ที่ข้าง ๆ ห้องรับแขก ซูย้าวพร่ำบ่นโม่หว่านหว่านอยู่ไม่หยุด และก็พูดสอนหลักการมากมายกับเธอ จนทั้งสองคนโต้เถียงกันไม่หยุดหย่อน
ในห้องนอน ซีซีกำลังนั่งกอดหมีแท็ดดี้อยู่ในตะกร้าหวายชิงช้า แล้วมองไปที่ทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เตียวเตียวเดินเข้ามา เงาร่างเล็ก ๆ ชิดเข้าไปอยู่ข้าง ๆ เธอ ดวงตาที่ดำสนิทจ้องมองเธอผ่านไปนาน ถึงพูดขึ้นว่า “เธอเป็นอะไรไป?”
ซีซีไม่ได้สนใจเขา แล้วก็ไม่พูดอะไร
“เธอไม่ชอบคุณอาลี่คนนั้นใช่ไหม?” เตียวเตียวมองความคิดของเธอออก จึงลองถามขึ้นอย่างลองเชิง
พอพูดมาถึงตรงนี้ ซีซีก็อดที่จะถอนหายใจขึ้นมาไม่ได้
เตียวเตียวเลยพูดขึ้นว่า “เขาเป็นพ่อของเธอนะ! เธอควรจะดีใจถึงจะถูกซิ! ฉันอยากจะได้พ่อสักคนหนึ่ง ยังไม่มีเลย! ส่วนเธอมีแล้ว ก็ยังไม่อยากจะยอมรับอีก……”
“ถ้าฉันยอมรับเขาแล้วละก็ เขาก็คงจะมาพาตัวฉันไปแล้ว!” อยู่ ๆ ซีซีก็พูดขึ้นมา
เตียวเตียวมองไปที่เธอ “พาตัวไปเหรอ?”
“ก็ใช่นะซิ นายไม่เห็นเหรอ? เขากับคุณแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน จะต้องหย่ากันแล้วแน่ ๆ ถ้าฉันยอมรับเขา แล้วเกิดเขารู้ว่าฉันพูดได้อีกละก็ จะต้องมาพาตัวฉันไปจากข้างกายคุณแม่แน่ ฉันจะไม่จากคุณแม่ไปเด็ดขาด!” ท่าทีของซีซีแสดงออกอย่างหนักแน่น
เตียวเตียวเหมือนกับว่าจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว “เพราะฉะนั้นเธอถึงได้ไม่ยอมพูดเหรอ? แล้วก็แกล้งเป็นใบ้ เพื่อให้คนอื่นคิดว่าเธอเป็น……”
ซีซีจ้องมองเขา แล้วฟังออกถึงอาการอะไรเล็ก ๆ “เป็นอะไร?”
“เป็นคนพิการหูหนวกเป็นใบ้!”
“……”
ซีซีจ้องมองเธอ “นายลองพูดอีกครั้งซิ”
เตียวเตียวไม่มีทางพูดหรอก เมื่อรู้สึกถึงอันตรายแล้ว ก็รีบหลบไปข้างหลังอย่างอัตโนมัติ แต่กลับหลบความหูตาว่องไวของซีซีไปไม่ได้ แล้วหมัดเล็ก ๆ ก็ทุบลงมาที่หัวเล็ก ๆ ของเตียวเตียว เจ็บจนเขาร้องตะโกนเสียงดังขึ้นทีหนึ่ง
“เธอนี่เกินไปแล้วนะ! ตีฉันตลอดเลย!” เตียวเตียวกุมหัวเล็ก ๆ เอาไว้แล้วปากจู๋ขึ้นมา
ซีซีกลับพูดว่า “นายนะแหละที่เป็นคนพิการเป็นใบ้ บ้านนายทั้งบ้านเป็นคนพิการเป็นใบ้เลย!”
“ก็ใครใช้ให้เธอไม่พูดล่ะ เป้าหมายของเธอก็เพื่ออย่างนี้ไม่ใช่เหรอ?” เตียวเตียวเถียงกลับ
แต่เธอกลับพูดว่า “ที่ฉันไม่พูดก็จะต้องมีประโยชน์ของการที่ฉันไม่พูด ในเมื่อฉันไม่ไปจากคุณแม่แน่ ใครก็อย่าหวังว่าจะสามารถพาตัวฉันไปจากข้างกายคุณแม่ได้เลย!”
“อืม ฉันก็จะไม่อยากจากคุณน้าไปเหมือนกัน!”
พอพูดมาถึงตรงนี้ เตียวเตียวก็วางมือเล็ก ๆ ลง แล้วนั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง หัวเล็ก ๆ ก้มลงเล็กน้อย เหมือนกับว่ากำลังคิดเรื่องเศร้าใจอะไรอยู่
“คุณน้าเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา เธอดีกับฉันขนาดนี้ ฉันไม่อยากจะจากเธอไปตลอดชีวิตเลย……”
ตอนแรกเตียวเตียวนึกถึงเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมา แล้วในใจก็เศร้าโศก แต่ซีซีกลับจ้องมองเขา แล้วหึเสียงเย็นทีหนึ่ง “พอเถอะนะ! เด็กผู้ชายโตไปก็จะต้องมีเมียแต่งงาน แล้วก็จะลืมแม่ของฉันไปทันทีเลย!”
“……”
เตียวเตียวมองไปที่เธอ “งั้นเธอเองก็จะต้องแต่งงานเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันจะไม่แต่งงานหรอก! คุณแม่ก็ยังไม่แต่งงานเลย ทำไมฉันจะต้องแต่งงานด้วย?”
“ถ้าไม่แต่งงานละก็ แล้วจะคลอดเธอออกมาได้ยังไง?” เตียวเตียวถามออกมาประโยคหนึ่ง
ซีซีอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วดวงตาดวงโต ๆ ก็กะพริบไม่หยุด “ใช่ซิ แล้วคลอดฉันออกมาได้ยังไงกันนะ? นายรู้ไหม?”
“เอ่อ……” มือเล็ก ๆ ของเตียวเตียวเกาหัวเล็กน้อย เค้นสมองคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ได้แต่ส่ายหัวเท่านั้น “มันลึกซึ้งไปหน่อยนะ รอให้ฉันว่าง ๆ แล้วเปิดหนังสือหาคำตอบได้แล้วค่อยมาบอกเธอนะ!”
ซีซีพยักหน้าอย่างเป็นการเป็นงาน “อืม แต่ว่านายจะต้องรับปากกับฉันว่า ถ้าครั้งหน้าถ้าตอนที่ผู้ชายคนนั้นมาอีก นายจะต้องช่วยฉันกันเขาไว้ อย่าให้เขาเอาแต่มาพูดกับฉันนะ!”
“เอ่อ เธอเกลียดเขามากขนาดนี้เลยเหรอ?” เตียวเตียวถามขึ้น
เธอพยักหน้า “ผู้ชายที่แม่ของฉันไม่ชอบ ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน!”
เตียวเตียวกลับขมวดคิ้วขึ้น “เธอรู้ได้ยังไงว่าคุณน้าไม่ชอบเขา?”
“เพราะว่าพวกเขาหย่ากันแล้วนะซิ! ฉันเคยค้นเจอใบหย่าจากข้าวของของแม่มาก่อน แล้วฉันก็เช็กแล้ว มีของสิ่งนั้น ก็หมายความว่าพวกเขาได้หย่ากันแล้ว……”
ฟังซีซีพูดไปแล้ว อยู่ ๆ เตียวเตียวก็เหมือนกับว่าจะเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว แล้วก็หันไปมองเธออย่างอัตโนมัติ “เพราะฉะนั้น เธอรู้ว่าเขาเป็นพ่อของเธอมาตั้งนานแล้วเหรอ?”
ซีซีเงยหน้าขึ้นมา ท่าทางหยิ่งยโสเหมือนอย่างกับเจ้าหญิงองค์เล็ก ๆ
รูปถ่ายบนใบหย่า ถึงแม้ว่าตอนนั้นตอนที่พวกเขาหย่ากันนั้น ได้เซ็นไปแค่หนังสือสัญญาการหย่า ส่วนใบหย่านั้นต่อมาได้มีทนายส่งมอบมาให้ถึงมือของพวกเขา เพราะฉะนั้นรูปถ่ายบนนั้น จึงใช้รูปตอนที่จดทะเบียนสมรสกันไป แต่ว่าขอแค่เพียงเป็นแค่รูปถ่าย ซีซีก็ได้ตั้งใจตรวจเช็กมาก่อนแล้ว
ตั้งแต่ตอนที่กลับประเทศมาแล้วเห็นลี่เฉินซีครั้งแรก ยัยหนูนี่ก็รู้แล้วว่า ผู้ชายคนนี้เป็นพ่อของเธอ
เตียวเตียวมีท่าทางสีหน้าตกตะลึงทั้งหน้า “เธอนี่เจ้าแผนการจริง ๆ เลยนะ!”
“นี่ไม่เรียกว่าเจ้าแผนการ ฉันแค่อยากจะดูแลคุณแม่เท่านั้น……” ซีซีครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วก็ถอนหายใจอย่างเป็นการเป็นงาน และพูดขึ้นว่า “คุณแม่ต้องดูแลฉัน ดูแลบริษัท ดูแลแม่บุญธรรม เธอต้องดูแลคนทั้งหมด แต่กลับไม่มีใครมาดูแลคุณแม่เลย ฉันแค่อยากจะปกป้องเธอ……”
เตียวเตียวเหมือนกับว่าจะได้ยินความหมายลึกซึ้งจากในคำพูดนั้น จึงรีบพูดขึ้นว่า “งั้นรวมฉันไปด้วยคนหนึ่ง ฉันก็จะปกป้องคุณน้าเหมือนกัน!”
“งั้นนายก็จะต้องปกป้องฉันให้ดีก่อน!” ท่าทางของซีซีดูวางอำนาจ
เตียวเตียวจ้องมองเธอ ในท่ามกลางความเบื่อหน่ายก็รู้สึกหมดคำพูดไปด้วย
……
ในเวลาเดียวกัน ที่บ้านใหญ่ตระกูลลี่
หานฉ่ายหลิงแต่งตัวอย่างตั้งอกตั้งใจขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วมายืนต้อนรับลี่เฉินซีที่เพิ่งจะมาถึงบ้านใหญ่อยู่หน้าประตู
ขายาว ๆ ของเขาก้าวยาว เพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็เดินใกล้เข้ามาถึงตรงหน้า แล้วแขนยาว ๆ ก็โอบรอบเอวบางของเธอไว้ทีหนึ่ง และพูดเสียงเบาขึ้นว่า “ทำไมถึงออกมาได้ล่ะ? ไม่หนาวเหรอ?”
“คิดว่าคุณน่าจะมาถึงแล้ว ก็เลยออกมาดูซะหน่อย ไม่หนาวค่ะ” เธอยิ้มอยู่ ร่างกายที่บางระหงซุกเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของเขา
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยท่าทางสนิทสนม เจี่ยงเวินอี๋นั่งอยู่บนโซฟา มองไปแวบหนึ่งเห็นเข้า ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมาเลย
พอเห็นความสัมพันธ์ของลี่เฉินซีและหานฉ่ายหลิงดีกันแบบนี้ เธอก็วางใจได้แล้ว
ทั้งสองคนนั่งลงบนโซฟา แล้วพูดคุยกับเจี่ยงเวินอี๋ไปพักหนึ่ง พอเห็นว่าท้องฟ้ามืดลงแล้ว ถึงได้พูดออกมาว่าจะจากไป
ในตอนที่จะไปนั้น หานฉ่ายหลิงยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ไปคล้องแขนของเจี่ยงเวินอี๋ แล้วพูดเสียงอ่อนหวานว่า “คุณแม่ หมูมาอยู่ที่นี่ตั้งหลายวัน อยู่ ๆ ก็จะมาจากไป ยังไงก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้างนะคะ!”
“ยัยเด็กโง่ ที่นี่เป็นบ้านของเธอ ต่อไปอยากจะกลับมาเมื่อไหร่ก็กลับมาได้เลย!”
พอได้ยินแบบนี้แล้ว หานฉ่ายหลิงก็พูดต่อว่า “งั้นหนูก็ไม่ไปแล้วดีกว่า! อยู่ต่อเป็นเพื่อนคุณแม่ซะหลายวันหน่อยดีกว่า……”
เจี่ยงเวินอี๋ส่ายหน้าเล็กน้อย “ฉ่ายหลิง เธอยังอายุน้อยอยู่ นอกจากงานของบริษัทHSและร้านอาหารแล้ว เธอก็จะต้องอยู่กับลี่เฉินซีให้มาก ๆ หน่อย อย่าเอาเวลาที่มีค่ามากนี้มาสูญเสียไปบนตัวยัยแก่อย่างฉันเลย!”
“คุณแม่ คุณแม่ไม่แก่สักนิดเลยค่ะ! และที่สำคัญหนูก็ชอบอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ จะมาพูดว่าเสียเวลาไปได้ยังไงคะ?”
หานฉ่ายหลิงพูดไปสองสามประโยค พูดได้จนหัวใจของเจี่ยงเวินอี๋เบิกบานใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว จนดึงมือเธอมา แล้วก็ทนทำใจที่จะปล่อยเธอไปไม่ได้จริง ๆ แล้ว
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่นาน จนถึงตอนที่หวางอี้ขับรถมาจอดลงที่ระเบียงทางเดินแล้ว เจี่ยงเวินอี๋ถึงได้ปล่อยหานฉ่ายหลิงขึ้นรถไปอย่างไม่เต็มใจ
แล้วก็จ้องมองหลังรถอยู่นาน จนถึงมองไม่เห็นแล้ว ถึงได้หมุนตัวกลับเข้าบ้านไป
แต่ชั่ววินาทีที่หมุนตัวกลับมานั้น บนใบหน้าที่มีรอยยิ้มดีอกดีใจเมื่อกี้ ก็หายวับไปในชั่วพริบตาเลย สายตาเย็นยะเยือกของเจี่ยงเวินอี๋มองไปที่เลขาหลี่ แล้วถามขึ้นประโยคหนึ่ง “ที่ฉันให้นายไปสืบ สืบได้เรื่องยังไงบ้าง?”
“ครับ นายหญิง สำหรับเรื่องของคุณหานนั้น ผมได้สืบมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่คุณเกือบโดนรถชนเมื่อก่อนหน้านี้ หรือว่าเรื่องที่ไฟไหม้โรงพยาบาลเมื่อตอนหลัง ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเธอทั้งนั้นครับ” เลขาหลี่ตอบไปตามความจริง
เจี่ยงเวินอี๋พยักหน้าเล็กน้อย “อืม ถ้าพูดอย่างนี้ ที่เธอช่วยฉันและเจิ้งเอ๋อไว้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเธอเองวางแผนไว้ละซิ”
“ดูจากสถานการณ์แล้วน่าจะเป็นอย่างนั้นครับ”
ความสงสัยเรื่องหนึ่งที่อยู่ในใจเธอสามารถลบล้างออกไปได้แล้ว แล้วเจี่ยงเวินอี๋ก็มองไปที่เขาอีก “แล้วเรื่องของซีซีล่ะ?”
“สำหรับเรื่องของคุณหนูเล็ก ผมก็สืบมาแล้ว เกือบจะเป็นเมื่อสองปีก่อนอยู่ ๆ เด็กก็ไม่พูดแล้วครับ สาเหตุเหมือนกับว่าจะเจอกับกระทบกระเทือนอย่างหนักอะไรเข้า ก็เลยมีอาการเสียงพูดขาดหายไปครับ” เลขาหลี่พูดขึ้น
เจี่ยงเวินอี๋อึ้งไปเล็กน้อย “อาการเสียงพูดขาดหายไปเหรอ?”
งั้นก็เกือบจะเหมือนกับซูย้าวในตอนนั้นเลยไม่ไหม ก็เป็นยัยใบ้อีกคนหนึ่งแล้วละซิ?
“สำหรับเกิดจากสาเหตุอะไรนั้นไม่อาจรู้ได้ครับ แล้วจะสามารถหายได้เมื่อไหร่นั้นก็แน่นอนครับ แต่ว่าคุณหนูเล็กอายุยังน้อย น่าจะใช้เวลาไม่นานก็สามารถรักษาหายได้แล้วครับ” เลขาหลี่อธิบายไป
เจี่ยงเวินอี๋ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นก็ไม่น่าปล่อยผู้หญิงคนนั้นไปจากบ้านตระกูลลี่ทั้งที่ยังท้องอยู่เลย!”
นี่มันก้าวพลาดไปก้าวหนึ่ง แล้วพลาดไปทุก ๆ ก้าวจริง ๆ!
หลานสาวแท้ ๆ เพียงคนเดียว ยังต้องมากลายเป็นแบบนี้อีก ถ้าหากว่าพูดไม่ได้ทั้งชีวิตละก็ งั้นสำหรับตระกูลลี่แล้ว มันจะไม่กลายเป็นจุดด่างพร้อย ที่ให้คนอื่นมาเอามาหัวเราะได้ตลอดไปเลยเหรอ?
สำหรับปัญหาเรื่องที่จะรีบซีซีกลับมานั้น ดูท่าแล้ว เธอจำเป็นจะต้องคิดวิเคราะห์ใหม่สักหน่อยแล้ว