บทที่13 พาพี่สะใภ้ไป
“เธอทำอะไร?”
ฉินยีเห็นว่าไปห้ามไม่ทัน จึงทำได้แค่ตะโกนออกไป
“น้าคะ!”
เสี้ยวเสี้ยวกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกแล้ว ตะโกนแล้ววิ่งเข้าไปหาฉินยี
เด็กหนุ่มเห็นว่าผู้ปกครองมา จะยังกล้าผลักเสี้ยวเสี้ยวได้ยังไงกัน? หันหลังแล้วก็วิ่งหนีไป
แต่ว่าเขารีบเกินไป เพิ่งหันหลังแล้วลื่นล้มลง “พรึ่บ”
“แง้……”
หลังจากที่เด็กหนุ่มหกล้ม ร้องไห้เสียงดัง ก็ดึงดูดสายตาของทุกคน
เสี้ยวเสี้ยวเองก็ร้องไห้งอแง ทั้งร้องไห้ไปด้วยพูดไปด้วยว่า “หนูไม่ใช่เด็กกำพร้า หนูมีคุณพ่อ”
ฉินยีกอดเสี้ยวเสี้ยวไว้แน่น ดวงตาแดงก่ำ สองมือค่อยๆลูบหลังปลอบใจเสี้ยวเสี้ยว “เสี้ยวเสี้ยวไม่ใช่เด็กกำพร้า เสี้ยวเสี้ยวเองก็มีพ่อ”
“เสี่ยวตง!”
ชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งวิ่งเข้ามา เห็นลูกสาวหกล้มก็เอ็นดู “ลูกน้อยไม่ร้องนะ ใครรังแกลูก แม่สั่งสอนมันให้เอง”
“แม่ครับ เธอผลักผม ผมล้มเจ็บมากเลยครับ!”
เด็กหนุ่มร้องไห้ แล้วก็ชี้ฉินเสี้ยวเสี้ยว
ฉินยีเองก็โมโห เธอเห็นว่าเด็กหนุ่มจะผลักเสี้ยวเสี้ยวด้วยตาตัวเอง แต่เด็กหนุ่มไม่ระวังกลับล้มลงซะเอง แต่ตอนนี้ดันมาโทษกัน
เธอยังไม่ทันได้ระเบิด แม่ของเด็กหนุ่มก็ไม่แยกถูกผิดพุ่งเข้ามาด่าเธอ “เด็กบ้านเธอนี่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่มีการศึกษาสักนิด แม้แต่ลูกของฉันยังกล้าตี รู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร?”
เสี้ยวเสี้ยวอธิบายด้วยสีหน้าน้อยใจ “หนูไม่ได้ตีเขา แต่เขาจะตีหนูต่างหาก แล้วยังด่าว่าหนูเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อด้วย”
“ที่แท้ก็เป็นเด็กที่ไม่มีคนสั่งสอนจริงๆด้วย ผู้ใหญ่บ้านเธอไม่สั่งสอนเธอ งั้นฉันสั่งสอนเธอเอง”
แม่ของเด็กหนุ่มพูดแล้วก็เดินไปหาเสี้ยวเสี้ยว คิดจะลงไม้ลงมือจริงๆ
ฉินยีโมโหขึ้นมาทันที แล้วปกป้องเสี้ยวเสี้ยวไว้ด้านหลัง หน้าตาเธอเหมือนพร้อมลงมือตลอดเวลา “เธอกล้าแตะก็ลองดู!”
“ผู้ปกครองทั้งสองคะ อย่าลงไม้ลงมือกันนะคะ!”
คุณครูก็รับรู้ถึงเหตุการณ์ฝั่งนี้แล้วก็รีบเข้ามาห้ามปราม
แต่ว่าสายไปแล้ว แม่ของเด็กหนุ่มเดินไปหาฉินยี ยื่นมือจะทำร้ายไปที่หน้าของเธอ “ดูสิว่าฉันจะฉีกหน้าแกยังไง!”
ฉินยีมีฉายาเป็นถึงพริกขี้หนูของตระกูลฉิน จะปล่อยให้ยัยแก่นี่ทำร้ายได้ยังไงกัน?
อีกฝ่ายยังไม่ทันแตะต้องเธอ เธอก็ยกเท้าถีบออกไปก่อน
“โอ๊ย!”
แม่ของเด็กหนุ่มถูกรองเท้าส้นสูงถีบเข้าที่ท้อง ร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด แล้วก็พูดกับพ่อของเด็กหนุ่มว่า “นายจะดูฉันถูกทำร้ายอยู่อย่างนี้หรอ?”
ชายวัยกลางคนที่เห็นฉินยีครั้งแรกก็ตกตะลึง แต่ว่าตอนนี้ภรรยาของตัวเองถูกทำร้าย เขาก็ไม่ทันได้สนใจสาวสวยแล้ว พุ่งเข้าไปเหวี่ยงฝ่ามือ
ทุกคนรอบข้างถึงกับตกใจ ไม่คิดว่าลูกผู้ชายคนหนึ่งจะกล้าลงมือต่อหน้าผู้คนแบบนี้
“น้าคะ!”เห็นน้าตัวเองกำลังจะโดนทำร้าย เสี้ยวเสี้ยวตะโกนแล้วก็กำลังจะวิ่งไป
ฉินยีตกใจ จะหลบก็คงไม่ทันแล้ว สองตามองดูฝ่ามือที่ใกล้เข้ามาของอีกฝ่าย เธอรีบหลับตา
“พรึ่บ!”
แต่ในตอนนี้ อยู่ๆก็มีร่างของคนๆหนึ่งเข้ามาจับข้อมือของชายวัยกลางคนไว้ได้ทัน
“อ๊าก!”
ความเจ็บปวดที่ข้อมือทำให้ชายวัยกลางคนร้องออกมา
ฉินยีได้ยินเสียงร้องครวญคราง จึงลืมตาขึ้นมองก็เห็นแผ่นหลังกว้างบังไว้ตรงหน้าเธอ
“พ่อจ๋า!”
เสี้ยวเสี้ยวเพียงแค่เห็นแผ่นหลังก็จำคุณพ่อได้แล้ว จึงตะโกนขึ้นอย่างดีใจ
หยางเฉินไม่ได้ปล่อยมือ แต่กลับพูดว่า “ปิดตาของเสี้ยวเสี้ยวไว้!”
ได้ยินเสียงของหยางเฉิน ฉินยีถึงรู้ว่าใครที่มาช่วยตัวเองไว้
เธอรีบตอบ “อ้อ” แล้วก็ปิดตาของเสี้ยวเสี้ยวไว้
“รีบปล่อยฉันนะ!”
ชายวัยกลางคนเจ็บปวดจนหน้าแดง มองหยางเฉินแล้วพูดอย่างโมโห “แกรู้มั้ยว่าฉันเป็น…..”
“ตึง!”
เขายังไม่ทันพูดอวดเบ่งจนจบ ที่ท้องก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่หนักหน่วง จากนั้นร่างกายเขาก็เหมือนกับลูกบอลที่ลอยออกไป แล้วก็ล้มลงกับพื้นอย่างหนัก
สถานการณ์เงียบกริบ ทุกคนอึ้งตะลึง
ฉินยีเห็นภาพตรงหน้า หยางเฉินถีบชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่น้ำหนักประมาณ 80 กิโลกระเด็นไปไกลมาก
ใบหน้าที่สวยงามของเธอถึงกับตื่นกลัว
“พ่อจ๋า! พ่อมาได้ยังไง?”
เสี้ยวเสี้ยวแกะมือของฉินยีออก แล้วพุ่งเข้าหาหยางเฉินด้วยใบหน้ามีความสุข
อุ้มลูกสาวขึ้นมา ใบหน้าหยางเฉินเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “แน่นอนว่าต้องมารับเสี้ยวเสี้ยวกลับบ้านสิ!”
เมื่อกี้ที่เห็นหยางเฉินถีบชายวัยกลางคนกระเด็น ต่อมาก็เห็นหยางเฉินที่อ่อนโยนในตอนนี้ ฉินยีถึงกับถามตัวเองว่า นี่ยังเป็นพี่เขยขยะที่ทุกคนดูถูกคนนั้นอยู่จริงหรอ?
“เสี่ยวตง นายเห็นรึยัง? ฉันไม่ใช่เด็กกำพร้า ฉันมีคุณพ่อ เขาก็คือคุณพ่อของฉัน!”
อยู่ๆเสี้ยวเสี้ยวก็มองไปที่เด็กหนุ่มแล้วก็พูดอย่างภูมิใจ
เด็กหนุ่มร้องไห้เสียงดัง เมื่อกี้เขาเห็นพ่อของเสี้ยวเสี้ยวถีบพ่อตัวเองจนกระเด็นด้วยตาตัวเอง ภาพนี้กลายเป็นความทรงจำที่ฝังใจของเด็กหนุ่ม
หยางเฉินได้ยินคำพูดของลูกสาว ในใจมีความรู้สึกแย่ที่พูดไม่ออก การมีครอบครัวที่สมบูรณ์กลับกลายเป็นความหวังของเสี้ยวเสี้ยว เพียงแค่ได้เจอพ่อก็ทำให้เธอมีความสุขได้มากขนาดนี้
ฉินยีก็เพิ่งเห็นเสี้ยวเสี้ยวมีความสุขมากขนาดนี้เป็นครั้งแรก ขยี้ดวงตาที่เริ่มแดงก่ำ ในใจแอบถอนหายใจเบาๆ
“ไอ้หนุ่ม แกกล้าทำร้ายฉัน แกรอไว้เลย!”
สักพักชายวัยกลางคนก็ลุกขึ้นยืน ในสายตามีความโมโหอยู่เต็มเปี่ยม แล้วก็โทรออกไปสายหนึ่ง
“ผู้ปกครองทั้งสองคะ เด็กๆก็แค่แกล้งกัน พวกคุณอย่ามีปัญหากันเลยค่ะ แบบนี้จะมีผลกระทบที่ไม่ดีต่อเด็กนะคะ”ผ.อ.ของโรงเรียนอนุบาลก็ออกมาเกลี้ยกล่อม
เขาพูดด้วยใบหน้าอวดเก่งว่า “ผ.อ.หลิน คุณอย่าเสียเวลาพูดเลย ผมจางกว่างคนของตระกูลจาง แต่กลับถูกชายหนุ่มที่ไหนก็ไม่รู้ทำร้าย ถ้าไม่กู้หน้ากลับมา มีข่าวลือแพร่ออกไป ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน?”
สีหน้าฉินยีแย่มาก เธอกระซิบข้างหูหยางเฉินเบาๆว่า “เขาเป็นคนของตระกูลจาง นายรีบพาเสี้ยวเสี้ยวกลับไป ฉันเป็นผู้หญิง เขาทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”
หยางเฉินมองดูฉินยีอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะมีด้านที่ดีแบบนี้อยู่ด้วย แต่ว่าก็สายไปแล้ว
ตอนนี้รถตู้ Jinbei สามคันขับมาจอดหน้าประตูโรงเรียนอนุบาลอย่างเร่งรีบ มีชายหนุ่มร่างใหญ่ลงมาจากรถคันละ 5-6 คน
“ใครทำร้ายพี่กว่างของฉัน? โผล่หน้ามาเดี๋ยวนี้!”
ชายหนุ่มคนแรกตะโกนอย่างโมโห
เสี้ยวเสี้ยวตกใจกลัวจนตัวสั่น สองแขนกอดคอของหยางเฉินแน่น
ทันใดนั้นความโมโหก็พุ่งขึ้นในตัวหยางเฉิน บรรยากาศรอบตัวเหมือนจะเย็นลง ฉินยีถึงกับตัวสั่นนิดหน่อย มองชายหนุ่มข้างกายอย่างตื่นกลัว
“เสี้ยวเสี้ยว ไม่ต้องกลัวนะ มีคุณพ่อปกป้อง ใครก็ทำร้ายหนูไม่ได้”หยางเฉินพูดด้วยใบหน้าอ่อนโยน
คำพูดหยางเฉินมีผลมาก เสี้ยวเสี้ยวไม่กลัวสักนิดแล้ว ดวงตากลมโตเป็นประกาย “พ่อจ๋า จริงหรอคะ?”
“คุณพ่อไม่เคยโกหก!”
หยางเฉินใบหน้าหนักแน่น พูดจบ ก็มองไปที่ฉินยี “เธอพาเสี้ยวเสี้ยวกลับไปก่อน เรื่องที่นี่ฉันจัดการเอง”
“พ่อจ๋า หนูไม่แยกจากพ่อนะ!”
เสี้ยวเสี้ยวได้ยินคำพูดของพ่อ ก็ร้อนรนทันที สองแขนกอดแน่นกว่าเดิม น้ำเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้
“พี่เฉินครับ พี่พาพี่สะใภ้กลับไปก่อนเลยครับ!”
ไม่รู้ว่าชายแกร่งคนหนึ่งมาโผล่ที่ข้างกายของหยางเฉินตั้งแต่เมื่อไหร่
ได้ยินคำพูดของหม่าชาว หยางเฉินขมวดคิ้ว นายใช้ตาข้างไหนมองถึงเห็นว่าเธอเป็นพี่สะใภ้?