“สิ่งที่เธอทำมันเหลวไหลเกินไปแล้ว! ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้แต่แรก เมื่อครู่ฉันน่าจะห้ามเธอเอาไว้!”
โม่หว่านหว่านวิตกกังวลจนทำอะไรไม่ถูก สีหน้าซับซ้อนแฝงไปด้วยแววบูดบึ้งนั้นมองมาทางเธอด้วยความโมโห ขณะที่อยู่ในสถานีตำรวจก่อนหน้านี้ เป็นเพราะคดีความนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ ทั้งยังพาเด็กไปด้วย ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้เธอเข้าไปอยู่ในห้องเป็นเพื่อนซูย้าว เรื่องราวทั้งหมดล้วนได้ฟังในภายหลังเช่นกัน
เธอคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ “แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าเพ้ยส้าวหลี่มาพูดอะไรกับเธอ แต่เขาจะต้องไม่ได้ให้เธอลบชื่อของตัวเองออกไปแน่นอน แต่เปลี่ยนเป็นเฉินซีมากกว่า
โม่หว่านหว่านเข้าใจวิธีการปฏิบัติตนต่อผู้อื่นของเพ้ยส้าวหลี่เป็นอย่างดี หลายปีมานี้ มากน้อยอย่างไรก็เคยได้ติดต่อกันมา ในใจเพ้ยส้าวหลี่มีซูย้าวเพียงคนเดียว ไม่เคยคำนึงถึงผู้อื่น เขาจะเตือนซูย้าวด้วยความปรารถนาดี และเปลี่ยนชื่อบุคคลที่อยู่ในหลักฐานเป็นลี่เฉินซีทั้งหมด?!
แบบนี้รอถึงตอนที่ทางตำรวจตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ก็จะพบว่าทำพลาดในเวลาเดียวกัน ทั้งยังพบว่าทางด้านลี่เฉินซีใช้โครงการเหมืองแร่คาลาเวอไรต์ให้เกิดประโยชน์ ฟอกเงินและทำเรื่องผิดกฎหมายทั้งหมดเพื่อปิดบังความจริงแทน Double Aceกรุ๊ป ทว่าเมื่อตรวจสอบให้ลึกลงไป ก็จะตรวจพบว่าลี่เฉินซีก็ถูกคน ‘หลอกใช้’ เช่นกัน จากนั้นก็จะหลุดพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัย และไม่มีความเกี่ยวข้องกับคดีความนี้อีกโดยสิ้นเชิง
ถึงตอนนั้นซูย้าวจะทำอย่างไร
เธอยังคงมีสถานะที่เธอไม่มีวันหลุดพ้นได้ตลอดกาล อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ก็ไม่มีทางที่จะสลัดทิ้งไปได้ อานหว่านชิงสามคำนี้ จะกลายเป็นผู้ที่ถูกประกาศจับกุมเหมือนกับอานเจียเย้น กลายเป็นหัวโจกที่ก่อการทำชั่วในเรื่องนี้ ถึงตอนนั้นก็ไม่สามารถลบล้างความผิดทั้งหมดได้หมด!
“ฉันยังงงอยู่เลยว่าทำไมตำรวจถึงปล่อยให้ฉันกลับมา ที่แท้เธอก็แอบลบชื่อของตัวเองออกไปเงียบๆ พวกเขานึกว่าเธอเป็นผู้ที่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง แน่นอนว่าต้องปล่อยเธออยู่แล้ว!” น้ำเสียงอารมณ์เสียของโม่หว่านหว่านเจือไปด้วยแววโกรธ มองไปทางซูย้าวที่กำลังขับรถอยู่อย่างไม่สบอารมณ์ “เธอคิดอะไรอยู่กันแน่”
“จะต้องเป็นแพะรับบาปให้ได้ใช่ไหม เธอให้จะทั้งหมดที่เฉินซีทำกลายเป็นอะไรกัน”
ได้ยินโม่หว่านหว่านถามคำถามออกมาเป็นพรวนคล้ายกับระบายออกมา ซูย้าวก็ถอนหายใจติดกันอย่างจนปัญญา เธอเลือกจอดรถข้างทางในบริเวณช่วงถนนที่ค่อนข้างเงียบเปลี่ยว
หลังจากนั้นก็ปลดเข็มขัดนิรภัย เอียงตัวมองไปทางเธอ “หว่านหว่าน ถ้าหากว่าเปลี่ยนเป็นเธอล่ะ เธอรู้อยู่ชัดๆว่าทั้งหมดที่ส้าวหลิงทำล้วนเพื่อเธอ ถึงตอนท้ายเธอก็ถอนตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่เขากลับจมลึกอยู่ในนั้น และอาจจะต้องติดคุกเป็นเวลานาน เธอจะทำอย่างไร”
“ฉัน…” โม่หว่านหว่านถูกคำถามเธอทำให้นิ่งไปโดยสิ้นเชิง สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตอบไม่ออกสักประโยค
“ตอนนี้เรื่องก็เป็นแบบนี้แล้ว ทิศทางที่เลวร้ายที่สุดก็คือเฉินซีล้มเหลว ถึงตอนนี้อานเจียเย้นไม่มีทางปล่อยเขาไป และไม่มีทางปล่อยฉันด้วย รวมไปถึงเจิ้งเอ๋อและซีซี เขาทำเรื่องใดก็ไม่เคยทิ้งช่องโหว่เอาไว้ จะต้องขุดรากถอนโคนแน่นอน เป็นไปได้ว่าเธอกับส้าวหลิงล้วนมีอันตราย”
นี่คือความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุด แล้วผลลัพธ์ที่ดีขึ้นมาหน่อยล่ะ?
“ยังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่งที่ดีกว่าเล็กน้อย และเป็นความมุ่งหวังเดียวของพวกเราในตอนนี้ นั่นก็คือเฉินซีประสบความสำเร็จ ล้มอานเจียเย้นจนถึงที่สุด แต่ผลลัพธ์ล่ะ คดีนี้ใหญ่เกินไป ข้อกล่าวหาก็เยอะเกินไป อานเจียเย้นไม่มีทางลงนรกไปคนเดียว เขาจะต้องดึงคนอื่นๆไปรับโทษร่วมด้วยตลอด ถ้าหากว่าคนคนนี้ไม่ใช่ฉัน ก็เป็นเฉินซี”
“ถ้าหากว่าถึงตอนที่ทุกสิ่งสิ้นสุดลงแล้ว เฉินซีต้องถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลาสิบปี เพราะแบกรับข้อกล่าวหาที่อาจจะมีเหล่านั้น เธอคิดว่าฉันจะเป็นอย่างไร”
โม่หว่านหว่านเข้าใจทั้งหมดแล้ว “เธอรักเขามากเกินไปแล้วจริงๆ…”
“อาจจะนะ!” ซูย้าวหลับตาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง “ตั้งแต่ตอนเด็กที่ฉันได้พบกับเขาเป็นครั้งแรก เขาก็เป็นชายหนุ่มที่ยากจะลืมและลบล้างออกไปจากหัวใจฉันได้ชั่วชีวิตนี้ เขาสำคัญกับฉันมาก ถ้าหากว่าชีวิตในภายหลังจากนี้ ไม่มีเขาอีก อย่างนั้นทุกสิ่งก็ล้วนไร้ความหมายแล้ว”
ซูย้าวยื่นมือออกมาจับโม่หว่านหว่านเอาไว้ “หว่านหว่าน พวกเราล้วนเป็นผู้หญิง เธอน่าจะเข้าใจฉันนะ เฉินซีทำเพื่อฉัน แต่ฉันไม่สามารถให้เขาเสี่ยงภัยคนเดียวได้”
ถ้าหากว่าจะต้องมีคนหนึ่งที่ต้องลงนรกไปเป็นเพื่อนอานเจียเย้น เธอหวังว่าคนคนนั้นจะเป็นเธอ
ถ้าหากว่าต้องการให้ความวุ่นวายทั้งหมดนี้สงบลงโดยสิ้นเชิง เธอหวังว่าคลื่นลมทั้งหมดจะจากไปเพราะเธอ และมลายหายไปหมดสิ้น
นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เธอสามารถเหลือไว้ให้เขาได้ ความอ่อนโยนสุดท้ายเล็กๆน้อยๆ
เธอเคยรักเขาและเคยเกลียดเขา เคยต่อว่าเขาและเคยเอือมระอาเขา เคยต่อต้านและเคยปฏิเสธเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงความมุ่งมาดปรารถนาเดิมและเจตนาเดิมได้ นั่นก็คือเธอรักเขา
ต้องขอบคุณที่เขาเคยมอบความรู้สึกยุ่งเหยิงนี้ให้กับเธอมาสิบกว่าปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นความขมขื่นหรือว่าความหอมหวาน ล้วนเป็นเพราะเขา ที่ทำให้เส้นทางชีวิตนี้ของเธอ ปรากฏความงดงามตื่นเต้นขึ้น
เธอมองลูกชายจากโลกนี้ไปอย่างทำอะไรไม่ได้ ก็เจ็บปวดมากพอแล้ว หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขาก็ไม่สามารถแบกรับได้อีก แทนที่จะเสียสละด้วยกันทั้งหมด ไม่สู้เป็นตัวเธอเองจะดีกว่า
โม่หว่านหว่านเงียบไปเนิ่นนาน สีหน้าซับซ้อนและยากจะพูดออกมาได้ ครุ่นคิดอยู่นานก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหดหู่ “เธอกับเฉินซีล้วนคิดอยากจะทุ่มเทเพื่อกันและกัน คาดว่า นี่คือผลลัพธ์ที่อานเจียเย้นอยากเห็นมากที่สุด!”
“เขากุมทุกอย่างเอาไว้ในมือ ควบคุมคนอื่น เห็นมันเป็นเรื่องสนุก ในที่สุดตอนนี้ก็พอใจที่ได้เห็นพวกเธอดิ้นรนสับสนเช่นนี้ แต่คนประเภทนี้ต่างอะไรกับปีศาจกัน”
ซูย้าวตบลงบนหลังมือโม่หว่านหว่านอย่างเบามือ “มนุษย์น่ะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะล้วนเป็นมนุษย์นะ บางคนก็ไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ”
“โอเค ไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว เวลาที่เหลือให้ฉันอาจจะไม่เยอะแล้ว หว่านหว่าน พวกเรากลับบ้านกัน!” ซูย้าวเอ่ย หันไปคาดเข็มขัดนิรภัยใหม่ และขับเคลื่อนรถยนต์ไปบนถนน
ขับมาได้ครึ่งทาง เด็กก็ร้องไห้ขึ้นมากะทันหัน โม่หว่านหว่านเขยิบไปอุ้มลูกมาจากเบาะด้านหลังอย่างทำอะไรไม่ถูก กล่อมไปกล่อมมาถึงได้พบว่าผ้าอ้อมของลูกเปียกชื้น จำเป็นต้องเปลี่ยนผืนใหม่ จนปัญญาที่ตอนออกจากบ้านเธอรีบร้อนเกิดไป จึงหยิบมาแค่ชิ้นเดียว และก่อนหน้านี้ก็ใช้ไปแล้ว
ซูย้าวเลือกร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งแล้วจอดรถที่ข้างทาง โม่หว่านหว่านลงจากรถไปซื้อของ ทิ้งให้เธอดูแลเด็กอยู่ในรถ
ผ่านไปครู่หนึ่ง โม่หว่านหว่านก็ถือถุงผ้าอ้อมเด็กถุงใหญ่และเครื่องดื่มอีกสองขวดออกมา หลังจากขึ้นรถ ก็เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก เพิ่งจะบิดขวดน้ำส่งให้กับซูย้าว และยังไม่ทันจะได้พูดอะไร กระจกรถด้านข้างก็ถูกคนด้านนอกเคาะเสียก่อน
‘ก๊อกๆๆ’ เสียงไม่ดัง เป็นผู้ชราที่มีอายุค่อนข้างมากคนหนึ่ง สวมเสื้อกันหนาวตัวหนา พันผ้าพันคอ ขณะพูดก็กระชับเสื้อกันหนาวไปด้วย “พวกคุณจ่ายค่าจอดรถแล้วหรือยังครับ”
ซูย้าวตะลึงไปครู่หนึ่ง ถึงได้นึกขึ้นได้ว่าจอดรถตรงนี้ดูเหมือนว่าจะต้องจ่ายเงิน เธอหยิบกระเป๋าเงินออกมาตามจิตใต้สำนึก เปิดประตูแล้วลงไปจากรถ
“ไม่ทราบว่าเท่าไรหรือคะ” เธอพูด พลางเปิดกระเป๋าเงิน ขณะที่ไม่ทันระวัง บริเวณด้านหลังเอวก็ถูกอะไรบางอย่างจิ้มอยู่
ร่างเธอเกร็งแข็งค้างในทันที หยุดความเคลื่อนไหวตามจิตใต้สำนึก สายตาเฉยชามองไปทางผู้ชราที่อยู่ข้างๆ “คุณเป็นใคร”
ผู้ชรามองเธอยิ้มๆ “ผมเป็นใครนั้นไม่สำคัญ เพียงแต่มีคุณผู้ชายท่านหนึ่งอยากจะเชิญคุณไปพบหน้ากันเท่านั้นเอง คุณอานคงจะไม่ปฏิเสธหรอกนะครับ”
ซูย้าวสังเกตเห็นว่าผู้ชราเรียกเธอว่า ‘คุณอาน’ เช่นนั้นไม่จำเป็นต้องคาดเดา ก็รู้ว่าคนคนนี้จะต้องเป็นคนที่อานเจียเย้นส่งมาแน่นอน
เธอรู้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วเขาต้องทำอะไรแน่นอน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นตอนนี้
ซูย้าวสูดลมหายใจลึก เหลือบตามองไปยังทิศทางในรถ เสียงของโม่หว่านหว่านดังออกมาจากด้านใน “ทำไมหรือ ไม่ได้พกเศษสตางค์หรือ”
เธอส่ายหน้า หลังจากนั้นก็หันไปมองผู้ชรา “ฉันสามารถไปกับคุณได้ แต่เพื่อนของฉันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ปล่อยเธอกับลูกไปก่อนได้ไหม”
ผู้ชรากลับส่ายหน้า “คุณอาน ข่าวสารที่ผมได้รับมาไม่ใช่แบบนี้นะ เพื่อนของคุณคนนี้แซ่โม่สินะ? ก็เป็นคนที่คุณผู้ชายต้องการเช่นกัน คุณให้เธอลงจากรถเถอะ!”
ซูย้าวหัวใจหดเกร็งทันที ลังเลไปช่วงหนึ่ง ปืนที่ผู้ชราจิ้มอยู่บริเวณเอวเธอก็กดลงมาเล็กน้อย พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “เร็วหน่อย! คุณคงไม่หวังให้เพื่อนของคุณต้องหลั่งเลือดที่นี่เพราะเหตุนี้หรอกนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูย้าวก็ไม่กล้ารีรออีก ค่อยๆหมุนตัว มองไปทางด้านในรถ ส่วนโม่หว่านหว่านก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติด้านนอกได้นานแล้วเช่นกัน จึงรีบอุ้มลูกลงจากรถ
เธอเพิ่งจะลงจากรถ ด้านหลังก็มีชายคนหนึ่งพุ่งออกมาจากทางไหนก็ไม่รู้ ถืออะไรบางอย่างจู่โจมเข้าที่สันคอของโม่หว่านหว่านอย่างแรงโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว หลังจากนั้นก็กระชากเธอกับเด็กเข้ามาในอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว บังคับดึงตัวเธอขึ้นไปบนรถตู้ที่จอดอยู่ด้านหลัง
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป ซูย้าวนัยน์ตาหดวูบด้วยความตกใจ ส่วนผู้ชราก็พูดว่า “คุณอาน คุณก็ขึ้นรถไปกับพวกเราเถอะ!”