูกอีกแล้ว

ดังนั้นที่ได้เห็นหน้าจิ้นเฟิงเฉิน ความรู้สึกทั้งหมดก็พุ่งออกมา จากนั้นเธอก็ร้องไห้ออกมา

จิ้นเฟิงเฉินรู้เจ็บปวดอย่างมาก เขาเช็ดน้ำตาให้เธอไปด้วย และปลอบโยนเธอด้วยเสียงที่อ่อนโยนไปด้วย “ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่ร้องแล้ว”

“ฉัน ฉันคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าคุณอีกแล้ว”

เจียงสื้อสื้อมองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า

จิ้นเฟิงเฉินเผลอหัวเราะอย่างจนปัญญา “คนโง่ ผมก็อยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ? แล้วจะไม่เห็นผมได้อย่างไรกันล่ะ?

เจียงสื้อสื้อจับมือเขาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าจะไม่ได้เจอเขาอีก

เมื่อเห็นสภาพเธอแบบนี้ จิ้นเฟิงเฉินก็ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าตอนนั้นเธอจะกลัว และสิ้นหวังมากแค่ไหน

หัวใจของเขาเจ็บปวดอย่างมากราวกับถูกคนบีบอย่างรุนแรง

หลังจากที่จิตใจของเจียงสื้อสื้อคงที่ จึงนึกขึ้นได้และถามถึงสถานการณ์ของจิ้นเฟิงเหรา

“แล้วเฟิงเหราล่ะ? เขาเป็นยังไงบ้าง?”

เธอจำได้ว่าตอนนั้นจิ้นเฟิงเหราหักพวงมาลัยไปทางเธอ เพื่อไม่ให้หน้ารถของเธอชนกับต้นไม้โดยตรง

เธอยังถูกชนจนอาการเป็นแบบนี้ เช่นนั้นเขาจะต้องอาการหนักกว่าเธอแน่ๆ

จิ้นเฟิงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดไปว่า “เฟิงเหรายังอยู่ในอาการโคม่า”

น้ำตาที่ไม่อาจหยุดได้ก็ไหลออกมาอีกครั้ง

“ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน เฟิงเหราก็คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้”

เจียงสื้อสื้อโทษว่าเธอไม่ดีเอง แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่น่าสงสาร

“สื้อสื้อ อย่าโทษตัวเองเลยนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ” จิ้นเฟิงเฉินกอดเธอ แล้วรู้สึกเหมือนกับว่ามีบางอย่างทิ่มแทงอยู่ในหัวใจของเขา ซึ่งมันทรมานอย่างมาก

ถ้าจะโทษจริงๆ ก็ควรต้องโทษเขา

ถ้าเขาไม่ได้ขอให้เธอกลับไปกับเฟิงเหราก่อน ก็คงจะไม่เกิดเรื่องหลังจากนั้นขึ้นหรอก

เจียงสื้อสื้อซุกหน้าตัวเองไว้ในอกของเขา และร้องไห้สะอึกสะอื้น

………….

เมื่อที่พ่อจิ้นแม่จิ้นและส้งหวั่นชีงได้รับข่าว พวกเขาก็รีบพากันมาที่โรงพยาบาลทันที

เมื่อเห็นคนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ที่ซึ่งหลับตาสนิท และใบหน้าที่ไร้ซึ่งเลือดฝาดของจิ้นเฟิงเหราแล้ว ส้งหวั่นชีงก็หน้ามืด และร่างกายก็สั่นสะท้าน

“หวั่นหวั่น” แม่จิ้นรีบประคองเธอไว้

ส้งหวั่นชีงก็ยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณว่าเธอไม่เป็นไร จากนั้นจึงเดินไปที่เตียงผู้ป่วยทีละก้าว แล้วสายตาก็จ้องไปที่จิ้นเฟิงเหราอย่างแน่นหนา จากนั้นน้ำตาก็ค่อยๆ ไหลลงมาจากหางตาอย่างเงียบๆ

“เฟิงเหรา…”

เมื่อเธอเดินไปถึงข้างเตียง เธอก็ย่อตัวลง แล้วสะอึกสะอื้นพร้อมกับเรียกอยู่ข้างหูเขาเบาๆ

แต่กลับไม่มีการตอบสนองใดๆ

ส้งหวั่นชีงกลั้นไว้ต่อไปไม่ได้อีก เธอจึงปิดปากแล้วร้องไห้ออกมา

แม่จิ้นก็ร้องไห้เช่นกัน เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วเดินไปตบหลังส้งหวั่นชีงเบาๆ “หวั่นหวั่น อย่าร้องไห้เลย คุณหมอบอกว่าเฟิงเหราจะอยู่ในอาการโคม่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น ตัวคนไม่ได้เป็นอะไร”

เมื่อได้ยินดังนั้น ส้งหวั่นชีงก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วสายตาของเธอก็หยุดอยู่ที่ใบหน้าที่ซีดขาวของจิ้นเฟิงเหรา เธอสั่งน้ำมูก แล้วพูดอย่างสะอึกสะอื้นไปว่า “แม่คะ แม่ดูสภาพเขาในแบบนี้ มันดูเหมือนคนที่ไม่เป็นอะไรเหรอคะแม่?”

ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อคุณหมอ แต่แค่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอมองเห็นเท่านั้น

หัวของเขาถูกพันด้วยผ้าก๊อซ และใบหน้าของเขาก็ไม่มีเลือดฝาดเลย แม้แต่ริมฝีปากก็ยังดูซีดขาว ดูยังไงมันก็ไม่เหมือนว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรเลย

“ฉัน……”

ที่จริงแม่จิ้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

เมื่อเธอได้ยินคุณหมอบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร แน่นอนว่าเธอก็รู้สึกโล่งใจมาก แต่เมื่อได้เห็นสภาพของเฟิงเหราในตอนนี้ เธอก็ไม่รู้เลยว่ามันจะไม่เป็นอะไรจริงๆ

ในขณะนั้นเอง พ่อจิ้นก็ส่งเสียงพูดออกมาว่า “เฝิงเหราก็แค่ถูกชนหัวแตก เลยทำให้เลือดไหลออกมาเล็กน้อย ส่วนที่เหลือเป็นเพียงรอยขีดข่วน ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาใหญ่อะไร”

การปลอบโยนของพ่อจิ้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย และผู้หญิงสองคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก

โดยเฉพาะส้งหวั่นชีง

เธอร้องไห้ไปพูดไปด้วยว่า “เฟิงเหราเพิ่งจะโทรหาหนูเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว เขาบอกว่าเขาจะกลับบ้านมาทานมื้อเย็นด้วยกัน แต่กลับไม่ได้กลับบ้าน และกลับกลายเป็นมาโรงพยาบาลแทน นี่มันเรื่องอะไรกัน”

เมื่อได้ยินดังนั้น แม่จิ้นกับพ่อจิ้นก็มองหน้ากัน และทั้งสองก็ถอนหายใจ

กว่าจะใช้ชีวิตอย่างสงบมาได้เพียงไม่กี่วันนี้มันไม่ง่ายเลย และยังมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก

แล้วมันเป็นใครกันแน่ที่จงใจหาเรื่องกับตระกูลจิ้นตลอด

…………..

ด้วยการประคองจากจิ้นเฟิงเฉินเจียงสื้อสื้อจึงมาถึงห้องผู้ป่วยของจิ้นเฟิงเหรา

“สื้อสื้อ ทำไมลูกถึงลุกจากเตียงแล้วล่ะ?” แม่จิ้นรีบก้าวเข้าไปช่วยประคองเธอ

“แม่คะ หนูไม่เป็นไรค่ะ” เจียงสื้อสื้อยิ้มปลอบใจให้เธอ และมองไปที่จิ้นเฟิงเหราที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย จากนั้นจึงอดรอยยิ้มที่มุมปาก แล้วสีหน้าก็ดูหนักอึ้งขึ้น

เธอเดินไปที่ข้างๆ ส้งหวั่นชีง และเห็นว่าส้งหวั่นชีงร้องไห้จนแดง จากนั้นเธอก็รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างมาก

“หวั่นหวั่น ฉันขอโทษนะ ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน เฟิงเหราก็คงจะไม่……”

“พี่สะใภ้คะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่หรอกค่ะ” ส้งหวั่นชีงขัดจังหวะเธอ “เป็นเพราะคนพวกนั้นทำเกินไปแล้ว”

“หวั่นหวั่น…… ” ดวงตาของเจียงสื้อสื้อร้อนผ่าว

ส้งหวั่นชีงพยายามฝืนยิ้มออกมา “พี่สะใภ้คะ พี่อย่าโทษตัวเองเลยนะ วันนี้ถ้าเปลี่ยนเป็นฉันได้ ฉันก็เลือกที่จะปกป้องคุณ เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกัน”

น้ำตาที่ร้อนผ่าวก็ไหลออกมาเบ้าตา และเจียงสื้อสื้อก็กัดริมฝีปากของเธอไว้

เพราะพวกเขามักจะดีกับเธอแบบนี้เสมอ แต่ก็เพราะเป็นแบบนี้ ในใจของเธอจึงยิ่งรู้สึกเจ็บปวดเข้าไปอีก

“สื้อสื้อ อย่ายืนเลย นั่งลงเถอะ” พ่อจิ้นยกเก้าอี้มาตัวหนึ่ง

“ขอบคุณค่ะพ่อ” หลังจากเจียงสื้อสื้อนั่งลงแล้ว ก็มองไปที่จิ้นเฟิงเหราซึ่งยังอยู่ในอาการโคม่า และถามว่า “คุณหมอบอกว่าเขาจะฟื้นเมื่อไหร่คะ?”

“คุณหมอบอกว่าขอแค่เขาฟื้นขึ้นมาภายใน 12 ชั่วโมง แบบนั้นก็ไม่เป็นอะไรแล้ว” พ่อจิ้นตอบ

“แล้วตอนนี้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วคะ?” เจียงสื้อสื้อถามอีกครั้ง

แม่จิ้นเหลือบมองนาฬิกา “สามสี่ชั่วโมงแล้ว”

อย่างนั้นก็แสดงว่ายังเหลือประมาณแปดชั่วโมง

เจียงสื้อสื้อหันกลับไปมองส้งหวั่นชีง หวั่นหวั่น เธอกำลังตั้งท้องอยู่ในระยะแรกอย่าเหนื่อยจนเกินไปเลยนะ กลับไปพักผ่อนเถอะ ที่นี่มีเฟิงเฉินและยังมีกู้เนี่ยนพวกเขาอยู่ด้วยแล้ว”

ส้งหวั่นชีงฝืนยิ้ม “พี่สะใภ้คะ ถึงฉันจะกลับไปตอนนี้ก็คงจะกังวลจนนอนไม่หลับหรอกค่ะ ยังไงไม่สู้ให้ฉันอยู่เคียงข้างเฟิงเหราที่นี่ดีกว่า”

“แต่ว่า……” เจียงสื้อสื้อเป็นห่วงว่าร่างกายของเธอจะทนรับไม่ไหว

“พี่สะใภ้คะ ถ้าฉันเหนื่อยแล้ว ฉันก็จะพักที่นี่ แต่พี่ พี่ยังไม่หายดีเลย ควรลุกจากเตียงให้น้อยลงนะคะ”

ทันใดนั้นเจียงสื้อสื้อก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเล็กน้อย

ทำไมเธอกลับถูกจะเกลี้ยกล่อมซะงั้นล่ะ?

“สื้อสื้อ ลูกกลับไปนอนพักที่ห้องเถอะ ที่นี่มีแม่คอยดูแลอยู่ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก” แม่จิ้นพูดกับเธออย่างอ่อนโยน

“แม่คะ ถ้างั้นก็ลำบากคุณแม่แล้วนะคะ”

เดิมทีก็ควรเป็นวันจะได้อยู่อย่างสงบแล้วแท้ๆ ปต่กลับเป็นเพราะเธอจึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก เจียงสื้อสื้อก็รู้สึกไม่สบายใจเลย

“ไม่ลำบากหรอก กลับไปพักผ่อนเถอะ”

แม่จิ้นหันไปพูดกับเฟิงเฉินว่า “พาสื้อสื้อกลับไปพักผ่อนเถอะ”

หลังจากที่จิ้นเฟิงเฉินและเจียงสื้อสื้อออกไป แม่จิ้นก็สั่งให้ส้งหวั่นชีงไปนอนพักผ่อน

“แม่คะ หนูอยากอยู่เป็นเพื่อนเฟิงเหรา” ส้งหวั่นชีงยังคงยืนกราน

แม่จิ้นตีหน้าขรึม แสร้งทำเป็นไม่พอใจและพูดว่า “คิดถึงเด็กในท้องลูกด้วยนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา แล้วเฟิงเหราเกิดฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวจะเอาแต่ตำหนิตัวเองอีก หรือว่าเธออยากเห็นเขาตำหนิตัวเองใช่ไหม?”

“ไม่ค่ะ” ส้งหวั่นชีงก้มหน้าลง

“มันก็ใช่แล้วไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงของแม่จิ้นอ่อนโยนลง “รีบไปพักผ่อนเถอะ ที่นี่มีแม่กับพ่อก็อยู่ จะไม่มีปัญหาอะไรหรอก”

ด้วยการยืนกรานของแม่จิ้น ยืนกรานจึงไปนอนพักผ่อนลงบนเตียงข้างๆ อย่างเชื่อฟัง

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!

Status: Ongoing

เมื่อห้าปีก่อน เพื่อช่วยแม่ของเธอ เธอบังคับตัวเองทําเรื่องเสื่อมทราม และกําเนิด ลูกให้คนอื่น หลังคลอดลูกแล้ว ก็ไม่เคยเห็นลูกอีก ห้าปีต่อมา ซาลาเปาตัวน้อย กลับมาหาเขา และพัวพันอยู่กับเจียงสือสือ อยากจะจูบ อยากจะกอดและนอน ด้วยกัน เจียงซื้อซื้อก็เต็มใจและมีการตอบสนองด้วย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท