บทที่ 195 ติงหัว
“อี้จุน ผู้นี้คือท่านประธานติง รีบลุกขึ้นมารินน้ำชาให้ท่านประธานเร็วเข้า” วังเสวี่ยเชิญชายวัยกลางคนเข้ามายังห้องรับแขก
ชายวัยกลางคนนั้นชื่อว่าติงหัว เขาเป็นเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ในช่วง2ปีที่ผ่านมาเขาไต่เต้าคนชั้นสูงคนหนึ่ง ได้ทำโครงการหลายโครงการและทำเงินได้มากมาย เขายังเป็นที่รู้จักในยวี่โจวด้วย
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่หิวเท่าไหร่” ติงหัวมองไปยังหลินอี้จุนด้วยสายตาเป็นประกาย ก่อนหน้านี้ที่วังเสวี่ยเอารูปหลินอี้จุนให้เขาดู เขาก็รู้สึกว่าหลินอี้จุนงดงามราวนางฟ้า
คิดไม่ถึงว่าหลินอี้จุนแต่งงานมีลูกแล้วยังสวยได้ขนาดนี้ ผิวพรรณเหมือนอายุสิบแปด ขาวผ่องชุ่มชื่น
หลินอี้จุนมองไปยังติงหัว เธอแทบจะไม่อยากทักทาย
อย่าว่าแต่ติงหัวที่อายุมากขนาดนี้ ต่อให้เขาอายุยังน้อยและเธอยังไม่ได้แต่งงานกับลู่เฉิน เธอก็ไม่เห็นเขาในสายตา
“อี้จุน เป็นอะไรเนี่ย ไม่รู้จักมารยาทเอาเสียเลย?” วังเสวี่ยพูดอย่างไม่พอใจ
“ท่านประธานติงคะ ขอโทษด้วยจริงๆ ลูกสาวฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับคนแปลกหน้า พวกคุณลองคุยกันไปก่อนนะคะ” วังเสวี่ยพูดแล้วหันไปยิ้มกับติงหัว
ขณะเดียวกันที่วังเสวี่ยพูดกับติงหัว ก็หันไปเหล่มองลู่เฉินด้วยสายตาดูถูก เธอกำลังดูว่าเมื่อไหร่ลู่เฉินจะเดินออกไปสักที
เมื่อพบว่าวังเสวี่ยไม่เห็นตนในสายตา ลู่เฉินก็โมโหมาก ถ้าไม่เห็นแก่หลินอี้จุน เขาคงจะระเบิดไปแล้ว
“ประธานติงสินะครับ ได้ยินว่าคุณคิดอะไรกับภรรยาผม?” ลู่เฉินพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“คุณคือ?” ติงหัวมองไปทางลู่เฉินแล้วถามด้วยความสงสัย
“ผมเป็นใครไม่สำคัญ รู้แค่ว่าหลินอี้จุนเป็นภรรยาผมก็พอ” ลู่เฉินตอบกลับไป
“อ้อ” ติงหัวตอบรับ และส่งสายตาเหยียดหยามมายังลู่เฉิน
ลู่เฉินเป็นสามีของหลินอี้จุน แต่วังเสวี่ยยังแนะนำหลินอี้จุนให้เขา ต่อให้โง่ขนาดไหนก็รู้ว่าลู่เฉินคงเป็นพวกไร้ประโยชน์ ที่แม้แต่ภรรยาและแม่ยายยังไม่เอา
ผู้ชายแบบนี้ มีสิทธิ์อะไรเป็นสามีของหลินอี้จุนกัน?
“ประธานติงคะ ไม่ต้องไปสนใจเขา ลูกสาวฉันกำลังจะหย่ากับเขาแล้ว” วังเสวี่ยพูด
“แม่คะ ถ้าพูดอะไรแบบนี้อีกหนูจะกลับแล้วนะคะ หนูบอกเมื่อไหร่ว่าจะหย่ากับลู่เฉินคะ?”หลินอี้จุนถามด้วยความโมโห
ต่อให้เธอหย่ากับลู่เฉินจริงๆ เธอก็ไม่คิดจะแต่งงานกับติงหัวเด็ดขาด
อีกทั้งตอนนี้ลู่เฉินนั่งอยู่ข้างๆเธอ แม่ของเธอยังพูดออกมาแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าแม่ของเธอไม่เห็นเขาในสายตา
วังเสวี่ยไม่รู้ว่าลู่เฉินเป็นใคร แต่ว่าเธอรู้ดี
เจ้าของเทคโนโลยีอี้ฉี ที่ตระกูลจางหาเรื่องเขาจึงถูกเขาเผาห้างและระเบิดทะเลสาบปี้หยาง
แค่นี้ก็รู้ว่าลู่เฉินเด็ดขาดขนาดไหน แม่ของเขากลับดูถูกเขาแบบนี้ เธอไม่อยากจะคิดว่าถ้าลู่เฉินระเบิดออกมาจะเกิดอะไรขึ้น
“แม่คะ แม่จะพูดดีๆไม่ได้หรือไงคะ? พี่เขยยังนั่งอยู่ที่นี่อยู่เลย แม่แนะนำผู้ชายคนอื่นให้พี่ แม่เห็นพี่เขยเป็นอะไรคะ?” หลินอี้เจียเห็นแววตาดุเดือดของลู่เฉินจึงพูดขึ้น
จากเรื่องเมื่อวาน เธอเองก็ได้รับรู้ว่าตระกูลจางแทบจะถูกเขาทำลายจนสิ้น
ไม่ว่าเธอจะยอมรับมันหรือไม่ แต่ลึกๆในใจแล้วเธอก็รู้สึกชื่นชมลู่เฉินมาก
เธอบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไร
แต่เธอไม่กล้าดูถูกลู่เฉินเหมือนแต่ก่อนแล้ว
“พี่เขยเหรอ? เขามีคุณสมบัติอะไรพอที่แกจะเรียกเขาว่าพี่เขยกัน? เปรียบเทียบกับประธานติงแล้วห่างไกลราวฟ้ากับดิน” วังเสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“คุณป้าครับ ผมก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอกครับ ชมกันเกินไปแล้ว ทุกคนมีช่วงเวลาชีวิตแตกต่างกัน น้องลู่อาจจะยังไม่ถึงช่วงนั้นก็ได้ อ้อ น้องลู่หางานได้หรือยังล่ะ ? ผมมีตำแหน่งว่างอยู่นะ พอดีที่บริษัทขาดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ ผมมองดูหน่วยก้านคุณก็ดี เหมาะสมกับการเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมากๆเลยครับ” ติงหัวพูดเยาะเย้ยลู่เฉิน
เมื่อหลินอี้จุนได้ยินติงหัวดูถูกลู่เฉินเช่นนั้นก็รู้สึกสมเพช เขาจะให้เจ้าของเทคโนโลยีอี้ฉีไปเป็นยามงั้นเหรอ? คาดว่าพระราชวังWhite Houseก็ยังไม่มีสิทธิ์นั้นหรอก
“แหม ท่านประธานติงเนี่ย ตาถึงจริงๆนะคะ เมื่อก่อนเขาก็เป็นยามมาก่อน” วังเสวี่ยพูดด้วยความตกตะลึง
“อ้าว จริงหรือครับ น้องลู่เป็นยามจริงๆเหรอเนี่ย? น้องลู่ ผมพูดตามตรงนะ ถ้าคุณมาทำงานที่บริทผม ผมสามารถให้เงินเดือนคุณสองเท่าเลย” ติงหัวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“จริงเหรอครับ ขอทราบชื่อบริทคุณหน่อยได้ไหม?” ลู่เฉินถามอย่างเจ้าเล่ห์
“บริษัทผมชื่อเจียหลิงอสังหาริมทรัพย์ ถ้าคุณตกลง พรุ่งนี้ก็เริ่มงานได้เลย” ลู่เฉินหัวเราะ
“เจียหลิงอสังหาริมทรัพย์ใช่ไหม? โอเค ดีมาก” ลู่เฉินหัวเราะออกมาด้วยแววตาเป็นประกาย
จากนั้นเขาก็หยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์โทรออก “อีกสิบนาที ผมต้องการให้ เจียหลิงอสังหาริมทรัพย์ล้มละลาย อ้อเดี๋ยว รบกวนตรวจสอบให้หน่อยว่าเจ้าของกิจการชื่อว่าติงหัวหรือเปล่า”
ลู่เฉินพูดจบก็วางสายลง เมื่อได้ยินคำพูดของลู่เฉิน วังเสวี่ยและติงหัวก็อดที่จะขำไม่ได้ มีเพียงหลินอี้จุนที่อดตารอดูด้วยความสนุก ในใจเธอลึกๆก็สงสารติงหัว
บริษัทของติงหัวมีคุณค่าทางหลักทรัพย์เพียงสองสามร้อยล้าน สำหรับลู่เฉินแล้วเป็นเพียงแค่มดตัวเล็กๆ ลู่เฉินอยากจะเหยียบให้จมดินก็ทำได้ง่ายๆ
“ลู่เฉินหนอลู่เฉิน แกคิดว่าแกเป็นใครกัน อีกสิบนาทีให้บริทของประธานติงล้มละลาย ฮ่าๆๆๆ อย่าทำให้ขายหน้าไปกว่านี้ได้ไหม?” วังเสวี่ยก็อดไม่ได้จึงหัวเราะออกมา
“เหอะๆ”ติงหัวขำออกมาและมองไปยังลู่เฉิน “เจ้าหนู ฝันกลางวันอยู่เหรอ? ให้บริษัทผมล้มละลายในสิบนาที แกเนี่ยนะ? คิดว่าตัวเองเป็นยาม มีความสามารถด้านการต่อสู้ก็จะสามารถให้พรรคพวกไปทุบทำลายบริษัทผมได้งั้นเหรอ?”
“หึๆ งั้นรอดูอีกสิบนาทีก็แล้วกัน” ลู่เฉินพูดเบาๆ
“เหอะๆ อย่าทำเป็นขี้เก๊กไปหน่อยเลย!” ติงหัวหัวเราะเยาะ แม้เขาจะรู้ว่าลู่เฉินไม่มีความสามารถให้บริษัทเขาล้มละลายได้ แต่ท่าทางของลู่เฉินทำให้เขารู้สึกรำคาญใจ
เขาเป็นถึงเจ้าของ เจียหลิงอสังหาริมทรัพย์ เป็นที่รู้จักของเมืองยวี่โจว ลู่เฉินเป็นแค่ยามธรรมดาๆ มีสิทธิ์อะไรทำกร่างต่อหน้าเขา!
“เจ้าหนู ฉันไม่รู้หรอกนะว่าแกเอาความกล้าที่ไหนมาทำท่าทางแบบนี้ต่อหน้าฉัน แต่ฉันจะให้โอกาสแกครั้งหนึ่ง จะคุกเข่าขอโทษฉัน หรือว่าให้ฉันจัดการแก เลือกดูเอานะ!”
ติงหัวหัวเราะเหอะๆ แล้วพูดต่อว่า “ฉันให้เวลาแกสิบนาทีเหมือนกัน”
เขาพูดจบก็หยิบบุหรี่ออกมาจุด
บัดนี้ท่าทีของเขาไม่เหมือนกับแขกที่มาเยือน แต่คล้ายเป็นเจ้าของบ้านเสียเองมากกว่า
ลู่เฉินได้แต่ยิ้มและหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดดูดเหมือนกัน และนั่งรอเวลาที่โซฟา
เมื่อเห็นว่าลู่เฉินสูบบุหรี่ธรรมดา สิ่งที่ติงหัวกังวลก็หายไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งสองสูบบุหรี่มวนที่สองเสร็จ ก็เป็นเวลาสิบนาทีพอดี
“เจ้าหนู ตอนนี้แกเลือกที่จะคุกเข่าขอโทษฉันหรือยัง หรือจะให้ฉันเรียกคนมาจัดการแก?” ติงหัวหยิบมือถือขึ้นมา
ทันใดนั้นเอง มือถือของเขาก็ดังขึ้น เมื่อเขารับสายก็สะดุ้งพุ่งพรวดขึ้นมาจากโซฟา สีหน้าคร่ำเครียดจ้องไปทางลู่เฉิน