“คุณ…คือสามีเขา”
หม่าลุ่ยยังไม่ได้สติหลังถูกต่อย สมองกำลังเบลอ ไม่รู้เป็นเพราะถูกอวี๋หมิงหลางต่อยหรือเพราะตกใจ
แต่เฉินเสี่ยวเชี่ยนบอกว่าสามีรู้จักกับOne แล้วนี่ทำไมกลายเป็นคนๆเดียวกับOne
หา เขาถูกผู้หญิงคนนั้นหลอก
กว่าหม่าลุ่ยจะได้สติเขาก็ถูกอวี๋หมิงหลางลากไปตรงที่ที่ไม่มีคนแล้ว จากนั้นก็ถีบเข้าไปที่ท้องของเขา
“ลูกถีบนี้ให้เมียผม ตาข้างไหนของคุณที่เห็นว่าเมียผมเหมือนเป็นเมียน้อยคนอื่น”
“ก็เขาพูดเอง—โอ๊ย”
หม่าลุ่ยเอามือกุมท้อง อวี๋หมิงหลางอัดเข้าไปอีกหนึ่งที
“ถ้าผมบอกว่าหลังจากวันนี้ไปคุณจะดวงซวยคุณเชื่อไหม”
เชื่อ เวลานี้หม่าลุ่ยเสียใจมากที่พูดแบบนั้นออกไป ถ้าเขารู้ว่าเฉินเสี่ยวเชี่ยนเป็นภรรยาของอวี๋หมิงหลางเขาจะทำเรื่องแบบนี้ออกไปได้ยังไง Oneเป็นพี่ชายของหลิวเหมย ถ้าเขาจับสายป่านนี้ไว้ให้มั่นตั้งแต่แรก งั้น…
แต่อวี๋หมิงหลางเคยพูดเอาไว้ ‘ถ้า’ เป็นคำโกหกคำโตที่สุดบนโลกใบนี้ มันไม่มี ‘ถ้า’ ตั้งแต่แรกแล้ว สิ่งที่รอหม่าลุ่ยอยู่ก็คือหมัดหนักๆของอวี๋หมิงหลาง และคำว่า ‘ถ้า’ ที่จะตามติดเขาไปตลอดชีวิต
ถ้าเขาทำดีกับหลิวเหมย ถ้าเขามัดใจหลิวเหมยได้ ชีวิตของเขาก็คงดีไปแล้ว แต่ว่าชีวิตคนเราไม่มีถ้า
ฟู่กุ้ยเดินถือซองรางวัลใหญ่ลงมาจากเวที หน้าผากมีแต่เหงื่อ
“ดูพี่ซิ แค่พูดกับสาวไม่กี่ประโยคนิสัยชอบเกร็งยังไม่หายอีก” เสี่ยวเชี่ยนแซวแล้วหันไปพูดข้อดีของเลี่ยวฟู่กุ้ยให้หลิวเหมยฟัง “นิสัยแบบนี้ของเขานอกใจคนยาก เรื่องเหยียบเรือสองแคมยิ่งไม่ต้องพูดถึง สมองมีแต่ครอบครัวแน่นอน จุดนี้พี่ขอรับรองได้ในฐานะจิตแพทย์ เธอว่างั้นไหมหลิวเหมย”
เสี่ยวเชี่ยนพยายามโฆษณาสุดๆ ต่อให้เป็นหลิวเหมยที่ค่อนข้างห้าวยังรู้สึกเขิน
“พี่สะใภ้ ฉันไปก่อนนะคะ ฉันยังมีธุระ”
ฟู่กุ้ยแอบตำหนิเสี่ยวเชี่ยนด้วยสายตา “เธอพูดตรงเกินไปแล้ว”
ไก่ตื่นเลยเห็นไหม
“ถึงได้บอกไงว่านักนิติจิตวิทยาอย่างพวกพี่วินิจฉัยได้แค่ว่าใครเป็นโรคประสาท เรื่องวิเคราะห์คนสู้จิตแพทย์อย่างพวกฉันไม่ได้ มองไม่ออกเหรอว่าการที่หลิวเหมยมีท่าทางแบบนี้มันเป็นเรื่องดี ถ้าเขาไม่รู้สึกอะไรคงทำตัวเฉยๆไปแล้ว ยังไม่รีบตามไปอีก”
พอเห็นฟู่กุ้ยยังยืนซื่อบื้ออยู่ที่เดิมเสี่ยวเชี่ยนอยากจะเข้าไปตบกะโหลก รู้สึกเหมือนตัวเองมีลูกโง่
“ตามไปสิ ไปถามเขาว่าเป็นแฟนกันไหม ก็เริ่มจากตั๋วเครื่องบินสองใบในมือพี่นั่นแหละ พี่ใหญ่อุตส่าห์ให้แพ็คเกจท่องเที่ยวสุดหรูละไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ ต่อไปถ้าโสดตลอดชีวิตไม่ต้องมาปรึกษาฉันเลยนะ ลองคบกันก่อนหนึ่งเดือน ถ้าโอเคค่อยบินไปเที่ยวด้วยกัน ประหยัดค่าฮันนีมูนด้วย”
“หา…อ๊า”
เลี่ยวฟู่กุ้ยได้สติแล้ว เขารีบเดินออกไป
ด้วยจิตวิญญาณช่างเม้าท์ของคนตระกูลอวี๋ เสี่ยวเชี่ยนจึงตามออกไปด้วย
เธอเดินออกไปอย่างสง่า เธอรู้สึกว่าละครข้างนอกคงไม่จบง่ายๆแน่ แต่หารู้ไม่ว่าครั้งนี้ประธานเชี่ยนคาดการณ์ผิด
ด้านนอกไม่มีภาพเหตุการณ์เปิดศึกชิงนางแต่อย่างใด เธอเห็นแค่หลิวเหมยนั่งรถออกไปกับฟู่กุ้ย
ประธานเชี่ยนที่ไม่ได้เห็นละครฉากเด็ดยังไม่ยอมแพ้ เธอมองซ้ายมองขวา หม่าลุ่ยล่ะ
ไหนว่าตั้งใจแน่วแน่จะไม่ยอมไปไหนไม่ใช่เหรอ นี่เธออุตส่าห์อยากดูอะไรสนุกๆ แต่นี่อะไร
“ห้ามขยับ” เธอรู้สึกว่ามีของแข็งจี้อยู่ที่เอว เสี่ยวเชี่ยนรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคย พอหันไปก็เห็นอวี๋หมิงหลางเอาเครื่องดื่มเย็นเฉียบจี้เอวเธออยู่
“นายมาอยู่ที่นี่ได้ไง”
“…เมียจ๋า ไม่ตื่นเต้นเลยเหรอที่เห็นผม”
“หน้าเดิมๆของนายฉันเห็นอยู่ทุกวัน มีอะไรให้ตื่นเต้น” เสี่ยวเชี่ยนหันซ้ายหันขวา หม่าลุ่ยอยู่ไหน ออกมาให้ฉันทรมานเดี๋ยวนี้
“ไม่ต้องหาแล้ว เขาไปแล้ว คิดว่าภายในครึ่งปีคุณคงไม่ได้เห็นหน้าเขาหรอก”
“หา” ประธานเชี่ยนแอบเซ็ง “นายทำอะไรกับเขา”
อวี๋หมิงหลางทำหน้าไม่รู้เรื่อง “ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ นี่ผมเสร็จงานก็รีบมารับคุณเลย ก็ได้ ผมแค่จัดการเรื่องที่มีคนร้องเรียน”
“ร้องเรียน”
“มีผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เป็นถึงครอบครัวทหารแต่กลับมีพฤติกรรมไปเป็นเมียน้อยคนที่สี่ เขายืนพูดออกมาด้วยความเคียดแค้นสุดๆ”
เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หม่าลุ่ยก็จริงๆเลยนะ…
“แล้วนายจัดการยังไง”
“จะให้ทำไงได้ ผมก็บอกเขาไปว่า ผมคือพี่สี่ที่เขาพูดถึงกัน”
จากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก
นับจากนี้ไปหม่าลุ่ยก็จะหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของพวกเรา ต่อไปคงไม่กล้ามาให้หลิวเหมยเห็นหน้าอีก
เสี่ยวเชี่ยนทั้งขำทั้งโมโห พอเห็นอวี๋หมิงหลางทำหน้าเหมือนรอคำชมอยู่เธอจึงยื่นมือไปหยิกเอวเขา
“ทำไมอ้ะ” เสี่ยวเฉียงน้อยใจ เขาอุตส่าห์ทำดีขนาดนี้ทำไมไม่ชมแถมยังหยิกเขาอีก
“มีเรื่องแบบนี้ทำไมไม่โทรเรียกฉันออกมา
นี่เป็นความไม่พอใจที่มาจากจิตวิญญาณความช่างเม้าท์ทั้งนั้น ประธานเชี่ยนอุตส่าห์รอเก็บทีเดียว ปรากฏว่าเสี่ยวเฉียงดันมาตัดหน้าเสียก่อน เหลืออะไรให้เธอเล่นอีก
ยังเล่นไม่พอเลยนะ นี่พี่สี่ออกมาแล้ว อีกหน่อยหม่าลุ่ยเห็นคนแซ่อวี๋คงเผ่นแน่บ
“เอาน่า นี่คุณว่างมากนักใช่ไหม คนน่าเบื่อแบบนั้นผมอัดสองสามทีก็เตะออกไปแล้ว ไม่เห็นต้องไปสนใจเลย เมียจ๋ากินข้าวหรือยัง ไปไถข้าวพี่ใหญ่กินกันเถอะ เห็นไหมว่าผมใส่ใจแค่ไหน ตอนที่เห็นฟู่กุ้ยตามหลิวเหมยออกมานะผมรีบไปซ่อนตัวเลย ถ้าวันนี้เขาจัดการเรื่องนี้ไม่สำเร็จนะ ต่อไปอย่าพูดเลยดีกว่าว่าตัวเองเป็นดอกเตอร์ ฉุดมาตรฐานไอคิวดอกเตอร์ลดต่ำหมด”
“ยังจะมีหน้าว่าคนอื่น ฉันว่าฟู่กุ้ยอีคิวสูงกว่านายเยอะ ลืมแล้วเหรอว่าตอนที่นายจีบฉันใหม่ๆทำเรื่องโง่ๆลงไปเยอะแค่ไหน เพราะตอนนั้นฉันยังไร้เดียงสาหรอกนะถึงได้หลงกลไปคบกับนายได้เนี่ย”
ฉึก~ เสี่ยวเฉียงถูกพูดแทงใจดำ
เสี่ยวเชี่ยนไม่กังวลเรื่องฟู่กุ้ยหรอก พี่ฟู่กุ้ยของเธอเป็นผู้ชายที่ไม่ทำพลาดในช่วงเวลาสำคัญ ตอนนี้คงไปได้สวยกับหลิวเหมยแล้วมั้ง
“พี่ฟู่กุ้ยพาฉันมาที่นี่ทำไมคะ” หลิวเหมยเงยหน้ามองป้ายโฆษณาของห้างสรรพสินค้า พอออกมาจากสำนักงานขายฟู่กุ้ยก็พาเธอมาที่นี่
“รองเท้าคู่นี้ไม่เหมาะกับเธอ ซื้อใหม่เถอะ”
หลิวเหมย อ่อ ออกมาคำเดียว พอลงจากรถหลิวเหมยก็ยืนรอฟู่กุ้ยอยู่ที่เดิม เขาเดินเข้ามาหาเธอ จากนั้นก็จับมือเธออย่างเป็นธรรมชาติ หลิวเหมยคิดจะดึงมือกลับแต่เขากลับจับแน่นกว่าเดิม
“ทำไมพี่—” หลิวเหมยอยากถามว่า ทำไมพี่ต้องจับมือฉัน
แต่พอหันไปก็เห็นเขาหน้าแดง เขาดูเกร็งกว่าเธออีกนะ
พี่สะใภ้บอกว่าเขาจะเกร็งเวลาอยู่กับผู้หญิง ถ้าตอนนี้เธอพูดอะไรกระทบกระเทือนจิตใจเขาไปจะฝังใจเขาหรือเปล่านะ อีกอย่างเรื่องจับมือคงไม่ได้นักหนาอย่างที่เธอคิดหรอกมั้ง บางทีพี่ฟู่กุ้ยเห็นเธอเท้าแพลงเพราะใส่ส้นสูงก็เลยมาช่วยพยุงก็เป็นได้
หลิวเหมยปลอบใจตัวเองไปแบบนั้น ฟู่กุ้ยจับมือเธอแน่นไม่ยอมปล่อย
พอเข้าห้างไปแล้วเขาพาเธอไปร้านขายรองเท้ากีฬาก่อนแล้วเลือกคู่ที่ดูเหมาะมาหนึ่งคู่ หลิวเหมยคิดว่าฟู่กุ้ยอาจเหมือนหม่าลุ่ยที่ไม่ชอบให้เธอใส่รองเท้าส้นสูง—ทำไมต้องเอาเขาไปเทียบกับแฟนเก่าด้วยนะ
ความรู้สึกนี้แปลกจัง…