บทที่ 193 ตระกูลจางยอมแพ้
เล่ยหยานจุนพาลูกสาวออกไปจากที่นั่นได้เพียงไม่กี่นาที จางดาวจงก็เดินเข้ามา
เขาไม่ได้มาเพียงคนเดียว
เขารู้ตัวดีว่าตนเองไม่มีความสามารถในการเจรจา ดังนั้นจึงได้พาผู้ช่วยมาด้วย
ในตอนนี้อาจจะมีผู้คนกล่าวว่าตระกูลจางนั้นขี้แพ้หรือขี้ขลาด แต่จะให้เขาทำยังไง?
แต่บัดนี้พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาไม่ควรที่จะต่อสู้กับลู่เฉินต่อไปอีก
พวกเขารู้ว่าลู่เฉินมีเพียงแค่ร้านค้าเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ถูกจางดาวเรนทำลายอย่างไม่มีชิ้นดี
แต่ตระกูลจางนอกจากทะเลสาบปี้หยางและห้างแล้ว พวกเขายังมีกิจการอีกมากมาย จะรอให้ลู่เฉินมาจัดการทีละอย่างจนหมดสิ้นคงเป็นไปไม่ได้
ที่จริง ณ คืนที่ตงฟางหลงพ่ายแพ้แก่เขานั้น ตระกูลจางก็ยอมจำนนแล้วว่าหมดความสามารถที่จะต่อสู้กับลู่เฉินต่อไป
หากต่อสู้กันด้วยความถูกต้องตามกฎหมาย ลู่เฉินก็มีเซ่ซูเจี๋ยเป็นเกราะกำบังอยู่เบื้องหลัง
หากต่อสู้กันด้วยอิทธิพลอำนาจ ลู่เฉินและซากุระคลับก็เป็นพวกเดียวกัน พูดได้ว่าซากุระคลับได้รับการฝึกฝนจากลู่เฉินมา แล้วพวกเขาจะเอาอะไรไปสู้กับซากุระคลับได้?
สู้กันตัวต่อตัวอย่างนั้นหรือ?
แม้แต่ตงฟางหลง ปรมาจารย์นักบวชเต๋าผู้โด่งดังก็พ่ายแพ้ให้แก่เขา ตระกูลจางจะมีคนไหนกล้าลุกขึ้นมาสู้กับลู่เฉินอีก!
นอกจากวิธีสุดท้ายนั่นก็คือ”ลอบฆ่า”
นี่คือวิธีเดียวในตอนนี้ที่พวกเขาคิดได้และเป็นวิธีสุดท้าย
แต่แม้กระทั่งตงฟางหลงยังไม่สามารถจัดการกับเขาได้ จะมีนักฆ่าคนไหนจัดการเขาได้กัน?
ดังนั้นหากตราบใดที่ยังไม่สามารถหามือปราบมาจัดการกับลู่เฉินได้ ตระกูลจางของพวกเขาก็ทำได้แค่เพียงยอมแพ้
ขั้นตอนการเจรจาดำเนินไปอย่างราบรื่น เนื่องจากผู้นำตระกูลจางออกมาดำเนินการด้วยตนเอง ดังนั้นพวกเขาจึงตอบรับข้อเสนอของลู่เฉินอย่างไม่มีติดขัด
ส่วนเรื่องห้างกับทะเลสาบปี้หยางนั้นพวกเขาไม่แม้แต่จะพูดออกมาสักคำเดียว
จุดประสงค์ของพวกเขาก็คือต้องการให้ลู่เฉินถอนตัวออกไปจากตรงนี้ และอย่ามาตามรังควานตระกูลจางอีก
นั้นสิ่งก่อสร้างทุกอย่างบนเกาะสีเขียวที่พวกเขาได้เตรียมการไว้ก็ได้มอบให้แก่ลู่เฉินโดยไม่นำออกไปแม้แต่ชิ้นเดียว
แต่ที่จริงลู่เฉินต้องการเพียงแค่พื้นที่ของพวกเขาเท่านั้น เรื่องของสิ่งก่อสร้าง ลู่เฉินจะต้องรื้อและสร้างใหม่ทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจ
แต่ก็ไม่อยากจะเสียเวลาไปกับการถกเถียงกับตระกูลจางอีกแล้ว
หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากเห็นภาพเหล่านี้เกิดขึ้นด้วยซ้ำ
เดิมทีที่เขาก่อตั้งเทคโนโลยีอี้ฉีขึ้นมา เขาต้องการจะร่วมมือกับสี่ตระกูลใหญ่
เนื่องจากทั้งสี่ตระกูลนั้นมีพลังมากพอที่จะรวบรวมยวี่โจวเป็นปึกแผ่นเดียวกัน
แต่ใครจะไปรู้ว่าตระกูลจางจะสร้างความเดือดร้อนให้เขาไม่หยุดไม่หย่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจางเซิงเฉียวที่ร่วมมือกับท่านหลิวและท่านจั่วมาขัดขวางเขา นอกจากตระกูลเฉินแล้วอีกสามตระกูลใหญ่แทบจะไม่มีโอกาสที่จะร่วมมือกับเขาอีกต่อไป
หลังการเจรจาจบสิ้น จางดาวจงจับมือกับลู่เฉินและจากไปพร้อมกับผู้ช่วยการเจรจาของเขาที่พามาด้วย
ลู่เฉินและตู้เฟยก็พากันขึ้นไปยังเกาะสีเขียวอีกครั้ง
เมื่อได้เกาะสีเขียวมาไว้ในมือลู่เฉิน เขาต้องการจะก่อสร้างปรับปรุงขึ้นมาใหม่
ส่วนเรื่องจะปรับปรุงอย่างไรนั้นคงต้องปล่อยให้ผู้ชำนาญการมาเป็นคนรับผิดชอบ
ดังนั้นลู่เฉินจึงไม่อยู่รบกวนพวกเขา แต่กลับเดินชมบรรยากาศไปรอบๆ
เกาะสีเขียวแห่งนี้ใหญ่มาก การตกแต่งก็หรูหราดูดี โดยรวมแล้วการสร้างตึกต่างๆตระกูลจางน่าจะใช้งบประมาณไปกว่า 100 ล้าน
แต่บัดนี้ได้กลายเป็นของลู่เฉินเรียบร้อยแล้ว
หลังจากรับประทานอาหารค่ำกับผู้ชำนาญการ ลู่เฉินก็เดินทางกลับ
เรื่องเกาะสีเขียวนี้เขาตั้งใจมอบให้ตู้เฟยเป็นคนจัดการ เนื่องจากเขาได้ออกเงินแล้วตู้เฟยและคนอื่นๆก็เพียงแค่บริหารให้ดีเท่านั้น
เช้าวันต่อมา
ณ บ้านตระกูลหลิน
“อี้จุน! บ้าไปแล้วหรือไง?เรียกลู่เฉินไปด้วยทำไม พวกเธอจะหย่ากันแล้วไม่ใช่เหรอ?” เมื่อวังเสวี่ยได้ยินว่าหลินอี้จุนจะพาลู่เฉินไปด้วยก็ขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น
สองวันมานี้เธอยุยงลูกสาวให้หย่ากับลู่เฉินได้สำเร็จ แม้ว่าทั้งสองคนนั้นจะยังไม่ได้ไปจัดการเซ็นใบอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่หลินอี้จุนก็ไม่ได้กลับบ้าน สิ่งนี้บ่งบอกชัดเจนว่าพวกเขาตัดสินใจแล้ว
เธอเองได้หาคู่ครองคนใหม่ให้กับลูกสาวและจะไปกินข้าวด้วยกันที่ฉีเจียงในวันนี้
“หนูยังไม่ได้หย่ากับเขาสักหน่อย ทำไมเขาจะไปไม่ได้?” หลินอี้จุนพูด
เธอรู้เรื่องที่แม่ของเธอจัดการหาผู้ชายคนอื่นมาให้เธอ อีกทั้งยังพาเธอไปที่บ้านของคุณยายด้วย ดังนั้นเธอจึงได้เรียกลู่เฉินไปด้วยกัน
แม้เธอจะทำสงครามเย็นกับลู่เฉินอยู่ แต่เธอก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะหย่าขาดกับลู่เฉิน พูดได้ว่าเธอยังไม่ได้เตรียมใจเลยด้วยซ้ำ
ที่จริงแล้วเธอเองยังตัดใจไม่ได้และอยากใช้โอกาสนี้ให้ลู่เฉินอธิบายทุกอย่างให้เธอฟัง
“อี้จุน ทำไมตาไม่สว่างสักทีนะ! เขามีตังค์เคยแบ่งให้แกใช้ไหม? เอาเงินออกไปเที่ยวเล่นกินดื่มคนเดียวข้างนอก ก็ไม่ยอมซื้อเสื้อผ้าสวยๆให้แกใส่ ผู้ชายแบบนี้อยู่ด้วยกันไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ายังไม่หย่าแล้วจะเก็บเอาไว้ทำไม!?”
“เถ้าแก่ติงที่แม่จะแนะนำให้นั้น เป็นเถ้าแก่ใหญ่อย่างแท้จริง ธุรกิจของเขามีมากกว่าสองสามร้อยล้าน ภรรยาเก่าของเขาจากไปด้วยโรคมะเร็งได้ยินมาว่าเขารักษาภรรยาไปกว่าสี่ห้าสิบล้าน ถ้าวันไหนแกเกิดป่วยขึ้นมาอย่าว่าแต่สี่ห้าสิบล้านเลย แค่ สี่พันลู่เฉินมันก็ยังไม่ยอมจ่ายให้หรอก!” วังเสวี่ยพยายามล้างสมองหลินอี้จุน
เพียงแต่คำพูดเหล่านี้ไม่ได้มีผลต่อความคิดของหลินอี้จุนเลย
ถ้าจะเทียบเรื่องเงินแล้ว ในยวี่โจวเธอไม่รู้ว่าใครจะมีเงินเท่าลู่เฉินอีก
พูดเรื่องให้เงินใช้ ลู่เฉินรวมกันแล้วก็ให้เธอมามากกว่าร้อยล้าน
ที่เธอทำสงครามเย็นกับลู่เฉิน
หนึ่งนั้นเมื่อรู้ว่าลู่เฉินหลอกเธอ ทำให้เธอโมโห
สองนั้นลู่เฉินไม่อธิบายให้เธอฟังเกี่ยวกับเรื่องที่สถานบันเทิง
และบวกกับช่วงที่ทำสงครามเย็นนี้ ลู่เฉินไม่โทรหาเธอสักเท่าไหร่ ทำให้เธอรู้สึกว่าลู่เฉินเริ่มกลายเป็นคนแปลกหน้า
นี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอเริ่มสั่นคลอน
“เรื่องของลูกก็ให้เขาจัดการเองสิ คุณจะไปยุ่งด้วยทำไม?” หลินดาไห่ขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างรำคาญใจ
เขาแทบจะทนกับภรรยาคนนี้ไม่ไหวแล้ว
ล้างผลาญเงินในบ้านจนหมดสิ้นก็ยังไม่พอ และยังไปกู้เงินนอกระบบมาอีกด้วย ถ้าไม่นึกว่าอายุปูนนี้แล้วเขาอยากจะเลิกอยากกับเธอจริงๆ
“ฉันยุ่งอะไรด้วยอย่างนั้นเหรอ? ถ้าไม่อยากให้ฉันเข้าไปยุ่ง คุณก็บอกลู่เฉินให้เงินพวกเราใช้สิ!” วังเสวี่ยพูดออกมา
หลินอี้จุนแทบจะหัวเราะทั้งน้ำตา แท้จริงแล้วที่แม่ของเธอให้เธอหย่ากับลู่เฉินก็เพราะเขาไม่ให้เงินใช้หรือเนี่ย!?
เธอรู้เรื่องที่วังเสวี่ยไปกู้เงินนอกระบบมา ดังนั้นเธอจึงไม่ให้เงินแม่ของเธอใช้ เธอมีเงินอยู่ในมือมากกว่าร้อยล้าน ให้แม่ใช้ซักไม่กี่ล้านเธอก็ไม่รู้สึกเสียดาย
“ลู่เฉินหาเงินให้พวกเราเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว?ก็เพราะคุณนั่นแหละที่เอาไปเล่นจนหมด ถ้าไม่ใช่เพราะคุณบ้านเราจะกลายเป็นอย่างนี้ได้เหรอ?” หลินดาไห่ตะคอกออกมา
“เหอะๆ! ฉันไม่รู้ล่ะ ลู่เฉินมันมีตังค์แต่ไม่ให้ฉันใช้ ฉันก็ไม่รับเป็นลูกเขยหรอก!” วังเสวี่ยพูดออกมา
ขณะเดียวกันนั้นประตูก็ถูกเคาะขึ้น วังเสวี่ยรีบเปลี่ยนรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วเดินไปเปิดประตู