บทที่ 142 นารา…น้ำ
ตอนนี้เขาคิดถึงภรรยาเขามาก ช่างเถอะ ไม่ว่าตอนนี้เธอจะโกรธหรือไม่ ก็ต้องรักและเอ็นดูเธอ ในร่างกายตอนนี้เหมือนมีบางส่วนที่ไม่สามารถควบคุมได้ เขาต้องการเธอ สมควรตายจริงๆ เมาแล้วก็คิดถึงเธอ
ในตอนที่ณัจยาสัมผัสเขา เขารู้สึกรังเกียจมาก เขายิ้มเฝื่อน ภรรยาของเขานี่นะ ชาตินี้ทั้งชาติคงต้องโดนเธอกินจนตาย
เด่นภูมิเดินเข้ามา ประคองเขาพร้อมหัวเราะ “พอพอพอ ไปได้แล้ว กลับเถอะ กลับไปหาเมีย ฮ่าๆ
เขายังพูดไม่ทันจบคณพศก็หลับพิงมาที่ตนเอง ก้าวเดินออกไป
เป็นอะไรไปนะ ร่างกายเหมือนจะร้อนๆ
เด่นภูมิส่ายหัว พยุงคณพศเดินออกไป เดินไปพูดไป “ถ้าแกตื่นแล้วต้องขอบคุณฉันนะ ถ้าไม่ใช้ฉันที่เป็นวีรบุรุษเข้าไปช่วยได้ทันเวลา แกคงเสร็จผู้หญิงคนเมื่อกี้ไปแล้ว แบบนั้นน้องสะใภ้คงไม่มีวันให้อภัยแกแน่”
แน่นอนว่าสิ่งที่เขาพูดเหล่านี้คณพศคงไม่ได้ยิน คณพศในตอนนี้คงต้องการอยากเจอเพียงแต่ภรรยาของเขา เหมือนว่าเขาจะต้องการเธอมาก
เมื่อพาร่างเมามายของคณพศโยนเข้าไปในรถตัวเองสำเร็จ เด่นภูมิขับรถมุ่งหน้าไปบ้านตระกูลปัญญาพนต์อย่างไม่พอใจ “ต้องดื่มเป็นเพื่อน ต้องช่วยเคลียร์ปัญหายืนยันความบริสุทธิ์ ยังต้องเป็นคนขับรถมาส่ง จะไปหาพี่น้องที่ดีแบบนี้มาจากไหนได้อีก”
พูดจบ ภายใต้แสงที่สาดส่องเขาสังเกตเห็นรอยลิปสติกที่ติดอยู่ใต้คางของคณพศ จึงช่วยเช็ดออกเบาๆ “อันนี้เอากลับบ้านด้วยไม่ได้ ไม่งั้นน้องสะใภ้คงได้สับแกเละเป็นชิ้นๆแน่ ฮ่าๆ”
แน่นอนว่าคนประมาทเลิ่นเล่ออย่างเด่นภูมิมองไม่เห็นรอยประทับอีกหนึ่งรอยบนอกของคณพศแน่นอน
เด่นภูมิขับอย่างรวดเร็วส่งคณพศไปยังคฤหาสน์เจหงส์ เมื่อจอดรถเทียบท่ามองเห็นไฟด้านในยังสว่าง จึงได้แต่ถอนหายใจ
เวลานี้แล้ว ไม่คิดว่าจะยังมีคนเปิดไฟรอคณพศกลับบ้าน
เขาประคองคณพศที่เดินโซเซลงรถ เขาพึมพำหาภรรยาอยู่ตลอด
เด่นภูมิมองไปยังชายที่เปลี่ยนไปเป็นเด็กฉับพลันนั้น แอบขำอยู่ในใจ แต่ก่อนไม่เห็นจะเรียกหาสาวตอนเมาเลย
ตอนนี้รู้แล้วว่าต้องไปหาเมีย
เขาพาคณพศไปพิงผนังไว้ เตรียมเคาะประตู
ด้านในของคฤหาสน์หรูหรา นารานั่งเหม่อลอยอยู่ริมระเบียงหน้าต่าง สายตามองออกไปนอกหน้าต่างไร้จุดหมาย ผมยาวสลวยแผ่คลอเคลียไหล่สวย ดวงตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
เธอไม่รู้ว่าเธอควรทำอย่างไรต่อไปดี
คณพศพร่ำบอกว่ารักเธอเพียงคนเดียว แต่ในความเป็นจริงกลับเหยียดหยามเธออย่างโหดหี้ยม
เธอมีค่าอะไรมากพอให้เขารัก ก็ถูก พวกเขารู้จักกันอย่างไร อยู่ด้วยกันได้อย่างไร เธอไม่เคยลืม
เธอเคยคิดว่าจะรอจนเรียนจบมีกำลังมากพอ แล้วจะไปตามหาแม่ของเธอ เธอเชื่อว่าแม่ต้องเจอกับความทุกข์ ไม่มีทางทิ้งเธอไม่สนใจแบบนี้แน่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเธอ และคณพศไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ของเธอ
ใช่สิ เขาบอกรักเพียงเธอ แล้วไปกอดกับผู้หญิงคนอื่น หึ
เขาเคยบอกว่าไม่ชอบให้ผู้หญิงเข้าใกล้ร่างกายของเขา แต่ตอนนี้กลับกอดณัจยาเต้นรำด้วยกัน
ในเมื่อเขาไม่ได้จริงจังอะไรกับเธอ แล้วเธอจะอยู่ที่นี่ไปทำไมกัน
ถึงแม้ว่าคณพศจะไม่ได้พูดออกมาเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป คงต้องมีสักวันที่เขาจะไม่ใจดีไล่เธอออกจากบ้าน
ถึงตอนนั้นเธอคงไม่ได้เป็นอะไรกับเขาทั้งนั้น คงจะเหลือเพียงแต่หัวใจที่แตกสลาย
หึหึหึ นี่เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยการดูถูกหยามเหยียดสิ้นดี
คิดมาถึงตรงนี้ เธอหัวเราะอย่างเจ็บปวด รู้สึกในใจช่างหนักหน่วงราวกับมีอะไรมากดทับ เจ็บจนอยากร้องไห้
“ก๊อกๆๆ….”
พลันได้ยินเสียงเคาะประตู ปลุกให้เธอตื่นจากความคิด
เธอรู้ว่าคงเป็นคณพศที่กลับมา แม้ว่าในใจจะคิดเรื่องคณพศกับณัจยา แต่ก็จัดเสื้อผ้าที่ยับจากการนั่งของตัวเองเดินมุ่งไปที่ประตู
เธอเปิดประตูเดินลงไป เพราะตอนกลางคืนลุงบีมและเหล่าสาวใช้ล้วนพักที่ตึกด้านหลัง ไม่ได้ยินเสียงเคาะประตู เธอจึงต้องเดินลงไปเปิด
ราวกับคนข้างนอกที่รอให้เธอเปิดประตูให้ไม่ใช่คณพศ แต่เป็นยมฑูตจากนรกที่มารอรับวัญญาณ ใจของเธอนั้นปวดร้าวเกินจะรับไหว
“ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆๆ” เด่นภูมิไม่ทันใจจึงเคาะประตูไปอีกสองครั้ง พร้อมเอ่ย “น้องสะใภ้ทำไมไม่เปิดประตู”
จริงๆแล้วนารายืนห่างจากประตูไม่ไกลนัก แต่เท้ากลับลังเลไม่ขยับ
ไม่ใช่เธอไม่อยากเปิดประตู แต่ว่า ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับคณพศตอนนี้อย่างไร
รักแรกของเขาอยู่ที่งานเลี้ยงนั่น ทำไมถึงได้รู้จักกลับบ้านมาไวนักล่ะ
เธอนึกว่าเขาคงเหมือนกับตัวเขาเองที่บอกรักเธอแบบนั้น แต่กลับพบว่า ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพียงคำหลอกลวง
ความรักและเอ็นดูนั้นได้เปลี่ยนเป็นการหยามเหยียดอย่างร้ายแรง เธอจะเผชิญหน้ากับเขายังไง
“น้องสะใภ้เปิดประตูสักที” เด่นภูมิยากที่ต้องแบกคณพศที่ตัวหนักขนาดนี้ ใช้เท้าเตะประตู “เขาเมาแล้ว รีบออกมาช่วยที” เด่นภูมิที่แบกคณพศใกล้จะล้มเต็มที
เมาหรอ?
นารารู้สึกว่าก้อนหินที่กดทับอยู่ในใจของเธอพลันหายไป เขาเมาหรอ?
เขาเมาแล้วก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขาฟังคำโกหกคำแก้ตัวของเขาเร็วขนาดนั้นแล้วสิ ดีจริง
เธอรีบสาวเท้าเข้าหาประตู ค่อยๆเปิดประตู มองเห็นเด่นภูมิหน้าดำหน้าแดงแบกคณพศที่กำลังเมาไม่รู้เรื่อง
คณพศหลับใหล หน้าแดงเล็กน้อย ปากพร่ำพึมพำ
“น้องสะใภ้ คณพศเมาแล้ว รีบมาช่วยเร็ว ไอ้เด็กนี่หนักเป็นบ้า” เด่นภูมิกวักมือเรียกนารา
นารารีบวิ่งเข้าหายื่นมือไปพยุงคณพศ ช่วยเด่นภูมิแบกเขาเข้าไปในห้อง
ในที่สุดทั้งสองก็สามารถพาคณพศไปโยนลงที่เตียงใหญ่ได้สำเร็จ สุดท้ายเด่นภูมิที่ทำภารกิจได้สำเร็จลุล่วง พ่นลมหายใจออกมาแรงเฮียกหนึ่ง “เอาล่ะ ผมเอาคนมาส่งให้คุณแล้ว ไม่รบกวนเวลาพวกคุณสามีภรรยาแล้ว ไว้เจอกันนะ”
พูดจบ เด่นภูมิลุกขึ้นยืนพร้อมบอกลา เขาต้องรีบกลับไปอาบน้ำ ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าของคณพศ อีกทั้งกลิ่นน้ำหอม เขายิ่งมีนิสัยรักความสะอาดซะด้วยสิ
พอส่งเด่นภูมิเสร็จเรียบร้อย นารายืนเหม่อมองร่างใหญ่นอนหลับแผ่หลาอยู่บนเตียง ในใจยังสับสนวุ่นวาย
เธอไม่รู้ว่าคณพศและณัจยาไปถึงขั้นไหนกันแล้ว ทำไปเพราะเมา?หรือมีความรู้สึกต่อณัจยากันแน่
วิดีโอก่อนหน้านั้น ราวกับเป็นก้างติดอยู่ที่คอของเธอ
เดิมทีเธออยากจะปล่อยผ่านและหนีไป แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ผู้ชายคนนี้ ช่างโดดเด่น
โดดเด่นซะจนเธอดูออกว่าวิดีโอพวกนั้นไม่ใช่ของปลอม แต่ยังโง่รอเขามาอธิบาย เธอคิดกระทั่งว่าเขาตั้งใจลงโทษเธอแบบนั้นเพื่อไม่ให้เธอมีโอกาสไปงานเลี้ยงกับเขา
ระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เธอมุ่งหน้าไปที่ตู้เสื้อผ้า เธอจะไปหาเสื้อผ้าที่ตัวใหญ่กว่านี้ให้ นอนแบบนี้เขาคงไม่สบายตัว
ส่วนเรื่องวิดีโอนั่น ยังไม่ถามจะดีกว่า
นาราไม่รู้ว่าการกระทำแบบนี้นับว่าเป็นการหลอกตัวเองหรือเปล่า แต่ว่า การแยกแยะของเธอนั้นได้ถลำลึกเข้าไปแล้ว ในใจนั้นเฝ้ารอด้วยความเป็นห่วง เฝ้าหวังว่าจะเป็นการปลุกปั่นของพิมมี่ เฝ้าหวังว่าคณพศและณัจยาจะไม่มีอะไรลึกซึ้งอย่างที่เห็น
เปิดตู้เสื้อผ้าตู้ใหญ่ เธอช่วยเขาหยิบเสื้อตัวผ้านุ่ม เดินกลับไปที่ห้อง
บนเตียงนอนใหญ่ คณพศที่ถูกณัจยาพ่นยาใส่นั้นกำลังออกฤทธิ์ ยากมากที่จะอยู่นิ่งเฉย ปากพร่ำเรียก “นารา น้ำ…”