บทที่ 209 อย่าทิ้งฉันไป
ดวงตาของลี่เฉินซีทอประกายขึ้น เอียงข้างมามองเธอ สายตาเคร่งขรึม คำพูดเย็นชาไม่กระจ่างชัดเจน “ก็ต้องดูด้วยว่าคุณนั้นทำอะไร”
“……”
ทันใดนั้นหัวใจของหานฉ่ายหลิงก็เหมือนกับถูกทับด้วยหินก้อนใหญ่
เธอกระสับกระส่าย เม้มปากด้วยความกระวนกระวาย ก้มมองดูหาดทรายใต้เท้าของตัวเองโดยไม่รู้ควรจะทำอย่างไรดี
“เป็นอะไรไป ทำไมอยู่ๆถึงถามแบบนี้” ลี่เฉินซีหรี่ตาลง ดวงตาดำขลับจนมองไม่เห็นด้านใน เม้มปากขึ้นอย่างสง่าสงาม
หานฉ่ายหลิงหัวใจเต้นแรงตึกตัก อึดอัดจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“ทำไมคุณถึงเงียบไม่พูดไม่จาล่ะ” น้ำเสียงที่ชวนฟังของลี่เฉินซีดังขึ้นอีกครั้ง
เธอก้มหน้าหลบสายตา หน้าหงอย “ฉัน…..ฉันโกหกคุณเรื่องหนึ่ง เฉินซี ฉันขอโทษ”
“โกหกผมเหรอ”เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ยกมือขึ้นจับที่แก้มของเธอ “คุณโกหกผมเรื่องอะไร”
ถามขึ้นทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
หานฉ่ายหลิงตกใจตัวสั่น โชคดีที่คุณพ่อได้เตือนตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะแสดงเรื่องราวต่อไปอย่างไร
“อันที่จริงผลการตรวจออกมาตั้งนานแล้ว ฉันไม่ได้เป็นมะเร็งที่กระเพาะ ฉันเป็นแค่โรคกระเพาะอักเสบและเป็นแผลในกระเพาะเท่านั้น ฉันขอโทษที่โกหกคุณ……”
เสียงของเธอแผ่วเบา ต่อหน้าเขา เธอเหมือนกับเด็กน้อยที่ทำผิดแล้วต้องการการให้อภัยและเข้าใจเธอ
ลี่เฉินซีมองแววตาของเธอก็ยิ่งจมดิ่งลง ทันใดนั้นก็ขยับริมฝีปากพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มว่า “พูดอ้อมมาไกลซะขนาดนี้ สุดท้ายก็กลับไปที่จุดเดิม ทำไมต้องลำบากขนาดนั้น”
ตาของเธอเป็นประกาย รู้สักมึนงงและเดาไม่ออก จึงพูด ‘หือ’ออกไปคำเดียว
เขาคลายตัวเธอออก แล้วหันไปมองทะเลที่เงียบสงบ สัมผัสถึงลมทะเลกระโชกพัดโชยมา ริมฝีปากบางขยับขึ้น “ทำไมต้องทำแบบนี้ล่ะ”
คำพูดแผ่วเบา ไม่มีร่องรอยของการซักถาม ไม่มีความรู้สึกอยากติดตามเรื่องราว และก็ไม่มีอาการโกรธใดๆ
ยิ่งเป็นเช่นนี้ ยิ่งทำให้หานฉ่ายหลิงรู้สึกขนหัวลุก
เธอรีบก้าวไปข้างหน้าและจับมือเขาไว้ “เฉินซี คุณจะให้อภัยฉันไหม”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ คุณอุตส่าห์บอกความจริงกับผม ทำไมจะต้องตามไม่ปล่อยด้วยล่ะ”
เมื่อประโยคออกมาจากปาก ก็รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกเล็กน้อย
ใบหน้าที่รูปงาม เผยความเฉยเมยและไร้ความรู้สึก
หานฉ่ายหลิงจึงคลายนิ้วมือออก หวาดผวา และฟังเขาถามขึ้น “แล้วทำไมถึงทำแบบนี้ มีเหตุผลอะไรหรือเปล่า”
“เหตุผลของฉัน……คุณยังไม่รู้อีกหรือ” หานฉ่ายหลิงเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาโดยไม่หลบอีกต่อไป
ลี่เฉินซียิ้มเล็กน้อย และก็เลี่ยงตัวไปจากเธออย่างใจเย็น แล้วเดินอ้อมไปนั่งลงที่เก้าอี้เอน จากนั้นก็นั่งจิบไวน์ นิ้วมือที่เรียวยาวกำลังหมุนเล่นแก้วไวน์ที่ทรงสูงไปมา
หานฉ่ายหลิงได้เดินตามมา “ฉันก็แค่อยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนนานๆ อยากจะย้อนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน อยากย้อนเวลากลับไปเป็นเหมือนเดิม เฉินซี ฉันไม่อยากจะคลาดกับคุณอีก พวกเราเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะ!”
ชายหนุ่มนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างาม ของเหลวสีแดงที่อยู่ในแก้วถูกเขย่าไปมา สีสดดุจสีเลือด
“ดังนั้นจึงได้นำโทรศัพท์ของผมส่งข้อความให้เธอทางวีแชท”
น้ำเสียงที่แน่วนิ่งมั่นใจ
หานฉ่ายหลิงหัวใจสั่นแรง ที่จริงแล้วก็เป็นเหมือนกับที่คุณพ่อพูด เขารู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว……
ฉับพลัน ความลับทั้งหมดของเธอถูกเปิดเผย ความเย็นยะเยือกที่อยู่ลึกๆในจิตใจของเธอทวีคูณขึ้น
“ฉันก็ไม่อยากทำแบบนี้ ฉันรู้แต่เพียงว่า คุณไม่สามารถที่จะตัดความสัมพันธ์กับซูย้าวได้ ดังนั้นจึงอยาก……”
หานฉ่ายหลิงก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อไป จิตใจสับสนวุ่นวายไปหมด เวลานี้ต่อให้มีคำอธิบายมากแค่ไหนก็เทียบไม่ได้กับน้ำตาเพียงไม่กี่หยด ที่อาจทำให้หัวใจของผู้ชายอ่อนลงได้
เธอเชื่อว่า อาศัยความสัมพันธ์แต่เดิมก่อน เขาจะต้องไม่เพิกเฉยต่อความรู้สึกเก่าๆอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นน้ำตาจึงท่วมท้นไหลเจิ่งนองออกมาอาบแก้ม
“ถึงแม้ว่าฉันจะผิด แต่สุดท้ายแล้วคนที่ฉันอยากอยู่ด้วยที่สุด ก็คือคุณนะ! เฉินซี คุณคือผู้ชายคนเดียวที่ฉันรักมากที่สุด ความรู้สึกหลายปีมานี้ จะให้ฉันปล่อยวางไปได้อย่างไร!”
หานฉ่ายหลิงร้องไห้ดั่งฝนตก น้ำตาไหลเจิ่งนอง เธอนั่งอยู่ข้างๆเขา ร้องไห้อย่างกับเด็กน้อยที่สูญเสียของรักของหวงก็ไม่ปาน ยกมือเช็ดน้ำตาอย่างไม่หยุดหย่อน จนทำให้เครื่องสำอางบนใบหน้าที่เนียนประณีตเลอะเทอะไปหมด
“คุณคิดว่าฉันชอบตัวเองในตอนนี้เหรอ ที่คนอื่นต่างเรียกฉันว่า ‘เมียน้อย’ทำลายครอบครัวของคนอื่น แต่ว่าฉันก็ไม่อยากเป็นแบบนั้น! ฉันไม่อยากทำร้ายซูย้าว ยิ่งไม่อยากทำให้คุณทุกข์ใจ และ……ฉันยิ่งไม่อยากสูญเสียคุณไป……”
เธอจับมือของเขาไว้แน่น กลัวว่าวินาทีต่อไปเขาจะทิ้งเธอไป ดังนั้นจึงจับไว้อย่างแน่น
“เฉินซี อย่าจากฉันไปจะได้ไหม ฉันต้องการคุณจริง……”
สิ่งที่ผู้ชายอยากได้ยินมากที่สุดจากคนที่รักก็คือ‘ฉันต้องการคุณ’แม้แต่ลี่เฉินซีก็ไม่มีข้อยกเว้น
เขาจ้องมองเธอ แล้วก็ยิ่งขรึมขึ้น ยื่นมือไปดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด แล้วหายใจเข้าลึกๆ “ผมไม่ได้ใส่ใจว่าคุณโกหกผมเพราะอะไร แต่ผมใส่ใจคือคุณอย่าหลอกผมเท่านั้นก็พอ”
แต่ในเมื่อเธอพูดยอมรับผิดด้วยตัวเอง อย่างนั้นเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ให้อภัย
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จิตใจหานฉ่ายหลิงยังคงวุ่นวาย ไม่อาจจะวางใจลงได้
โชคดีที่คุณพ่อพูดเตือนสติ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจุดจบของเธอจะเป็นเช่นไร!
“ฉันรับปากคุณ ต่อไปฉันจะไม่มีวันโกหกคุณอีก แต่ว่าเฉินซี คุณอย่าเพิ่งปล่อยมือจากฉันได้ไหม อย่าเพิ่งไล่ฉันไป สิ่งที่ฉันต้องการไม่ได้มากมายอะไรเลย แค่สามารถเห็นคุณบ่อยๆเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว!”
เธอลดท่าทางของเธอลงราวกับหนูน้อยในท่อระบายน้ำที่ยังมีชีวิตอยู่ ต้อยต่ำราวกับดิน ดวงตาคลอด้วยน้ำตา ท่าทางที่น่าเวทนาและสงสาร
ลี่เฉินซีกอดเธอไว้ และก็รู้ดีว่าควรจะผลักไสไล่ส่งเธอไปในเวลานี้ จากนั้นใช้คำพูดรุนแรงตัดความสัมพันธ์กับเธอลงอย่างเลือดเย็น เพียงแต่……ทุกๆคนต่างเข้าใจเหตุผลดี ให้ลงมือทำจริงๆ มันไม่ได้ง่ายเลย
“พอเถอะ ไม่ต้องร้องแล้ว!” เขาหยิบทิชชูมาเช็ดน้ำตาบนแก้มเธอเบาๆ “ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ทำไมถึงได้ชอบร้องไห้จัง”
หานฉ่ายหลิงมุ่ยปากด้วยความน้อยใจ “ก็ฉันกลัวว่าคุณจะไม่สนใจฉันอีก เมื่อคิดว่าคุณจะไม่ต้องการฉันอีก ฉันก็ทนไม่ได้……”
จากนั้นร่างกายที่บอบบางก็เข้ามาในอ้อมแขนของชายหนุ่มอีกครั้ง โอบรอบเอวเขาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย
ลี่เฉินซีก็ยอมให้เธอทำได้อย่างอำเภอใจ สักพักมองดูเวลา ถึงได้พูดขึ้นมาว่า “ดึกแล้ว ผมจะส่งคุณกลับนะ!”
“ฉันเหนื่อยแล้ว คืนนี้อยากนอนพักที่โรงแรม”เธอกล่าว
ลี่เฉินซีมองดูเวลา เห็นว่าดึกมากแล้วจริงๆ จึงได้พยักหน้าแล้วดึงเธอให้ลุกขึ้น
หานฉ่ายหลิงไม่ได้สวมรองเท้า ไม่ใช่ปัญหาเมื่อเดินอยู่บนหาดทราย แต่เมื่อเดินมาถึงบริเวณโรงแรม ที่ทางเดินเต็มไปด้วยขี้โคลน เดินด้วยเท้าเปล่าคงไม่ไหว ลี่เฉินซีจึงยื่นแขนไปอุ้มเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน จากนั้นก็เดินเข้าไปในตัวโรงแรม
ล็อบบี้ที่ขนาดใหญ่ของโรงแรม เขาอุ้มหานฉ่ายหลิงมุ่งตรงไปที่เคาน์เตอร์ เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว ก็เห็นชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ ลี่เฉินซีถึงกับชะงักเท้าขึ้น
เพ้ยส้าวหลี่กำลังดำเนินการเช็คอินเข้าโรงแรม และหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้างดงามราวกับภาพวาด สีหน้าเย็นชา ท่าทีที่เฉยเมยราวกับกับดอกไม้บนยอดเขา ให้ความรู้สึกลึกลับน่าค้นหา
ถ้าไม่ใช่ซูย้าวแล้วจะเป็นใครได้เล่า
เพียงแต่สายตาของซูย้าวมองลี่เฉินซีที่เดินเข้ามาด้วยความประหลาดใจ รวมไปถึงหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา สีหน้าก็ตกตะลึงงันเล็กน้อย
เขากลับประเทศมาแล้ว?!
แต่เธอกลับไม่เคยรู้……
ทั้งสี่คนประสานหน้ากัน วินาทีนั้นบรรยากาศขมุกขมัวขึ้น คนกลุ่มนี้ต่างจ้องหน้ามองตากัน
เพ้ยส้าวหลี่เป็นคนพาทุกคนออกมาจากบรรยากาศความตึงเครียดเช่นนี้ ด้วยการรับบัตรเอทีเอ็มพร้อมกับบัตรประจำตัวประชาชนมาจากมือของพนักงานที่อยู่เคาน์เตอร์ แล้วยัดใส่กระเป๋า ในขณะเดียวกันสายตาก็เหลือบไปมองลี่เฉินซีแล้วถามขึ้น “ได้ข่าวว่าประธานลี่ไปดูงานต่างประเทศ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นเงยหน้าขึ้นแล้วชำเลืองไปมองซูย้าว จงใจกุมมือของเธอไว้ “ทำไมถึงไม่ได้ยินซูย้าวพูดถึงล่ะ หรือว่าโปรแกรมการเดินทางของประธานลี่ แม้แต่ภรรยาก็ยังต้องปิดบัง”
น้ำเสียงบางเบา แต่แฝงด้วยคำยั่วยุ กลิ่นตุๆของดินปืนกำลังจะปะทุ