“คุณครูคนนั้นถูกนำตัวส่งไปที่สถานีตำรวจแล้ว”
จิ้นเฟิงเฉินกำลังกอดเธออยู่ก่อนจะกระซิบข้างหูของเธอเบาๆ “ไม่ต้องกังวลไปฉันจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว”
“ฉันเชื่อว่าคุณสามารถจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยได้อย่างแน่นอน แต่ฉันก็ยังโมโหมากๆ ” เจียงสื้อสื้อพอคิดถึงว่าเสี่ยวเป่าต้องพบเจอกับอะไรมาบ้างในใจก็รู้สึกเหมือนมีก้อนสำลีเกาะกุมอยู่
รู้สึกแย่จริงๆ
เธอยังอยากที่จะพุ่งเข้าไปหาครูคนนั้น แล้วตะโกนถามเขาว่าทำไมต้องทำแบบนี้กับเด็กคนหนึ่งด้วย
“ไม่ต้องโมโหแล้ว หลังจากนี้ไปเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก” จิ้นเฟิงเฉินรับรองกับเธอ
“มันจะไม่สามารถเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน” เจียงสื้อสื้อสงบความรู้สึกในใจลงได้แล้วก็พูดว่า “หลังจากนี้ ถ้าหากจะหา คุณครูให้เสี่ยวเป่า หรือเถียนเถียน จะต้องตรวจสอบ อีกฝ่ายให้แน่ชัดก่อนว่าการปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นของอีกฝ่ายเป็นยังไง”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้ม “ฉันรู้แล้ว”
เจียงสื้อสื้อไว้ใจเขา ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “เสี่ยวเป่านี่จะรู้ความมากเกินไปแล้ว เจอเรื่องแบบนี้แล้วยังไม่ยอมบอกพวกเราอีก ต้องมาทนรับเรื่องนี้คนเดียวเงียบๆ มัน….” พูดถึงตรงนี้ ตาของเธอก็เริ่มเดินขึ้น
“เฟิงเฉิน ฉันละเลยเสี่ยวเป่ามากเกินไปหรือเปล่า?”
เฟิงเฉินหัวเราะออกมาเบาๆ “ไม่หรอกเสี่ยวเป่าเองก็รู้ความตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว แล้วยังเป็นเด็กที่เข้มแข็งและแน่วแน่ เขาจะทำแบบนี้ฉันเองก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่”
เจียงสื้อสื้อหลับตาลง ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มเบาๆ อย่างช่วยไม่ได้ “ไม่รู้จริงๆ นะเนี่ยว่าแท้จริงแล้ว การเป็นคนที่รู้ความนั้นเป็นเรื่องไม่ดี” เธอยอมให้เขาร้องไห้กลับบ้านมา แล้วมาร้องไห้โวยวายกับผู้ใหญ่แล้วฟ้องว่ามีคนรังแกเขา จะดีซะกว่าอีก
“พอแล้ว อย่าคิดมาก พักผ่อนเร็วขึ้นสักหน่อย พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีก” จิ้นเฟิงเฉินปล่อยเธออย่างนิ่มนวล
เจียงสื้อสื้อส่งเสียง “อืม” ออกมาเบาๆ หลังจากนั้นก็เอนตัวลงนอน
“พักผ่อนเร็วขึ้นสักหน่อย” จิ้นเฟิงเฉิน เอนตัวลงจูบบนหน้าผากของเธอ
“แล้วคุณล่ะ” เจียงสื้อสื้อมองเขา
“ผมยังเหลืองานอยู่อีกนิดหน่อย จัดการเสร็จแล้วค่อยมานอน”
“อย่าหักโหมมากเกินไปนะ”
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า “ราตรีสวัสดิ์”
เขาปิดไฟในห้องเหลือไว้เพียงโคมไฟหัวเตียงที่เปิดอยู่ เจียงสื้อสื้อมองดูเขาออกจากห้องไป แล้วค่อยหลับตาลง อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป จึงหลับไปอย่างรวดเร็ว
จิ้นเฟิงเฉินเพิ่งเข้ามาถึงในห้องหนังสือครู่เดียว จิ้นเฟิงเหราก็เข้ามา
“พี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเสี่ยวเป่า?” จิ้นเฟิงเหราถามออกมาด้วยความกังวล
จิ้นเฟิงเฉินเหลือบตาขึ้นไปมองเขา แล้วตอบกลับไปว่า “ไม่มีอะไร”
จิ้นเฟิงเหรา จ้องเขาอยู่แป๊บหนึ่ง “พี่ พี่คิดจริงๆ เหรอว่าผมจะเชื่อว่าไม่มีอะไร?”
ทันทีที่เขารู้เรื่อง เขาก็รีบร้อนออกจากบริษัทมา ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ หรือว่าเขากังวลมากเกินไป?
จิ้นเฟิงเฉินไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “คุณครูสอนไวโอลินของเสี่ยวเป่ามีปัญหาทางจิต ก็เลยลงไม้ลงมือทำร้ายเสี่ยวเป่า”
“ไอ้เวรนั่น!” จิ้นเฟิงเหราสบถออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นบาดแผลที่อยู่บนตัวของเสี่ยวเป่าก็เป็นฝีมือของมันหมดเลยใช่ไหม?”
“อืม เขาไม่เพียงแต่ทุบตีเสี่ยวเป่า แต่ยังตั้งใจพูดดูถูกเหยียดหยามเสี่ยวเป่าด้วย”
นั่นยิ่งทำให้จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้งถ้าไม่ใช่ว่าเขารู้เรื่องนี้ได้ทันเวลา เรื่องแบบนี้ก็คงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แล้วจิตใจของเสี่ยวเป่าเองก็คงจะต้องมีปัญหาและเปลี่ยนเป็นยิ่งอยู่ยิ่งใช้ความรุนแรงมากขึ้นอย่างแน่นอน
“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน?” จิ้นเฟิงเหราถาม
“ตอนนี้ส่งไปที่สถานีตำรวจแล้ว”
จิ้นเฟิงเหราฟังแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโกรธแล้วพูดว่า “มันยังน้อยไป! ควรจะจัดการเขาสักทีก่อนถึงจะสมควร!” สามารถพูดได้เลยว่าเสี่ยวเป่านั่นเขาเฝ้าดูการเจริญเติบโตมาโดยตลอดทั้งรักและทะนุถนอมราวกับพ่อดูแลลูกอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้กลับถูกคนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บไปทั่วทั้งตัว นอกจากเขาจะโกรธแล้วก็ยังปวดใจมากอีกด้วย
“เสี่ยวเป่าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” จิ้นเฟิงเหราถามอย่างเป็นห่วง
“แผลบนตัวล้วนเป็นแผลภายนอกไม่ได้รุนแรงอะไร แต่ว่า……”
พูดถึงตรงนี้ จิ้นเฟิงเฉินก็หยุดพูดลง
จิ้นเฟิงเหราเห็นว่าเขามีสีหน้ากังวลใจก็รีบถามขึ้นทันที “ทำไมเหรอ หรือว่ามีปัญหาอย่างอื่น”
“ฉันกังวลเกี่ยวกับสภาพจิตใจของเสี่ยวเป่า” จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้ว “เขาเลือกที่จะปิดบังพวกเรา ก็เพียงแค่ต้องการพึ่งพาความสามารถของตนเองในการเอาชนะคุณครูคนนั้นก็เท่านั้น”
จิ้นเฟิงเหรายิ้มออกมา “สมเป็นคนตระกูลจิ้นอย่างแท้จริง ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็จะไม่ยอมแพ้”
“นายคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีเหรอ” จิ้นเฟิงเฉินเหลือบตามามองเขา
“หรือว่าไม่ใช่?” จิ้นเฟิงเหราถามกลับไปอย่างงุนงง
จิ้นเฟิงเฉินถอนหายใจออกมา “แน่นอนว่าไม่ใช่ เสี่ยวเป่าอายุยังน้อยอยู่เลย จิตใจของเขายังไม่เข้มแข็งมากพอ เมื่อต้องแพ้ทุกๆ ครั้ง แล้วหลังจากนั้นยังต้องได้รับถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามอีก นานๆ เข้าจิตใจของเขาก็อาจจะมีปัญหา และอาจจะกลายเป็นคนที่ชอบใช้ความรุนแรง”
จิ้นเฟิงเหราคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีผลกระทบมากมายขนาดนี้ ได้ฟังคำพูดของเขาในตอนนี้แล้ว ก็ถลึงตามองด้วยความประหลาดใจ “ไม่น่าจะร้ายแรงขนาดนั้นหรือเปล่า”
“จิตใจของชาวเป้าไหนตอนนี้เหมือนจะมีปัญหานิดหน่อย”
“ไม่จริงนะ……” จิ้นเฟิงเหราขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้จะทำยังไงดี?”
“ฉันติดต่อมู่ป๋ายไปแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็คงโอเค” จิ้นเฟิงเหราถอนหายใจออกมา
เซิ่นมู่ป๋ายเป็นเพื่อนสนิทของจิ้นเฟิงเฉิน แล้วยังเป็นจิตแพทย์ที่มีผลงานโดดเด่น ในเรื่องของการรักษาของเขามีความน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก เสี่ยวเป่าจะต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน
“เรื่องนี้อย่าบอกให้พี่สะใภ้ของนาย หรือว่าพ่อกับแม่รู้นะ”
ในตอนที่จิ้นเฟิงเหรากำลังจะออกไปจิ้นเฟิงเฉินก็ได้ กำชับไป
จิ้นเฟิงเหรายิ้ม “พี่ พี่วางใจเถอะ ผมไม่บอกใครหรอก” จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เรื่องการพาเสี่ยวเป่า ไปส่งให้มู่ป๋ายนั้นให้เป็นหน้าที่ของนายแล้วกัน”
“ได้ ไม่มีปัญหา”
……
วันรุ่งขึ้น หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้วจิ้นเฟิงเฉิน กับเจียงสื้อสื้อก็ไปบริษัท
ส่วนจิ้นเฟิงเหราก็พาเสี่ยวเป่า ไปยังห้องทำงานของเซิ่นมู่ป๋าย
เซิ่นมู่ป๋ายออกมารอพวกเขาตั้งนานแล้ว ทันทีที่เห็นพวกเขา ก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวเป่า ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“คุณลุงเมาก่อนสวัสดีครับ” เสี่ยวเป่าตะโกนทักทายออกมาอย่างน่าเอ็นดู
“เด็กดี” เซิ่นมู่ป๋ายเอื้อมมือมาลูบหัวของเขา แล้วมองไปยังจิ้นเฟิงเหรา “ฉันไม่มีเวลามาต้อนรับนายหรอกนะ นายกลับไปก่อนเถอะ” จิ้นเฟิงเหราแสร้งทำหน้าเศร้า “เซิ่นมู่ป๋าย นายพูดเกินไปแล้ว พูดได้ยังไงฉันก็เป็นแขก นี่คือการต้อนรับแขกของนายเหรอ” เซิ่นมู่ป๋ายขมวดคิ้ว “ฉันต้องทำการรักษาเสี่ยวเป่า ไม่สามารถให้มีคนอยู่ด้วยได้ ดังนั้น……”
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ฉันรอตรงนี้แป๊บหนึ่ง แล้วเดี๋ยวค่อยไป” จิ้นเฟิงเหราพูดออกมาอย่างโกรธเคือง
หลังจากนั้น เขาก็ก้มหัวลงไปมองเสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่า แด๊ดดี้ของหนูมอบหมายหน้าที่นี้มาแล้ว ตอนที่หนูเข้ารับการรักษากับลุงเซิ่นจะต้องเป็นเด็กดีนะ รู้ไหม?”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “รู้แล้วครับ”
จิ้นเฟิงเหรายิ้ม แล้วบีบแก้มเสี่ยวเป่าไปมา “อาหวังว่าเสี่ยวเป่าจะกลับมามีสุขภาพแข็งแรงเหมือนเดิมไวๆ นะ”
“นายวางใจเถอะ การรักษาบำบัดกับฉัน เสี่ยวเป่าจะต้องกลับมาสุขภาพแข็งแรงดังเดิมได้อย่างรวดเร็ว” เซิ่นมู่ป๋ายว่าพลางยักไหล่
“รบกวนนายแล้ว” จิ้นเฟิงเหรา หันหน้าไปยิ้มให้กับเขา
“เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น ไม่ต้องเกรงใจ”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันไปแล้วนะ” จิ้นเฟิงเหราหันไปโบกมือให้กับพวกเขาก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
“เสี่ยวเป่าพวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ” เซิ่นมู่ป๋ายยื่นมือไปหาเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือออกไปจับมือของเขา ก่อนจะโดนเขาจูงเข้าไปด้านใน
เซิ่นมู่ป๋ายพาเขาเดินเข้ามาในห้องห้องหนึ่ง
“นั่งสิ” เซิ่นมู่ป๋ายบอกให้เสี่ยวเป่านั่งลงบนโซฟา
หลังจากนั้นก็หยิบเอกสารออกมาฉบับหนึ่ง แล้วนั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามของเสี่ยวเป่า โดยในการรักษาใบหน้าอันหล่อเหลาก็ปกคลุมไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะผ่อนคลาย อาการตึงเครียดของตนเอง
“แด๊ดดี้ของหนูบอกลุงหมดแล้ว” เซิ่นมู่ป๋ายเอ่ยปากบอก
มือทั้งสองข้างของเสี่ยวเป่ากำเข้าหากัน ดูแล้วมีความกังวลนิดหน่อย
เห็นแบบนี้แล้ว เซิ่นมู่ป๋ายก็พูดปลอบไปว่า “ไม่ต้องกังวล ก็สมมติเอาว่าลุงเป็นเพื่อนของนายคนหนึ่งแล้วกัน นายมีอะไรก็สามารถบอกลุงได้ทั้งหมดเลย”
เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นมองเขา แววตาแสดงออกถึงความลังเลเล็กน้อย
“ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ลุงคือเพื่อนของนาย เป็นเพื่อนที่รู้ใจ” ประโยคนี้ของเซิ่นมู่ป๋ายทำให้ความกังวลในใจของเสี่ยวเป่าค่อยๆ ลดลง