ณ โรงแรมแอเทนน่า
ทันทีที่ลี่เฉินซีเดินเข้าไปในห้องโถง พนักงานบริการคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาและโค้งคำนับด้วยความเคารพ “ท่านประธานลี่ มารับลูกใช่ไหมครับ?”
ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย เขามาที่นี่เพื่อหาชอลพุซ ลูก?
แต่ลี่เฉินซีก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้ถามอะไรอีกเช่นกัน คนคนนั้นพาเขาเดินตรงเข้าไปด้านหน้าและทั้งสองก็เข้าไปในห้องนั่งเล่นด้านใน บนโซฟาที่ไม่ไกลออกไปนัก ซีซีกำลังนั่งอยู่ด้านบนโดยทั้งสองข้างมีพนักงานสาวสองคน คนหนึ่งเปลือกแอปเปิล อีกคนหนึ่งป้อนน้ำผลไม้เธอ
แต่ว่าเจ้าหนูซีซีก็ทำหน้าตาบึ้งตึงดูไม่มีความสุข จนกระทั่งพบลี่เฉินซีเข้าเจ้าหนูน้อยก็เบิกตากว้างและวิ่งเข้ามากอดเขาอย่างไม่ครุ่นคิด เธอเดินไปแค่สองสามเก้ามาถึงตัวเขา “คุณพ่อคะ!”
ลี่เฉินซีตกตะลึงไปชั่วครู่ นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ลูกสาวเรียกเขาว่าพ่อ
ซีซีเข้ามากอดขาของเขาเอาไว้แน่น น้ำตาไหลออกมาอาบแก้มเล็กๆของเจ้าหนูน้อยโดยไม่รู้ตัว “คุณพ่อขา ช่วยคุณแม่เร็วๆเข้า คุณแม่ถูกคนร้ายพาตัวไปแล้ว!”
ตอนที่เจ้าหนูน้อยพูดขึ้น ผู้เป็นพ่อดูเหมือนจะมีลางสังหรณ์นี้มาก่อน จึงได้ส่งสายตาไปให้พนักงานสาวทั้งสองคนนั้น จากนั้นทุกคนก็พากันออกไปจากห้องโถง
เหลือเพียงแค่ลี่เฉินซีและลูกสาวแค่สองคน เขาย่อตัวลงมาอยู่ตรงหน้าลูกสาวแล้วยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาบนแก้มของเธอเบาๆ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ครับ ค่อยๆเล่าให้คุณพ่อฟังนะได้ไหม?”
ซีซีพยักหน้า แต่เธออาจจะอารมณ์แปรปรวนมากเกินไปจนทำให้หายใจไม่ค่อยออก หลังจากที่เขาปลอบใจเธอสักครู่แล้วเจ้าหนูน้อยก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม ดวงตาของทั้งสองมองประสานกัน น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง
ลี่เฉินซีเจ็บปวดใจยิ่งนัก และรีบดึงลูกสาวเข้ามากอดเอาไว้ พยายามเกลี้ยกล่อมเธอ ลูกพ่อไม่ร้องไห้นะครับ พ่อผิดเองที่มาช้า……
ซีซีพยายามสูดจมูกเล็กๆของเธอก่อนจะพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “พวกเขาพาแม่ไปแล้ว หนูไม่รู้ว่าไปที่ไหน ก่อนที่แม่จะจากไปบอกให้หนูรออยู่ที่นี่ บอกว่าพ่อจะมารับหนูไปเร็วๆนี้……”
สำหรับเด็กตัวเล็กๆที่ต้องมาเผชิญสถานการณ์แบบนี้แม้จะเป็นเวลาไม่นาน แต่ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากฝันร้าย คงหลีกเลี่ยงให้เธอไม่ตกใจไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้อารมณ์ของเธอไม่คงที่นัก คำพูดที่พูดออกมาก็ติดๆขัดๆ
แต่จากสถานการณ์ทั่วไปแล้วลี่เฉินซีพอจะฟังเข้าใจว่าซูย้าวถูกชอลพุซนำตัวไปแน่นอน
ส่วนจะพาไปที่ไหนนั้นเจ้าหนูน้อยไม่รู้ เขาเองก็ยังไม่รู้ตอนนี้
เขาพยายามปลอบโยนลูกสาวแล้วอุ้มเจ้าหนูน้อยขึ้นรถไป กำชับให้หวางอี้ส่งกลับบ้านจากนั้นตนก็เรียกแท็กซี่มาคันหนึ่งตรงไปที่บริษัทลี่ซื่อ
ระหว่างทาง เขาพยายามโทรศัพท์ติดต่อกับซูย้าวนับครั้งไม่ถ้วน แต่ในทุกครั้งอีกฝ่ายหนึ่งปลายสายก็จะปรากฏข้อความตอบกลับว่าไม่มีใครรับสาย จนกระทั่งมาถึงที่บริษัท ลี่เฉินซีก็ตรงขึ้นไปที่แผนกเทคโนโลยีชั้นบน ก่อนจะนำหมายเลขโทรศัพท์ของซูย้าวไปให้กับผู้อำนวยการและสั่งให้ค้นหาตำแหน่งอย่างแม่นยำ
ด้านของพนักงานฝ่ายเทคโนโลยีนั้นก็กำลังยุ่งอยู่ ขณะนั้นเองโทรศัพท์มือถือของลี่เฉินซีก็ดังขึ้น
เดิมที่เขาคิดว่าซูย้าวโทรมาหาเขา แต่เมื่อมองไปที่หน้าจอก็พบว่าเป็นสายจากที่บ้าน เขาจึงได้รับสายขึ้นยังไม่ทันจะพูดอะไรน้ำเสียงเล็กๆอันเฉียบคมของซีซีก็ดังขึ้นมาว่า “คุณพ่อคะ หนูลืมบอกไป ก่อนที่แม่จะจากไปให้หนูบอกกับพ่อว่า แม่เชื่อพ่อ!”
ลี่เฉินซีตะลึงชั่วครู่ ดวงตาสีดำของเขาหดตัวลง “ว่าอย่างไรนะ?”
ซีซีเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก เธอเพียงทำหน้าที่ถ่ายทอดสิ่งที่ซูย้าวพูดเอาไว้ทุกถ้อยคำว่า “ก่อนที่แม้จะจากไปแม่บอกให้หนูบอกกับพ่อว่า แม่เชื่อใจพ่อ บอกว่าพ่ออย่าเข้าใจผิดแค่นี้ หนูเองก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร”
เธอเชื่อเขาอย่างนั้นเหรอ?
วินาทีนั้น ลี่เฉินซีรู้สึกว่าเลือดในร่างกายของเขาแทบจะแข็งตัวทันที บริเวณกระดูกข้อต่อทุกข้อในร่างกายดูเหมือนกับเป็นสนิมจับเขรอะ พื้นดินที่ใต้เท้าดูแข็งขึ้นมาอย่างฉับพลัน หูของเขาแทบจะระเบิดเหมือนมีสายฟ้าร้องกึกก้องดังกังวาน
หลังจากที่ค่อยๆได้สติกลับคืนมา มือของลี่เฉินซีก็กำโทรศัพท์เอาไว้แน่น สายตาสีดำเข้มของเขาเต็มไปด้วยคลื่น ซูย้าว เธอใช้วิธีนี้เพื่อแลกกับตัวลูกสาวมา!
เธอเลือกที่จะทะเลาะกับเขา และแสดงละครหลอกลวงอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วเธอเดาได้ตั้งแต่แรกว่าตัวเธอเองจึงจะเป็นจุดประสงค์ที่ชอลพุซต้องการอย่างแท้จริง
เธอใช้ตัวเองแลกความปลอดภัยของเตียวเตียวและซีซี
จากนั้นก็ทำเป็นทะเลาะวิวาทกับเขาเพื่อที่จะยุติความสัมพันธ์ ให้เขาได้ปลอดภัย……
ผู้หญิงคนนี้นี่!
ใบหน้าของลี่เฉินซีเคร่งขรึมลงทันที หมอกควันค่อยๆปกคลุมลามไปทั่ว เขาเองก็บอกไม่ได้ว่าตนเองโกรธหรืออึดอัดใจกันแน่ รู้เพียงว่าเปลวไฟที่ไม่เคยเป็นมาก่อนกำลังลุกไหม้อยู่ในทรวงอกเขา มันแทบจะระเบิดออกมาแผดเผารุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนอวัยวะด้านในแทบจะไหม้!
แม้จะเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เธอก็ไม่เคยจะคิดถึงเขาเป็นอันดับแรก แต่กลับตัดสินใจเพียงลำพังแม้จะแลกด้วยตัวเธอเองก็ยอม!
ซูย้าว!! เยี่ยม! เยี่ยมจริงๆ!
ลี่เฉินซียกมือขึ้นดึงเนกไทออกโดยท่าทางไร้อารมณ์ความโมโหของเขาแผ่กระจายไปทั่ว ความอึดอัด ความโกรธความโมโหความเจ็บปวดทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ทำให้เขาอยากจะทำลายโลกนี้ทิ้งไปทุกวินาที
โทรศัพท์ยังไม่ได้ถูกวางสาย แต่ซีซียังไม่ทันที่จะรอคำตอบอะไรจากเขา เธอก็พูดขึ้นมาอีกว่า “พ่อค่ะ พ่อจะพาแม่กลับมาได้ใช่ไหม?”
ลี่เฉินซีกะพริบตาอันเย็นชาของเขาขึ้นเล็กน้อย เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าลูกสาวยังถือสายรออยู่ เขาทำได้เพียงถอนหายใจเขาและพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติเท่าที่จะเป็นได้ “ครับ พ่อจะพาแม่กลับมาแน่ๆ ซีซีเป็นเด็กดีอยู่ที่บ้านกับพี่และคุณย่าเข้าใจไหมครับ?”
“ค่ะ” ซีซีรีบตอบรับทันควัน แต่เธอก็กำชับเขาอยู่ตลอดเวลาว่า “จะต้องพาแม่กลับมาให้ได้นะคะ หนูต้องการแม่!”
เขารับคำเธอก่อนจะวางสายลง ผู้อำนวยการเดินเข้ามาข้างๆแล้วรายงานว่า “ท่านประธานลี่ครับ นี่คือข้อมูลตำแหน่งที่ติดตามได้จากหมายเลขโทรศัพท์ อยู่บริเวณใกล้สะพานข้ามทะเลชิงเจียงในเขตตะวันตกของเมือง ส่วนอย่างอื่นแล้วไม่สามารถตรวจพบอะไรอีกเลย”
ลี่เฉินซีชำเลืองตาไปมองอย่างเย็นชา เมื่อเขาหันหลังกลับมาก็ได้ยื่นหมายเลขโทรศัพท์ของชอลพุซให้ผู้อำนวยการแล้วพูดว่า “ช่วยตรวจสอบหมายเลขนี้ให้ผมอีกด้วย”
หลังออกมาจากบริษัท เขาก็ได้ขับรถไปยังสะพานข้ามทะเลชิงเจียงในเขตตะวันตกของเมือง ในขณะที่กำลังจะไปถึงเขาก็ได้รับข้อความจากผู้อำนวยการ
เป็นข้อมูลการติดตามตำแหน่งของหมายเลขโทรศัพท์เมื่อสักครู่ สถานที่ที่ระบุนั้นแสดงให้เห็นว่าอยู่ไกลกับสะพานข้ามทะเลนี้
สะพานข้ามทะเลที่นี่มีประวัติความเป็นมายาวนานนับร้อยปี ผ่านความผันผวนมาเนิ่นนานและค่อนข้างทรุดโทรม โดยอยู่ระหว่างการปรับปรุงสร้างใหม่ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา บัดนี้ยังไม่ได้เปิดให้ใครสัญจร
นอกจากนี้โครงการปรับปรุงและก่อสร้างทั้งหมดนี้ลงทุนโดยบริษัทลี่ซื่อ รถของลี่เฉินซีจึงได้จอดบริเวณใกล้ๆนั้นและเดินลงจากรถไปที่สะพาน
ที่จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องได้รับข้อมูลมาจากผู้จัดการก็ได้ เนื่องจากชอลพุซอยู่บริเวณใกล้เคียงนี้โดยไม่ได้ปิดบังอะไร และไม่ได้คิดจะหลบหนี เขายืนอยู่ตรงกลางสะพานอย่างเปิดเผย ร่างสง่างามสูงส่งยืนอยู่ด้านข้าง มองไปยังอาคารสูงนี้
ส่วนด้านหลังของเขาไม่ไกลออกไปนักมีรถส่วนตัวสีดำจอดอยู่ และรถตู้สีเทาหนึ่งคัน เนื่องจากการสะท้อนแสงของหน้าต่างรถจึงทำให้มองไม่ชัดว่าด้านในมีคนกี่คน
เมื่อลี่เฉินซีเดินเข้ามาใกล้ๆ ชอลพุซก็ยังไม่หันกลับมาแต่พูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยไม่เร่งรีบราวกับลมพัดใบไม้ปลิว “เมืองAพัฒนาไปเร็วมาก เพียงแค่เวลาสิบกว่าปีเปลี่ยนแปลงไปจนทำให้โลกตะลึง แม้แต่เมืองเก่าตรงนี้ ก็แทบจะกลายเป็นมหานครแล้ว”
ลี่เฉินซีมองไปที่เขาแล้วหรี่ตาลงมอง “กำลังนึกถึงวัยเด็กอยู่อย่างนั้นเหรอ?”
เพียงประโยคสั้นๆง่ายๆ แต่กลับสื่อความหมายได้มากมาย
ไม่ใช่เพราะลี่เฉินซีรู้จักเขาหรือเข้าใจเขา แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ หวางอี้ได้บอกข้อมูลทั่วไปของชอลพุซให้แก่เขาฟัง
เขาไม่ใช่ชาวต่างชาติเต็มตัว พูดได้ว่าเป็นลูกครึ่งจีนและฝรั่ง แม่ของเขาเป็นคนเมืองA เขาอาศัยอยู่ที่เมืองเขตตะวันตกของเมืองในตอนเด็กๆ ต่อจากนั้นเกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้นจึงได้จากไป
เรื่องนี้ดูเหมือนชอลพุซจะเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาจึงไม่ประหลาดใจสักเท่าไหร่ สายตาคู่นั้นยังคงมองออกไปด้านหน้า ก่อนจะยิ้มเบาๆตอบกลับว่า “ใช่ครับ จะไม่ให้ผมคิดถึงได้อย่างไร? สิ่งเหล่านั้นมีความทรงจำอยู่มากมายเหลือเกิน!”
ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบพูดภาษาอังกฤษเท่าไหร่นัก ต่อมาจึงได้พูดภาษาจีน และภาษาที่เขาพูดออกมานั้นเป็นจริงกลางแมนดารินมาตรฐานโดยไม่มีสำเนียงท้องถิ่นใดๆทั้งสิ้น ไม่สามารถจับเท็จเขาได้เลย
“ประธานลี่ครับ โบราณว่า คนเราเมื่อแรกเกิดนั้นสันดานดี คุณว่าจริงไหม?”
ชอลพุซพูดพลางหันหลังกลับมาเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นจ้องมาที่เขาด้วยความเย็นชา น่ากลัวเล็กน้อย ดูใบหน้านั้นไร้ซึ่งความปรานี แต่กลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น ให้ความรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก