“ฉันถามแกอยู่! พูดออกมาสิ!”
เมื่อประธานหลี่เห็นว่าเซียวไน่นิ่งเงียบไปเช่นนั้น เขาก็โมโหและโกรธจัดจะตบไปที่ใบหน้าของเธออีกครั้งหนึ่ง แต่กลับถูกบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านข้างรั้งเอาไว้
บอดี้การ์ดคนนั้นก้าวเข้าไปหาเขาแล้วกระซิบว่า “ประธานหลี่ครับ ถ้าผู้หญิงคนนี้รู้จักกับประธานเจียงจริงๆ และไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแบบธรรมดากับประธานเจียงละก็ พวกเราไม่ควรจะไปทำให้ประธานเจียงขัดใจนะครับ”
ที่จริงแล้วประธานหลี่เองก็กลัวเรื่องนี้มากเช่นกัน เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในเมืองBแห่งหลิ่งโจวนี้ คนที่ไม่ควรจะไปยั่วยุมากที่สุดมีทั้งหมดสองคน คือเจียงจี้เซิงจากบริษัทเจียงหย่วน และลี่เฉินซีจากลี่ซื่อ
ชายหนุ่มสองคนนี้เปรียบกับตำนานทางด้านธุรกิจ ไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถทำให้ขุ่นเคืองใจได้ง่ายๆ มิเช่นนั้นอย่าว่าแต่ธุรกิจเลยแม้แต่ชีวิตก็คงจะรักษาไว้ยาก
ประธานหลี่สายตาว่อกแว่ก ก่อนจะเอี้ยวตัวสลัดบอดี้การ์ดออกแล้วปล่อยผมยาวของเซียวไน่ที่จับไว้ในมือ “แกรู้จักจี้เซิงจริงๆ เหรอ แกชื่ออะไร?”
เซียวไน่จ้องมองไปที่เขา เธอกัดริมฝีปากเอาไว้แน่นดูเหมือนกับกำลังงุนงง เธอไม่รู้ว่าควรจะบอกไปว่ารู้จักหรือไม่ และไม่รู้ว่าควรจะปิดบังอย่างไร
เนื่องจากว่าเจียงจี้เซิงไม่ใช่คนดีอะไรนัก หลายปีมานี้เขายั่วยุทำให้มีศัตรูมากมาย หากว่าเธอบอกว่ารู้จักแล้วคนพวกนี้จัดการกับเธอจะทำยังไงล่ะ?
ตอนนี้เซียวไน่เป็นกังวลใจมาก จิตใจของเธอตุ้มๆ ต่อมๆ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือแกล้งทำเป็นหูหนวกไม่ได้ยินและนิ่งเงียบ
ซูย้าวเห็นท่าทางลังเลของเธอ แต่บัดนี้สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือพยายามแสดงตัวตนออกมา บางทีอาจจะบรรเทาสถานการณ์คับขันเช่นนี้ได้
เธอสูดลมหายใจเข้าแล้วรีบพูดว่า “รู้ไหมว่าทำไมDouble Aceกรุ๊ปถึงชื่อว่าDouble Ace ในเมื่อพวกแกทุกคนอยู่ในเครือข่ายของDouble Aceกรุ๊ป และเป็นผู้รับผิดชอบ ก็คงจะเคยได้ยินมาสินะว่าประธานอานมีอยู่ทั้งหมดสองคน
“นอกจากอานเจียเย้นที่พวกแกเกรงกลัวแล้วนั้น ยังมีประธานอานอีกคนหนึ่งนั่นก็คืออานหว่านชิง!”
เธอหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นสายตาก้มลงไปมองโทรศัพท์มือถือของเธอที่ถูกโยนทิ้งออกไปไม่ไกลนักแล้วพูดว่า “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรหาอานเจียเย้นแล้วพวกแกจะรู้……”
ซูย้าวยังไม่ทันจะพูดจบ จู่ๆ ประธานหลี่ก็เตะเข้าที่ช่องท้องของเธอ ความเจ็บปวดนั้นทวีคูณจนทำให้เธอพูดไม่ออกสักคำ
“พูดเรื่องไร้สาระยืดเยื้อทำไม? ประธานอานสองคนสามคนอะไรกันบ้าบอไปแล้ว!” ความโมโหของประธานหลี่ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เขายังรู้สึกงงงวยจึงได้หันไปทางซูย้าวที่ถูกถีบจนล้มลง “เศษสวะ นังผู้หญิงนี่กล้าเข้ามาในเขตของฉันแล้วยังพูดจาไร้สาระเรื่องมาก!”
“อีกเดี๋ยวฉันจะตัดลิ้นแกออกก่อนให้เป็นใบ้ไปเสีย แม่งเอ้ยพูดมากจริงๆ รำคาญฉิบหาย!”
ประธานหลี่โมโหมากจนอยากจะเตะเธอเข้าอีกครั้งหนึ่ง แต่บังเอิญเหลือเกินที่โทรศัพท์ซึ่งถูกโยนไปที่พื้นดังขึ้นอีก
เสียงเรียกเข้าดังรบกวนสมาธิของประธานหลี่ เขาโมโหสุดขีดและเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอกะพริบไม่ขาดสายเขาก็อดไม่ได้ที่จะรับสายขึ้นแล้วพูดว่า
“แม่งเอ้ย! แกเป็นผัวของนังนี่ใช่ไหม? ทำไมไม่ดูแลเมียแกให้ดีๆ ออกมาวิ่งเพ่นพ่านกัดคนอื่นไปทั่ว อยากตายมากเหลือเกินหรือไง?”
ประธานหลี่สบถออกมาด้วยใบหน้าอันดุร้าย
ที่ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ ว่า “อืม คงจะตายเหลือเกินแล้ว”
จากนั้นไม่รอให้ประธานหลี่พูดอะไรออกมา เขาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ฉันให้เวลาแกหนึ่งวินาทีเอาโทรศัพท์ไปให้เธอไม่อย่างนั้นคนที่อยากจะตายคงจะเป็นแก”
ประธานหลี่ชะงักลงตกตะลึง เขากำลังจะตะโกนด่าทอออกมา คาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะพูดเสริมขึ้นทันทีว่า “หลี่เหว่ยเถียน ฉันพูดจริงจัง เอาโทรศัพท์ไปให้เธอ”
น้ำเสียงที่บางเบาและเชื่องช้ากลับให้ความรู้สึกเย็นชาน่าเกรงขามอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ดูเหมือนมีความพินาศซ่อนอยู่ท่ามกลางความแข็งแกร่งนั้น
วินาทีนี้ประธานหลี่อยากจะด่าออกมาก็พูดไม่ออก เนื่องจากเขากำลังตกตะลึงที่อีกฝ่ายหนึ่งรู้ชื่อจริงของเขา
หลังจากลังเลอยู่สักพัก เขาก็ตัดสินใจที่จะทำตามความกลัวในหัวใจที่เกิดขึ้น ด้วยการเดินออกไปหยุดอยู่ตรงหน้าของซูย้าวดึงเธอขึ้นมาแล้วเอาโทรศัพท์แนบไว้ที่หู
“ได้รับบาดเจ็บเหรอครับ?” อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ น้ำเสียงอันต่ำทุ้มแต่ดึงดูดดุจแม่เหล็ก ช่างมีเสน่ห์เหลือเกินไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ซูย้าวขมวดคิ้วเข้าหากัน เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาได้แต่ถอนหายใจว่า “……ฉันไม่เป็นไร”
“ต้องการให้ผมช่วยไหม?” เขาถาม
เธอลังเลอยู่สักพัก หากว่าขอความช่วยเหลือจากลี่เฉินซีก็คงจะจัดการได้เป็นแน่ แต่ถึงอย่างไรเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นแล้วในที่นี้คาดว่าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน อานเจียเย้นก็คงจะรู้เรื่องและมีคนไปรายงานเขา
อีกทั้งหากว่าลี่เฉินซีออกหน้าด้วยตนเอง เขาคงจะเอ่ยถามถึงเหตุผลในการทำอย่างแน่นอน และจะถามอย่างต่อเนื่องถ้าเธอไม่บอก หรือไม่อธิบายให้เขาฟังอย่างละเอียด เธอไม่อยากจะลากเขาลงมาด้วย ดังนั้น……
หัวใจของเธออ่อนแรง แต่ก็พยายามสูดลมหายใจเข้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ”
ชายผู้นั้นไม่ได้ให้โอกาสเธอรีรออีกต่อไป เขาตัดสายลงอย่างรวดเร็ว
ซูย้าวตกตะลึง ผู้ชายคนนี้นี่! พอเธอบอกว่าไม่ต้องก็วางสายไปง่ายๆ อย่างงั้นเหรอ?
หึๆ ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย ลี่เฉินซีคุณนี่มันไร้ความรู้สึกจริงๆ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งบ่นเขา ซูย้าวพยายามดิ้นรนผละออกจากโทรศัพท์มือถือที่แนบอยู่ตรงแก้ม สายตามองไปที่ประธานหลี่อีกครั้งหนึ่ง “ให้ฉันติดต่อกับอานเจียเย้น ฉันจะบอกเป็นครั้งสุดท้าย”
“ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ฉันคงไม่รับประกัน”
เห็นได้ชัดว่าการข่มขู่แบบนี้ไร้ประโยชน์มาก มันนำพาซึ่งหมัดและความโกรธของประธานหลี่ ซูย้าวถูกเขาเตะเขาอีกครั้งจนล้มลงที่พื้น เซียวไน่ทนไม่ได้อีกต่อไปเธอจึงตะโกนออกมาเสียงดังว่า “พอเถอะพอได้แล้ว ฉันรู้จักกับเจียงจี้เซิง!”
ประโยคนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าคำพูดที่ออกมาจากปากของซูย้าวเมื่อสักครู่มาก ประธานหลี่หยุดลงทันใด เขายับยั้งการกระทำอันทารุณของตนแล้วหันไปทางเซียวไน่ถามว่า “แกรู้จักกับเจียงจี้เซิงจริงเหรอ? แกชื่ออะไร? เป็นอะไรกับเขา?”
“ฉันชื่อเซียวไน่ เป็น……ฉันเป็น……”
เซียวไน่พูดไม่ออก แม้เธอไม่อยากจะยอมรับถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างทั้งสองคน แต่ตอนนี้สถานการณ์บีบบังคับ เธอไม่อาจจะไปคำนึงถึงเรื่องอื่นได้มากมาย “ฉันเป็นแม่ของลูกเขา นับว่าเป็นแฟนเขาก็ได้”
“อ้อ” ประธานหลี่อุทานออกมาเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกับผู้ที่มีตัวตนสูงส่งแบบนี้ หลังจากตั้งสติขึ้นมาได้เขาก็รีบแก้มัดให้กับเซียวไน่และเชิญเธอนั่ง
เซียวไน่ยังไม่กล้าขยับ เธอต้องการจะไปดูซูย้าว แต่กลับถูกบอดี้การ์ดรั้งเอาไว้ ประธานหลี่พูดขึ้นว่า “เอานางสารเลวนี่ออกไป ส่งให้กับเจ้าสวี่!”
เมื่อบอดี้การ์ดได้ยินคำสั่งเช่นนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟังแล้วลากซูย้าวเดินออกไป
เซียวไน่ตกใจรีบวิ่งเข้าไปอย่างตื่นเต้น “ไม่ได้นะ เธอเป็นเพื่อนของฉัน พวกคุณปล่อยเธอไปเดี๋ยวนี้!”
“คุณเซียวนี่คุณ……”
ประธานหลี่กำลังจะพูดอะไรออกมาบางอย่าง แต่โทรศัพท์ที่อยู่บนพื้นก็ดังขึ้นอีกแล้ว บอดี้การ์ดมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์แล้วหยิบขึ้นมาให้ประธานหลี่
เขาโมโหเสียจนอยากจะถีบคนในสาย ที่หน้าผากเต็มไปด้วยเส้นเลือดแข็งเกร็ง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วตะโกนว่า “แม่งเอ้ยมึงเป็นใครกันแน่วะ?”
ลี่เฉินซีหัวเราะออกมาเบาๆ และพูดว่า “ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ เอาโทรศัพท์ให้เธอ”
ประธานหลี่สูดลมหายใจเข้าอย่างโกรธเคืองเขาอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือทิ้งจริง แต่บอดี้การ์ดที่อยู่ด้านข้างเข้ามาห้ามเอาไว้ ส่งสายตาเคร่งขรึมเป็นความหมายให้เขาลองคิดทบทวนดู
ดังนั้นจากที่ครุ่นคิดดูแล้วประธานหลี่ก็ตัดสินใจวางโทรศัพท์ไปที่ข้างหูของซูย้าว ระหว่างนั้นน้ำเสียงของลี่เฉินซีอันลึกล้ำก็ดังขึ้นอีกครั้งว่า “ที่รักครับ ผมจะถามคุณเป็นครั้งสุดท้ายต้องการให้ผมช่วยไหม?”
สถานการณ์เป็นไปเช่นนี้แล้วซูย้าวจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?
ที่จริงแล้วเธอสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ถ้าเธอบอกว่าเธอเป็นใคร หรือเธอเพียงโทรศัพท์ห้าอานเจียเย้นก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยง่าย แต่ทว่าเธอกลับมาเจอเข้ากับหลี่เหว่ยเถียนผู้โง่เขลาจนสุดขีด และเห็นว่าตอนนี้เธอแทบจะช่วยตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้วจึงทำได้เพียงรีบพูดอย่างกังวลใจว่า “ค่ะ ฉันอยู่ที่……”
พูดยังไม่ทันขาดคำน้ำเสียงของชายหนุ่มก็แทรกขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “เรียกผมว่าสามีสิ!”