ระบบเจ้าสำนัก – ตอนที่ 1969 : สร้างมิติลับ

ตอนที่ 1969 : สร้างมิติลับ

    เอาล่ะ แยกย้ายกันได้  อู่หมิงโบกมือบอกกับทุกคน

  ทันทีที่อู่หมิงพูดจบ เหล่าแม่ทัพก็แยกย้ายกันไปราวกับนกแตกรังหายไปอย่างไร้ร่องรอย

  พวกเขาเหมือนจะอยากออกจากที่นี่มานานแล้ว พวกรอให้จักรพรรดิเอ่ยปากบอกมา เพราะไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้วินาทีเดียว

  แน่นอนว่าพอเข้าใจความรู้สึกของพวกนี้ได้ ยังไงซะหลังจากที่เห็นหยงซิวตายไป มันก็ไม่มีใครอยากจะเป็นเหมือนหยงซิว อีก

    โชคดีที่เราระวังและให้หยงซิวทดลองก่อน…  ซื่อเซียวกลัวนิดๆเมื่อคิดถึงฉากเมื่อตะกี้

  เย่าหยางส่ายหน้า   คนตายไปแล้วพูดไปจะได้อะไร ? 

  ไม่มีใครสนใจการตายของหยงซิวนอกจากเพื่อนรึญาติของเขาเท่านั้น

  พวกเขาสนใจได้แค่ว่ามันจะได้ผลรึไม่ เรื่องอื่นพวกเขาไม่คิดที่จะสนใจแม้แต่น้อย

  นี่ไม่ต้องพูดถึงซื่อเซียวเลย แม้แต่อู่หมิงก็ไม่ได้รู้สึกเศร้ากับหยงซิวเลยแม้แต่น้อย ยังไงซะหยงซิวก็เพิ่งขั้นเป็นแม่ทัพ เขายังไม่ได้สนิทกับแม่ทัพคนอื่นๆ เขายังไม่ได้เป็นแม่ทัพเต็มตัว

  ในทางกลับกันแล้ว เรนไนกลับรู้สึกเศร้ากับหยงซิวอย่างมาก

  ในฐานะแม่ทัพที่เก่าแก่ที่สุดในทะเลโกลาหล การตายของหยงซิวนั้นทำให้เขารู้สึกบางอย่าง

  โชคดีที่เขาทำสำเร็จ ไม่งั้นบางทีเขาอาจจะเป็นเหมือนกับหยงซิว

  ความเป็นจริงมันโหดร้าย !

    พวกเจ้ามีอะไรอีกรึไม่ ?  ซื่อเซียวมองไปที่หว่านเก่อและเรนไน

  ตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ต่อหน้าจ้าวแห่งทะเลบรรพกาล ผลก็คือท่าทีของพวกเขาจึงเย็นชาต่อทั้งสองดังเดิม

  หว่านเก่อไม่ได้พูดอะไรออกมา เรนไนจึงพูดขึ้น   ข้าแค่อยากเตือนพวกเจ้าว่าข้าคิดจะเปิดมิติลับที่นี่ มันอาจจะส่งผลต่อบรรพกาลใกล้เคียง หากพวกเจ้าเห็นอะไรผิดปกติก็อย่าลนลานไปละ 

    เปิดมิติลับรึ ?  ซื่อเซียวแปลกใจ   ที่นี่น่ะรึ ?  

    มีปัญหาอะไร ? 

    ที่นี่คือดินแดนของคังเฉียง  เย่าหยางมองไปที่เรนไนด้วยสีหน้าสงสัย   เจ้ามั่นใจรึว่าคังเฉียงจะตกลง ? 

  เรนไนพูดขึ้น   เมื่อข้าคิดจะสร้างมิติลับขึ้นมา ข้าก็ต้องได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิคังเฉียงแล้ว 

    แต่…  อู่หมิงคิ้วขมวด   เจ้าเป็นคนของทะเลโกลาหล สำหรับทะเลบรรพกาลแล้วเจ้าเป็นคนนอก จ้าวแห่งทะเลบรรพกาลจะยอมให้เจ้าสร้างมิตลับขึ้นมาที่นี่รึ ? 

  เรนไนแสดงสีหน้าเฉยเมย   ใครกันบอกว่าข้าเป็นคนของทะเลโกลาหล? 

  ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นทั้งสามคนในฝั่งของซื่อเซียวก็คิ้วขมวด

    ตอนที่ข้าสละจิตไป ข้าก็เป็นคนของทะเลบรรพกาลแล้ว  เรนไนพูดขึ้น   ข้าคือจักรพรรดิของทะเลบรรพกาล จิตของข้าหลอมรวมกับทะเลบรรพกาล ข้าจะถือว่าเป็นคนของทะเลโกลาหลได้ยังไง ? 

  ซื่อเซียวสีหน้าบิดเบี้ยวไป   เจ้าคิดจะหักหลังทะเลโกลาหลงั้นรึ ? 

  เรนไนฮึดฮัดออกมา   ใครกันที่หักหลังทะเลโกลาหล ? ทะเลโกลาหลเป็นแค่โลกพิเศษ มันไม่ได้มีจิตของตัวเอง มันจะส่งผลอะไรหากข้าเลือกออกจากที่นั่น ? การที่เจ้าบอกว่าข้าหักหลังนั้นข้าไม่อาจจะรับได้ ! 

  หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ เรนไนก็ฮึดฮัดออกมา   หากเจ้าบอกว่าข้าหักหลัง งั้นการที่เจ้าออกจากทะเลโกลาหลมาไม่ใช่เป็นการหักหลังด้วยรึ ? พวกเจ้ารู้จักมองดูตัวเองบ้าง… 

    เจ้า… 

    ช่างเถอะ  อู่หมิงห้ามซื่อเซียวก่อนจะบอกกับเรนไน   เมื่อเจ้าตัดสินใจจะเปิดมิติลับที่นี่ งั้นก็ตามใจเจ้าก็แล้วกัน 

    อู่หมิงเจ้าคิดจะห้ามข้ารึไง ?  ซื่อเซียวพูดขึ้น

  อู่หมิงถอนหายใจออกมาและพูดขึ้น   เจ้าไม่คิดว่ามันส่งผลดีต่อเรารึไง ? 

    เจ้าหมายความว่ายังไง ?  ซื่อเซียวสับสน

  ตอนนั้นเย่าหยางก็ได้พูดขึ้นมา   เมื่อทะเลโกลาหลปกครองโดยจักรพรรดิทั้ง 9 นอกจากสนามรบแล้วไม่มีพื้นที่เหลืออยู่เลย หากเรนไนเปิดมิติลับในทะเลโกลาหล งั้นมันก็เท่ากับเราต้องยกพื้นที่บางส่วนให้กับเขา…เจ้ารับได้รึไม่ ? 

    อึก..  ซื่อเซียวพูดอะไรไม่ออก  การให้เรนไนเปิดมิติลับในทะเลโกลาหลก็เท่ากับการแย่งพื้นที่ปกครองของพวกเขาไปไม่ใช่รึ ?

  ช่างมัน

  บางทีเรนไนอาจจะคิดเรื่องนี้มาแล้ว

  เขาไม่คิดจะเถียงกับซื่อเซียวและคนอื่นๆจึงได้ขอจางหยูเพื่อเปิดมิติลับในทะเลบรรพกาล ยังไงซะเขาก็เป็นจักรพรรดิของทะเลบรรพกาล การเปิดมิติลับที่นี่ใครจะไปว่าอะไรได้ ?

    มิติลับนั้นสร้างขึ้นมาไม่ได้ง่ายๆ  ซื่อเซียวไม่ได้พูดอะไร เย่าหยางกลับพูดขึ้นมาแทน   เพื่อที่จะสร้างมิติลับขึ้นมาเราต้องเสียทรัพยากรไปอย่างมาก มันต้องใช้เวลานาน อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า เจ้าเป็นจักรพรรดิหน้าใหม่ มันจะดีกว่าที่จะเตรียมตัวสักพักแล้วค่อยคิดในการเปิดมิติลับขึ้นมา ไม่งั้นแล้วหากล้มเหลวในการสร้างมิติลับ มันอาจจะส่งผลกระทบต่อพลังจักรพรรดิ 

  พวกเขาล้มเหลวมาแล้วหลายครั้งก่อนจะเปิดมิติลับสำเร็จ

  เรนไนพูดขึ้น   ขอบคุณที่หวังดี แต่ข้าเข้าใจว่าเจ้าจะบอกอะไร 

  ตอนที่หว่านเก่อเปิดมิติลับ เขาเองก็ช่วยนาง จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะรู้ว่าการเปิดมิติลับนั้นยากแค่ไหน

  แต่เขามั่นใจว่ามันไม่ยากที่จะเปิดมิติลับขึ้นมา

    ท่านพี่ เรารอสักหน่อยจะดีกว่า  หว่านเก่อกังวล

    สบายใจได้ มันไม่ได้ยากสักเท่าไหร่ในการเปิดมิติลับ  เรนไนยิ้มออกมาและจับมือหว่านเก่อเอาไว้   พี่ของเจ้ารับพลังของจักรพรรดิได้ไหวและขึ้นเป็นจักรพรรดิได้ แล้วจะล้มเหลวกับการเปิดมิติลับได้ยังไง ? 

  หว่านเก่อคิดสักพัก นางไม่คิดจะกล่อมอะไรเขาอีก นี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ นางควรใช้พลังจิตเพื่อช่วยเรนไนจะดีกว่า

  ด้วยความแข็งแกร่งของนางตอนนี้แล้วมันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

  สำหรับซื่อเซียว, เย่าหยางและอู่หมิงแล้ว นางไม่ได้หวังให้พวกนี้ช่วย ตราบใดที่พวกนี้ไม่สร้างปัญหาก็ถือว่าดีแล้ว

    บางทีคังเฉียงอาจจะช่วยได้แต่…  สุดท้ายหว่านเก่อก็สลัดความคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากจางหยูออกไป  เราติดค้างเขามามากแล้ว เรามีสิทธิ์อะไรที่จะไปขอให้เขาช่วยอีก ? 

  แม้ว่าผลของการล้มเหลวในการเปิดมิติลับขึ้นมาจะร้ายแรง แต่ก็ไม่ได้เป็นภัยถึงชีวิต มันไม่จำเป็นต้องรบกวนจางหยู ในเรื่องนี้

    เอาล่ะ มาเริ่มกันดีกว่า  เรนไนไม่ได้สนใจอีกสามคนที่เหลือ เขาได้บอกกับหว่านเก่อ   อีกสักพักข้าจะเปิดมิติลับด้วยตัวเอง เจ้าคอยดูอยู่เฉยๆ หากข้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะบอกเจ้าเอง 

  เขาอยากทดลองเปิดมิติลับด้วยความแข็งแกร่งของตัวเองก่อน หากเขาทำสำเร็จ เขาก็จะยืนยันความแข็งแกร่งของตัวเองได้  ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็เพิ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิ มันเพราะสภาพที่สมบูรณ์ของเขาที่ทำให้เขาไม่ต้องปรับตัวใดๆ ในทางกลับกันแล้วเขาก็ยังได้รับพลังจิตกับการขึ้นเป็นจักรพรรดิ ซึ่งมันช่วยเพิ่มโอกาสในการเปิดมิติลับได้สำเร็จมากขึ้น !

  หว่านเก่อพยักหน้าตอบรับ   ก็ได้ ! 

  แม้ว่าซื่อเซียวและคนอื่นๆจะไม่ได้เป็นห่วงเรนไน แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดถากถางอะไรออกมา พวกเขาจะรอจนกว่าเรื่องนี้จะจบ

    เฮ้อ  เรนไนถอนหายใจออกมา จิตของเขาผ่อนคลายอย่างมากในตอนนี้ จากนั้นเขาก็แสดงสีหน้าจริงจังออกมา

  ต่อมาพลังจักรพรรดิก็แผ่ออกมาจากตัวเรนไนเข้าครอบคลุมบรรพกาลรอบตัว

  ซื่อเซียวหรี่ตาลง แม้ว่าพวกเขาจะไม่อาจจะตัดสินระดับของเรนไนได้ แต่พลังจักรพรรดินี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงอันตรายนิดๆ มันไม่ใช่สิ่งที่จักรพรรดิหน้าใหม่ควรจะมี เพราะมันราวกับพลังของคนที่เป็นจักรพรรดิมานานหลายยุคแล้ว

  แม้ว่าเรนไนจะมั่นใจแต่เขาก็ยังระวังตัว

  พลังของจักรพรรดิได้เข้าไปปกคลุมบรรพกาลส่วนหนึ่ง และก็ไม่ได้ขยายตัวออกไปอีก

  หลังจากที่ได้ระยะของพลังแล้ว เรนไนก็ค่อยๆปล่อยพลังจิตออกมา พลังจิตอันแข็งแกร่งได้กระจายไปโดยรอบในระยะพลังจักรพรรดิ เขาไม่ได้ลนลานรึเงอะงะแม้แต้น้อย ท่าทีของเขาไม่ได้แปลก และราวกับว่าเขาเคยทำแบบนี้มาแล้ว ขั้นตอนทั้งหมดเหมือนจะผ่านไปอย่างราบรื่น

  ซื่อเซียวและคนอื่นๆแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา   เขาดูผ่อนคลายจริงๆ.. 

  หว่านเก่อที่เตรียมตัวอยู่ตลอดเพื่อเข้าไปช่วยเองก็แปลกใจเหมือนกับคนอื่นๆ

  เรนไนนั้นเพ่งสมาธิอย่างน่าทึ่งจนไม่ได้สนใจโลกภายนอก

    ด้วยพลังจักรพรรดิเป็นกระดูก พลังจิตเป็นเนื้อ วิญญาณคือวิญญาณ จิตคือกฎ …  หลังจากที่เรนไน ตัดสินว่าพลังจักรพรรดินั้นรวมกับพลังจิตอย่างสมบูรณ์แล้วเขาก็ได้ส่งวิญญาณเข้าไป มันทำให้มิติลับค่อยๆแยกตัวออกมาจากทะเลบรรพกาล มันราวกับมิติที่สูงกว่าที่ดีดตัวออกมาค่อยๆขึ้นรูปร่าง

  ขั้นตอนในการเปิดมิติลับนั้นดูง่ายแต่ทุกขั้นตอนนั้นต้องใช้พลังอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นขั้นไหน หากผิดพลาดไปเล็กน้อยก็จะนำไปสู่ความล้มเหลว

  โชคดีที่สามขั้นแรกของเรนไนนั้นราบรื่น

  สุดท้ายขั้นที่ยากและสำคัญที่สุดคือการประทับจิตลงไปในมิติลับเพื่อให้มิติลับนั้นยกตัวออกจากทะเลบรรพกาลและเปลี่ยนเป็นโลกที่แท้จริง !

 

ระบบเจ้าสำนัก

ระบบเจ้าสำนัก

จางหยู ชายหนุ่มจากมนุษย์โลก ได้บังเอิญทะลุมิติมายังทวีปป่า  ดินแดนแห่งการบ่มเพาะที่เกรียงไกร
มิหนำซ้ำยังได้เป็นเจ้าสำนักที่ใกล้จะเจ๊งอยู่รอมร่อ
      ทั้งสำนักมีเพียงสุนัขหนึ่งตัว ดังนั้นเขาต้องพึ่งวิธีหลอกลวงเพื่อรับสมัครลูกศิษย์
หลังจากลำบากลำบนกับการรับสมัครลูกศิษย์คนแรก จางหยูก็ได้รับความสามารถมองทะลุจาก “ระบบเจ้าสำนัก”
     เมื่อเปิดใช้ความสามารถมองทะลุ จางหยูก็สามารถมองเห็นคุณสมบัติของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ พรสวรรค์ หรือแม้แต่การบ่มเพาะ
ด้วยความสามารถนี้ จางหยูจึงมองเห็นข้อผิดพลาดในทักษะและเคล็ดวิชาต่างๆ ทำให้เขาสามารถแก้ไขทักษะและเคล็ดวิชาเหล่านั้นให้สมบูรณ์แบบได้
    ด้วยความสามารถมองทะลุ จางหยูจึงมองเห็นข้อบกพร่องของทักษะและเคล็ดวิชาที่ศัตรูฝึกฝน รวมไปถึงจุดอ่อนของศัตรู
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โชคชะตาของจางหยูก็มาถึงจุดเปลี่ยน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท