หลิวเหมยคิดได้แล้ว
พี่สะใภ้พูดถูก สภาพแวดล้อมที่หม่าลุ่ยโตมาได้หล่อหลอมทัศนคติของเขาให้เป็นแบบนี้ และเธอก็เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากเขา ตอนจบอันน่าเศร้าของหนุ่มฟีนิกซ์กับสาวนกยูงจริงๆแล้วเป็นแค่เรื่องทัศนคติที่ไม่ตรงกันเท่านั้น เขาไม่ได้ผิดอะไร เพราะเกิดและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้นตั้งแต่แรก จะผิดก็ผิดที่เธอไม่ควรไปคบกับเขา
หม่าลุ่ยคิดว่าตัวเองได้ยินผิด เขามองหลิวเหมยอย่างไม่เชื่อสายตา หลิวเหมยพูดอย่างนุ่มนวล
“พวกเราทัศนคติไม่ตรงกัน อย่าเสียเวลากันอีกต่อไปเลย”
“ทำไมคุณมาบอกเลิก หรือเพราะไอ้เตี้ยสี่ตานั่น อวี๋หลิวเหมย นึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้” สีหน้าของหม่าลุ่ยเย็นชาขึ้นมาทันที
สายตาที่มองเธอเริ่มดูห่างเหิน
อยู่ๆหลิวเหมยก็รู้สึกเหนื่อย
พี่สะใภ้พูดถึงนิสัยของเขาได้แม่นจริงๆ เขาเป็นผู้ชายที่มีความทะนงตนสูง เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง เขาจะเหยียบย่ำผู้หญิงข้างกายโดยไม่รู้ตัวเพื่อยกตนให้สูงขึ้น ผู้ชายที่ยิ่งไม่มีความมั่นใจยิ่งเป็นแบบนี้ง่าย เพราะผู้ชายที่มีความสามารถอย่างเช่นอวี๋หมิงหลางล้วนใช้เรื่องการงานมาเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเอง พอกลับถึงบ้านก็จะให้เกียรติภรรยาตัวเองมาก
ไม่ใช่แค่หยิ่งในศักดิ์ศรี ยังเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่อีกต่างหาก เรื่องที่เขาไม่ชอบก็จะห้ามเธอทำ ความชอบของเธอรวมถึงการแต่งตัวล้วนต้องทำตามที่เขาสั่ง ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นคนก้าวร้าว ไม่เชื่อฟัง
และจุดที่น่ากลัวกว่า ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนไม่ชอบในตัวหม่าลุ่ยที่สุด ผู้ชายที่มีนิสัยแบบนี้มักจะอ่อนไหว ขี้ระแวง หรือที่เรียกกันว่าใจแคบนั่นเอง
ไม่เคยได้อยู่ในสภาพแวดล้อมดีๆตั้งแต่เด็ก ดังนั้นถึงได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ อย่างเช่นตอนนี้ที่หม่าลุ่ยสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างหลิวเหมยกับเลี่ยวฟู่กุ้ย สีหน้าขุ่นเคืองแบบนี้ได้ตัดสิน ‘ความผิด’ ให้หลิวเหมยไปแล้ว ไม่แม้แต่จะให้โอกาสอธิบาย
คำพูดต่างๆที่เสี่ยวเชี่ยนเคยล้างสมองหลิวเหมย อยู่ๆก็ชัดเจนขึ้นมา
“ฉันกับพี่ฟู่กุ้ยไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด ก่อนหน้านี้เราเคยเจอกันไม่กี่ครั้ง วันนี้เขาเห็นฉันเดินไม่สะดวกถึงได้คอยมาอยู่ข้างๆ ฉันยังแปลกใจอยู่เลยว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนฉันกลับไม่สังเกตเห็น”
พอมองผู้ชายคนนี้ในตอนนี้กลับไม่รู้สึกอะไรด้วยเลยสักนิด หลังจากได้บอกเลิกออกไปก็มีแต่ความสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“ผมเคยบอกคุณแล้วว่าอย่าใส่—”
“คนที่ฉันต้องการคือผู้ชายที่สามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับฉันได้ อย่างน้อยก็ยื่นมือมาในตอนที่ฉันลำบาก ไม่ใช่พอเห็นฉันโชคร้ายก็ซ้ำเติมมองฉันด้วยสีสายตาตำหนิ ไร้ประโยชน์ ไม่มีค่าสำหรับฉันเลยสักนิด และฉันก็ไม่ต้องการให้คุณมาบงการเรื่องการแต่งตัวของฉันด้วย”
หม่าลุ่ยมองหลิวเหมยอย่างอึ้งๆ เขานึกไม่ถึงว่าผู้หญิงที่ปกติเชื่อฟังทุกอย่างจะกลายเป็นแบบนี้
“คุณมาทะเลาะกับผมเพื่อผู้ชายคนนั้นเหรอ” เขานึกถึงเลี่ยวฟู่กุ้ยทันที
“ดูสิ คุณมันเป็นผู้ชายคิดเล็กคิดน้อยขี้ระแวง แถมยังชอบคิดไปเอง ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรคุณก็โยงไปหาสิ่งที่คุณคิด ฉันไม่อยากอธิบายกับคุณอีกไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม เพราะคุณไม่มีทางฟัง ถ้าคุณรู้จักเคารพความรู้สึกของคนอื่นบ้าง บางทีพวกเราอาจไม่กลายเป็นแบบวันนี้”
“คุณหมายความว่าไง” หม่าลุ่ยมองหลิวเหมย เขาแอบสังหรณ์ใจไม่ดี หลิวเหมยไม่เคยพูดจากับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนี้ เขามองเวลาแล้วตัดสินใจหยุดการทะเลาะไว้ก่อน เดี๋ยวกลับไปค่อยสั่งสอนเธอ
“กลับเข้าไปเถอะ เรื่องที่คุณบอกเลิกผมจะไม่เก็บเอามาใส่ใจ ออกมานานเดี๋ยวไม่ได้บ้านที่ถูกใจ”
“ไม่ต้องเลือกแล้ว ฉันตัดสินใจล้มเลิกแล้ว หม่าลุ่ย พี่สะใภ้สอนฉันมา ฝนตกฟ้าร้องฟ้าผ่าล้วนเป็นความเมตตาจากสวรรค์ ถึงคุณจะไม่เคยมอบความทรงจำดีๆให้กับฉัน แถมช่วงสองสามวันนี้ครอบครัวคุณยังทำให้ฉันรู้สึกแย่ แต่ฉันก็ต้องขอบคุณที่ทำให้ฉันได้เติบโต ทำให้ฉันได้รู้ว่าคนแบบไหนไม่เหมาะกับฉัน พวกเราเลิกกันเถอะ”
พอพูดออกไปแล้วหลิวเหมยรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
รู้สึกเบาสบายไปทั้งตัว ที่แท้เธอก็ควรทำแบบนี้
เสี่ยวเชี่ยนยืนอยู่ตรงประตูที่อยู่ห่างไม่ไกล เธอสะพายกระเป๋าหลุยส์วิตตองใบเล็ก ใบหน้าผุดรอยยิ้มเหมือนได้ชัยชนะ
พี่ใหญ่ยืนอยู่ข้างเธอ มองสองคนนั้นที่อยู่ไม่ไกล
“ต้องเธอจริงๆสินะถึงจะมีวิธี ในที่สุดเด็กคนนี้ก็ตาสว่าง”
ถึงจะไม่ได้ยินว่าหลิวเหมยกับหม่าลุ่ยคุยอะไรกัน แต่ดูจากสีหน้าของหม่าลุ่ยแล้ว หลิวเหมยคงบอกเลิก
ตอนนี้พี่ใหญ่อยากบอกว่า เสี่ยวเชี่ยนทำดีมาก
เสี่ยวเชี่ยน หึ ออกมาอย่างได้ใจ “ผู้หญิงบ้านเรา สมควรเป็นฝ่ายทิ้งผู้ชาย เดิมหลิวเหมยก็ควรเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนอยู่แล้ว”
คราวก่อนหม่าลุ่ยเป็นฝ่ายบอกเลิก เสี่ยวเชี่ยนไม่พอใจมาก
น้องสาวของเธอเป็นเด็กใสซื่อ แต่หลิวเหมยมีครอบครัวที่แข็งแกร่ง รังแกหลิวเหมยก็เท่ากับตบหน้าคนตระกูลอวี๋
ครั้งนี้การที่ให้หลิวเหมยมาบอกเลิก จุดประสงค์ของเสี่ยวเชี่ยนไม่ใช่แค่มาเอาคืนหม่าลุ่ย สิ่งสำคัญกว่าก็คืออยากให้หลิวเหมยโตขึ้น การสั่งสอนที่ดีที่สุดของครอบครัวที่มีให้เด็กผู้หญิงในบ้านไม่ใช่แค่การปกป้องอย่างไร้เงื่อนไข แต่ยังต้องสอนให้แยกแยะผู้ชายเลวๆเป็น เท่ากับว่าได้ฉีดวัคซีนคุ้มกันให้หลิวเหมยแล้ว ต่อไปจะได้รู้ทันผู้ชายเลวๆ
“คุณยอมทิ้งความรู้สึกของเราที่คบกันหลายปีเพื่อไอ้สี่ตานั่นเลยเหรอ อวี๋หลิวเหมย คุณมันคนหลอกลวง คุณก็เหมือนกับพี่สะใภ้คุณนั่นแหละที่ไม่ใช่ผู้หญิงดีอะไร”
หม่าลุ่ยเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เขาพูดเสียงดังมาก ดังถึงขนาดที่ว่าเสี่ยวเชี่ยนกับพี่ใหญ่ยังได้ยิน
หลิวเหมยตบหน้าหม่าลุ่ยไปหนึ่งฉาด “คุณจะว่าฉันก็ได้ แต่ห้ามลากพี่สะใภ้เข้ามาเกี่ยวด้วย”
หม่าลุ่ยเอามือจับหน้า เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองถูกตบ
พี่ใหญ่หุบยิ้มทันที ยกมือขึ้นหวังจะเรียกให้บอดี้การ์ดมาลากตัวผู้ชายคนนั้นไปจัดการ
กล้ามาว่าคนตระกูลอวี๋ในพื้นที่ของเขา ถ้าไม่สั่งสอนให้รู้จักจำไอ้หมอนั่นคงคิดว่าตระกูลอวี๋ไม่มีใครแล้วงั้นสิ
แต่เสี่ยวเชี่ยนยกมือห้ามพี่ใหญ่
“อยากเล่นงานคนแบบนั้นไม่ต้องใช้กำลังหรอก บาดแผลภายนอกมีหรือจะสู้บาดแผลในจิตใจ ตามฉันมาค่ะพี่ใหญ่”
เสี่ยวเชี่ยนกับพี่ใหญ่เดินเข้าไป หม่าลุ่ยกำลังเอามือจับหน้าพลางมองหลิวเหมยอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่หลิวเหมยกลับทำตัวสบายๆ
“เลิกกันไม่ควรจะมีความแค้นต่อกัน แต่เมื่อกี้คุณว่าพี่สะใภ้ฉัน ถ้าว่าพี่สะใภ้ให้ฉันได้ยินอีกฉันอัดคุณแน่”
“หลิวเหมยทำอะไรอยู่ พี่กับพี่ใหญ่รอไม่ไหวแล้วนะ” เสี่ยวเชี่ยนเดินเข้าไปควงแขนหลิวเหมยด้วยสีหน้าระรื่น
เวลานี้หม่าลุ่ยกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ เขาจ้องเสี่ยวเชี่ยนกับพี่ใหญ่ด้วยสายตาเคียดแค้น
“ลืมแนะนำไปเลย นี่เถ้าแก่อวี๋ ซึ่งก็มีศักดิ์เป็นพี่ชายของหลิวเหมย เขาเป็นเจ้าของหมู่บ้านนี้ เป็นไงหลิวเหมย เลือกเรือนหอได้หรือยัง พี่ใหญ่บอกว่าวันนี้ไม่ว่าเธอเลือกห้องไหนก็จะให้ราคาทุนเลยนะ แบบนี้ประหยัดไปได้ตั้งเกือบแสน อีกอย่างพ่อเธอก็บอกด้วยนะว่าถ้าเธอแต่งงานจะซื้อรถจี๊ปให้ เพราะรู้ว่าเธอขายาว ขับรถแบบอื่นจะนั่งไม่สบาย”
พอเสี่ยวเชี่ยนพูดแบบนั้น สายตาของหม่าลุ่ยก็เปลี่ยนไป เขามองพี่ใหญ่อย่างแทบไม่เชื่อสายตา คนนี้เป็นเจ้าของเหรอ
ครอบครัวหลิวเหมยร่ำรวยขนาดนี้เลยเหรอ
ถ้านี่เป็นความจริง อย่างนั้นคำพูดของเสี่ยวเชี่ยนก็เจ็บยิ่งกว่าตบหน้าเขาอีก