บทที่52 คืนให้ฉัน
เธอไร้เรี่ยวแรงในการรับมือ ทุกสัมผัสของอีกฝ่ายทำให้เธออ่อนปวกเปียกไปทั้งร่าง
เพราะตอนเช้าเวลาค่อนข้างเร่งด่วน คณพศจึงรังแกเธอเพียงรอบเดียวเท่านั้น
แต่สักพักชายหนุ่มก็พาดเสื้อไว้บนไหล่ ขึ้นไปนั่งบนวีลแชร์พลางอุ้มหญิงสาวไว้แล้วเข้าไปส่งในห้องน้ำ
ส่วนตัวเองเข้ามาในห้องแต่งตัวแล้วเปลี่ยนชุด “คุณภรรยา คุณพักผ่อนเถอะ ผมไปบริษัทแล้วนะ”
ร่างทั้งร่างของนาราไม่มีเรี่ยวแรง เธอจึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบพลางมองชายหนุ่มที่บังคับวีลแชร์ออกจากห้องนอนอย่างคล่องแคล่ว
ห้องทำงานของผู้อำนวยการบริษัทตระกูลปัญญาพนต์ คณพศที่กำลังเปิดอ่านเอกสารบนเก้าอี้ดูสง่างามยิ่งนัก
“ผู้อำนวยการครับ วันนี้คุณบุรินทร์โทรมาบอกว่าคุณพิมมี่ป่วยและถามว่าเรื่องหย่าเลื่อนไปวันอื่นได้ไหมครับ” เสกข์ที่ยืนหน้าโต๊ะเอ่ยขึ้น
คณพศขมวดคิ้วกำลังจะพูด แต่เสียงโวยวายของรปภ.กับใครซักคนด้านนอกดังขึ้นขัดก่อน
เสกข์รีบเดินออกไปดูแต่ประตูกลับถูกผลักเข้ามาก่อน
วิษณุส์เดินเข้ามาด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด “คณพศ แกหมายความว่ายังไง เมื่อวานฉันนัดแกไปพบที่ปู่ชิงคลับแต่แกไม่ไป แล้ววันนี้ยังให้รปภ.กันไม่ให้ฉันเข้ามา คิดว่ารปภ.จะห้ามฉันอยู่หรือไง”
คณพศเงยหน้ามองวิษณุส์ “รองผู้อำนวยการคุณมีธุระอะไร ผมจำได้ว่าห้องทำงานคุณอยู่ชั้นล่าง อีกอย่างที่นี่คือที่ทำงานไม่ใช่ที่ที่คุณคิดจะทำอะไรก็ได้ รปภ.ทำตามหน้าที่ก็ถูกแล้ว”
วิษณุส์จ้องอีกฝ่ายเขม็ง หลายปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มองอีกฝ่ายอย่างละเอียดขนาดนี้ ชายหนุ่มตรงหน้าดูสง่ามีอำนาจและเด็ดเดี่ยว
เขาคิดมาโดยตลอดว่าอีกคนจะอยู่ใต้เท้าเขาตลอดไป ไม่นึกเลยว่าอีกคนจะกล้าขึ้นมานั่งตำแหน่งผู้อำนวยการ “แกมีสิทธิอะไรมานั่งตำแหน่งนี้ หลายปีที่ผ่านมาฉันทำงานถวายบริษัทมาตลอด แกไม่ได้ทำอะไรเลยแต่กลับได้ตำแหน่งนี้ไป แกกลับเกาะฟ้าไปซะ ทีนี่ไม่ใช่ที่ของแก!”
สายตาดุดันเหมือนประกายไฟ ราวกับต้องการแผดเผาคนตรงหน้าที่ตนเกลียด
คณพศเงยหน้าเล็กน้อย ตาคมจดจ้องไปยังวิษณุส์ “ผมจะมีสิทธิหรือไม่มีสิทธิเป็นผู้อำนวยการมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ! พี่รอง เรื่องที่พี่ฆ่าพี่น้องฆ่าคนบริสุทธิ์ ฟอกเงินของบริษัทตระกูลปัญญาพนต์ ผมสามารถส่งพี่เข้าคุกได้ง่ายๆเลยล่ะ แต่ผมไม่อยากให้คุณปู่เสียใจ และไม่อยากทำผิดต่อคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของพี่ใหญ่ ถ้าพี่เชื่อฟังซักหน่อยผมก็จะปล่อยเรื่องพวกนี้ไป แต่ถ้าพี่ก่อเรื่องอีกก็อย่าหาว่าผมไม่เห็นแก่พี่แก่น้องล่ะ!”
คณพศมองอีกฝ่ายตรงๆ แขนแกร่งวางบนพนักเก้าอี้ ใบหน้าคมที่ดูดีไร้ที่ติเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าที่ลอดผ่านจากบานหน้าต่างช่างดูเปล่งประกาย
วิษณุส์ที่ได้ยินเช่นนั้น พลันรู้สึกราวกับถูกจู่โจมด้วยระเบิด อีกฝ่ายรู้เรื่องทั้งหมดที่เขาทำ!
ร่างกายที่สั่นเทิ้มยืนขึ้น “คณพศ นี่แกตามสืบเรื่องฉัน?”
“เรื่องนี้ต้องสืบด้วยงั้นเหรอ ตอนที่คุณทำเรื่องพวกนี้ก็น่าจะรู้นี่ว่าวันหนึ่งเรื่องมันต้องแดงขึ้นมา แล้วคิดว่าฐานะทางสังคมของคุณเมื่อทำเรื่องเหล่านี้คนอื่นจะไม่รู้รึไง” คณพศยังคงมีท่าทีสงบเช่นเคย
วิษณุส์สัมผัสได้ทันทีว่าน้องชายคนนี้ไม่เหมือนไอ้โง่คนเดิมที่เขาจะรังแกได้โดยไม่ปริปากใดๆ ไม่ใช่คนเดิมที่เขาจะทำอะไรลับหลังแล้วเจ้าตัวจะไม่รู้!
แต่เขารู้สึกถึงความมีอำนาจของอีกฝ่าย ที่เขาไม่ควรไปต่อกรด้วย
เขาหมุนตัวเดินออกจากห้องผู้อำนวยการแล้วเข้าไปในลิฟท์ จากนั้นจึงเดินตรงเข้าไปในห้องรองผู้อำนวยการ “ปัง” เสียงปิดประตูดังสนั่นจนเลขาตกใจ
เขาเตะโต๊ะชงชาจนมันหักเป็นสองส่วน แล้วนั่งลงบนโซฟาอย่างโกรธจัด
เขาไม่ยอม ไม่ยอมให้ไอ้พิการนั่นมากดหัวเขาเด็ดขาด ทุกอย่างที่นี่เป็นของเขาทำไมถึงถูกไอ้พิการนั่นแย่งไปได้
หลังจากที่วิษณุส์ออกไปคณพศก็เดินไปยังหน้าต่าง เขาทอดมองไปยังดวงอาทิตย์สีแดงฉานด้านนอก ภายในใจรู้สึกราวกับมีคลื่นน้ำซัดเข้ามาซ้ำๆ
คฤหาสน์เจหงส์ นาราตื่นขึ้นมาในตอนเที่ยง เธอทานอาหารง่ายๆแล้วออกมานั่งอ่านหนังสือที่ระเบียง
ขณะนั้นเองป้าอ้ายก็เดินเข้ามา “คุณผู้หญิงคะ มีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาคุณค่ะ”
“ใครเหรอ มาหาฉัน?” เธออยู่ที่นี่คงไม่มีคนมาหาเธอแน่ หรือว่าจะเป็นผิงผิง
เธอรีบเดินลงไปข้างล่าง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพิมมี่ที่ยืนอยู่กลางห้องรับแขก
ได้ยินเสียงเดินลงบันได พิมมี่จึงหันหลังไปดูแล้วสบตากับแววตาเรียบนิ่งของนารา ทั้งสองชะงักเล็กน้อยพลางสบตากันและกัน
พิมมี่มองหญิงสาวที่เธอไม่ได้เจอหน้ามาสี่เดือนอย่างมึนงง อีกคนสวยขึ้นมาก เธอสวมชุดกระโปรงสีฟ้าคลุมด้วยเสื้อคลุมสบายๆ ปล่อยผมให้สยายไปด้านหลังอย่างง่ายๆ
อีกคนมีผิวขาวบอบบางอมชมพู ทั้งยังมีความสามารถและเฉลียวฉลาด พิมมี่รู้ว่านาราสวย แต่คิดไม่ถึงว่าพอมาที่นี่อีกคนจะสวยหยาดเยิ้มขึ้นถึงขนาดนี้
ผู้หญิงคนนี้คงจะใช้ใบหน้าสวยๆนี้ดึงดูดคณพศสินะ พิมมี่มองนาราด้วยสายตาเกลียดชัง
“พี่มาที่นี่มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ” ตรงกันข้ามกับนาราที่มีท่าทีสบายๆ พี่สาวคนนี้มาที่นี่ก็เพียงแค่ต้องการพูดจาถากถางเธอเท่านั้นแหละ เธอมองอีกคนอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ดูเหมือนเธอจะสบายดีนะ” พิมมี่มองใบหน้าสวยของอีกคน จู่ๆเธอก็รู้สึกอยากทำลายทุกอย่างของคนตรงหน้า
“โชคดีที่มีพี่ ฉันสบายดีค่ะ” เธอปรายตามองพิมมี่นิ่งๆ
“สบายดีใช่ไหมล่ะ” เธอเงียบครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “ฉันจะไม่อ้อมค้อมแล้วนะ วันนี้ฉันมาเพื่อบอกเธอว่าเธอไปได้แล้วล่ะ ฉันไม่ต้องการให้เธอมาแทนที่ฉันอีกแล้ว เธอกลับตระกูลวรชัยลภัสแล้วก็ไปเรียนให้จบ หรือไม่ก็ไปเรียนที่อเมริกา นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ”
พิมมี่จ้องอีกคนด้วยแววตาเย้ยหยันพลางคิดในใจ นาราแกได้เป็นสะใภ้ตระกูลปัญญาพนต์มาตั้งสี่เดือนก็เป็นบุญหัวของแกแค่ไหนแล้ว ถ้าแกยังหน้าด้านไปยอมไป ก็อย่ามาหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน!
แววตานาราหม่นแสง อยู่ๆก็อยากหัวเราะออกมา ส่งเธอให้ไปแต่งงานแทน พอเธอแต่งแล้วจู่ๆก็ขอให้เธอกลับไป จะบ้าหรือไง เธอสูญเสียไปตั้งหลายอย่างในการแต่งงานแทนครั้งนี้