วิลล่าขนาดใหญ่เฉกเช่นปราสาทหลังโต อาคารปิดกั้น ดั่งกรงที่เข้าออกด้านนอกอย่างเข้มงวด มีความรู้สึกถูกคนควบคุมอยู่ตลอด ราวกับเนื้อปลาบนเขียง ที่สามารถถูกปลิดชีพได้ตลอดเวลา
ซึ่งไม่เหมือนกับวิลล่าของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั่วไป ที่นี่ แม้ว่าจะหรูหราโอ่อ่ามากก็ตาม เรื่องอาหารการกินไม่ต้องเป็นกังวลแต่อย่างใด แต่ว่า ที่นี่ไม่มีอิสระโดยง่ายขนาดนั้นเลย
ชั้นล่างมีบอดี้การ์ด10กว่าคนคอยเฝ้าอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง กล้องวงจรปิดติดตั้งไว้ทุกจุดทุกมุมห้องเต็มไปทั่ว ในเวลาเดียวกัน ทุกห้องยังซ่อนการติดตั้งกริดไฟฟ้าเป็นพิเศษเอาไว้ด้วย
ไม่ผิดหรอก มันคือกริดไฟฟ้า
โม่หว่านหว่านเปิดหน้าต่างอย่างแปลกใจ พลันใช้มือสัมผัสลักษณะเหมือนมุ้งลวดที่อยู่ด้านนอก ผลลัพธ์ที่ได้คือ มีกระแสไฟฟ้าเล็กน้อย วิ่งผ่านร่างกายไปทั่ว ความรู้สึกเช่นนั้น มันทำให้เธอไม่อยากจินตนาการจริงๆ เลย!
ฉะนั้น การคิดหนีนั้น โดยผ่านทางหน้าต่างมันไม่ผ่านอย่างแน่นอน ด้านนอกมีทางเข้าออกประตูเพียงสองทาง ใต้ตึกมีบอดี้การ์ดสิบกว่าคน ทุกคนต่างร่างกายกำยำล่ำสัน อาศัยแค่โม่หว่านหว่านกับซูย้าวแค่สองคน ต้องการหนีเอาชีวิตรอด ซึ่งไม่มีทางทำได้เลยด้วยซ้ำ
สิ่งเดียวที่สามารถทำได้คือ การรอคอยต่อไป
รอหนึ่งวันผ่านไปก็ถือว่าเป็นหนึ่งวัน รอวันที่สบโอกาส หรือว่ารอเรื่องเปลี่ยนให้ได้จังหวะขึ้นมา ถึงจะมีความหวังขึ้นมาได้
แม้ว่าไม่มีอิสระก็ตาม แต่การได้อยู่ภายในวิลล่า การเคลื่อนไหวของทั้งสองคนถือว่าอิสระแล้ว สามารถเดินเข้าออกได้อย่างอิสระ รับประทานอาหารได้ตามปกติ เนื่องจากไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต จึงไม่สามารถดูโทรทัศน์ได้ และไม่มีสิ่งของจำพวกโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ นอกจากการพูดคุยกันแล้ว คือการเปิดหนังสือทุกเล่มอ่านอยู่ในห้องหนังสือ
หนังสือทุกเล่ม มีมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
เพียงระยะไม่กี่วัน ซูย้าวอ่านหนังสือนับสิบเล่มไปแล้ว ทว่าโม่หว่านหว่านกลับอ่านไม่จบสักเล่ม เธอไม่มีอารมณ์จะมานั่งอ่านหนังสือ มัวแต่คิดว่าตนเองตกอยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ และคอยคิดถึงว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นต่อจากนี้อะไรขึ้นมาบ้าง พลันกินข้าวไม่ลงจนนอนไม่หลับตามมา
ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ที่นี่ติดกล้องวงจรปิดเอาไว้ทุกจุด ยิ่งทำให้เธอตื่นตกใจอยู่ตลอด
เช่นการเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือว่าชำระร่างกายก็ตาม ก็ยังต้องให้อีกคนคอยใช้ผ้าปูที่นอนมาปิดกั้นเอาไว้ ความรู้สึกต้องคอยระมัดระวังเช่นนี้ และความรู้สึกถูกคนจับตามองอยู่ทุกวินาที ยิ่งทำให้โม่หว่านหว่านรู้สึกอึดอัดมาก
พวกเธอพักอยู่ที่นี่ประมาณสิบกว่าวันเห็นจะได้ จนเกือบจะสองสัปดาห์ พอถึงจำนวนวันที่14นั้น โม่หว่านหว่านจึงรู้สึกว่าตนเองอึดอัดจนป่วยแล้ว เริ่มมีอาการเซื่องซึม ความคิดก็หดหู่ตาม ร่างกายจึงหดหู่อยู่ตลอด มัวแต่นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน พลิกตัวไปมา กินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับ
ส่วนซูย้าวกับมีลักษณะตรงข้ามกับเธออย่างสิ้นเชิง เธอปรับตัวทุกอย่างกับที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว นอนตรงเวลา กินข้าวรวมถึงตื่นนอนตรงตามเวลา พอนั่งลง ก็เอาแต่อ่านหนังสือจบเป็นเล่มๆ ไปและจัดการอ่านเรื่องอื่นต่อ
ส่วนโม่หว่านหว่านเบื่อหน่ายและนอนตะแคงใช้มือข้างหนึ่งหนุนแก้ม “ย้าวย้าว ก่อนหน้านี้ ที่ยังไม่ได้แต่งงานกับส้าวหลิง ฉันคิดอยู่ตลอดเวลาว่าผู้คนช่างเหนื่อยเหลือเกินกับการใช้ชีวิต”
“หือ?” น้ำเสียงซูย้าวแผ่วเบา พลันก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างจรังจัง
โม่หว่านหว่านพูดต่อ “ชีวิตคนเราต้องตรากตรำทำงาน เพื่อหาเงิน ทำงานหนัก หามรุ่งหามค่ำ ตั้งแต่เช้าตรู่ยันเย็น แถมยังต้องกินข้าว ยังต้องมีเรื่องไร้สาระให้คอยเอามาเปรียบเทียบอีก ยังต้องเจียดเงินเพื่อซื้อของในสิ่งที่ตนเองชอบ ยังต้องวางแผนอนาคต ผู้หญิงอยากหาคนที่เหมาะสม เพื่อแต่งงานและมีลูกให้ ส่วนผู้ชายนั้นต้องซื้อบ้านซื้อรถ หาผู้หญิงที่ชอบ คบหากันเพื่อแต่งงาน ช่างแสนเหนื่อยชะมัดเลย!”
“เหมือนว่าจะเป็นแบบนั้นนะ” ซูย้าวพูดออกมาตามปกติ น้ำเสียงดูไม่ยี่หระ ราวกับไม่แยแสอะไรสักอย่าง
โม่หว่านหว่านเริ่มไม่พอใจอยู่บ้างและเหลือบมองเธอ พลันพูดว่า “ดังนั้นตอนนั้นฉันก็คิดว่า ถ้ามีอยู่วันหนึ่งที่ฉันไม่ต้องทำงาน แล้วคอยนอนเล่นเป็นตัวของตัวเองอยู่บนเตียง อย่างมีความสุขอยู่ทุกวัน มันคงจะดีมากใช่ไหม?”
“นอนอยู่บนเตียง?” ซูย้าวเริ่มบ่นพึมพำเล็กน้อย
โม่หว่านหว่านลุกนั่งทันที “ใช่ ทำตามใจปรารถนาทุกวัน อยากทำอะไรก็ทำไปเลย อยากกินอะไรก็กิน อยากซื้ออะไรก็ซื้อไป แม้ว่าจะไม่มีเงิน จนทุกข์ใจเพราะไม่มีเงินใช้ แต่ถือว่าอิสระเป็นตัวของตัวเองดีนะ ถ้าสามารถออกไปเป็นคนพเนจรได้ มันคงจะดีอยู่ไม่น้อย?”
“คนพเนจร ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ต้องอดทนต่อความหิวโหย แกมั่นใจใช่ไหม?”
โม่หว่านหว่านพยักหน้า “ตอนนั้นก็คิดแบบนี้แหละ เพราะรู้สึกว่ามันอิสระมาก มันดูเป็นธรรมชาติไม่ยึดติดดี ไม่ต้องถูกจำกัดการใช้ชีวิต ไม่ต้องถูกจำกัดการถูกอบรมสั่งสอนตามขนบธรรมเนียมประเพณี สามารถเป็นตัวของตัวเอง ดูเป็นธรรมชาติไม่ยึดติดอะไร ไม่ใช่เหรอ?”
ซูย้าวพยักหน้าถือเป็นการร่วมด้วยเล็กน้อย “น่าจะมั้ง แล้วไงต่อ?”
“ไม่มีแล้วไงต่อ ฉันก็แค่รู้สึกเท่านั้นเอง ในที่สุดตอนนี้ฉันก็ได้ทำตามใจปรารถนาแล้ว ใช้ชีวิตที่ฉันอยากจะได้แล้ว แกดูฉันตอนนี้สิ คิดอยากจะกินอะไร ก็ได้กินตามนั้น ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องกังวลกับการใช้ชีวิต แถมยังพักอยู่ในบ้านที่ดีขนาดนี้”
ซูย้าวปิดหนังสือที่อยู่ในมืออย่างสนใจ พลันช้อนสายตาเหลือบมองเธอ “แกคิดว่ามันดีใช่ไหม?”
โม่หว่านหว่านส่ายหน้าทันควัน “ไม่ดี ไม่มีอะไรดีเลย”
พลันหยุดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเธอจึงพูดต่อ “ดังนั้น ฉันเลยคิดว่ามนุษย์เรานี่ช่างแปลกประหลาดเสียจริง ทั้งที่รู้ว่ามีได้ก็ต้องมีเสีย สามารถเพลิดเพลินการใช้ชีวิตปราศจากความกังวลใดๆ แต่กลับสูญเสียอิสระไปแทน แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกว่าเหมือนถูกขีดเส้นวงกลมเอาไว้รอบตัว ราวกับถูกคนจองจำให้อยู่ในคุก มันช่างทรมานชะมัดเลย”
“ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ทั่วไป” ซูย้าวพูด “มนุษย์ต่างใช้ชีวิตท่ามกลางความบาดหมางระหว่างกัน แกรู้สึกว่ามันแสนเหนื่อยเหลือเกิน คนอื่นก็เหนื่อยไปด้วย แกแค่อยากจะได้อย่างเดียว ไม่อยากทิ้งมันไป คนอื่นเขาก็คิดเช่นนี้ ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องปกติทั่วไป”
โม่หว่านหว่านทำคอตกอย่างช่วยไม่ได้ และก้มหน้าลงต่ำ “อื้อ ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่ว่า…”
“พอเถอะ วันเวลาเช่นนี้คงไม่นานเกินนัก อดทนอีกหน่อยนะ” ซูย้าวลุกขึ้นมาอยู่ด้านข้างเธอ พลันตบไหล่โม่หว่านหว่านอย่างแผ่วเบาเพื่อเป็นการปลอบใจ “อดทนอีกหน่อยนะ รอให้ได้อิสรภาพกลับคืนมา จนสามารถเจอหน้าเส้าหลิงกับลูกชายได้แล้ว”
เมื่อพูดถึงลูกชาย ใจของซูย้าวราวกับถูกอะไรบางอย่างควักหัวใจออกมา มันแสนเจ็บปวดเหลือเกิน
เนื่องจากโม่หว่านหว่านไม่ได้เจอหน้ากับลูกชายสุดที่รักมานานขนาดนี้แล้ว จึงรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ ช่างทรมานเหลือเกิน
จังหวะที่กำลังเสียใจอยู่ในตอนนั้น กลับมีคนข้างนอก ผลักประตูห้องนอนเข้ามาทันที
คนที่เข้ามานั้นยังเป็นผู้ชายคนเดิม ใส่สูทผูกเนคไท เมื่อมองดูแล้วไม่เหมือนกับพวกโหดเหี้ยมทารุณก่อนหน้านี้เลย ในทางกลับกันกลายเป็นสไตล์สุภาพบุรุษขึ้นมาก
เขามองมาทางซูย้าว และผงกหัวตามมารยาท “คุณอานครับ รบกวนตามผมมาครับ”
“เขาอยากจะเจอฉันงั้นเหรอ” ซูย้าวถามกลับ
คำว่า ‘เขา’ ที่หลุดออกมาจากปากเธอ หมายถึงใคร พวกเขาต่างรู้แก่ใจดี
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย “รบกวนเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงไปชั้นล่างพร้อมผมเถอะครับ!”
ซูย้าวเข้าใจดี หลังจากรอให้ชายหนุ่มออกไปแล้ว เธอหันตัวกลับมามองโม่หว่านหว่าน “หลังจากที่ฉันออกไปแล้ว แกต้องระวังตัวให้มากๆ พวกเขาให้แกทำอะไร แกก็ต้องเชื่อฟังและทำตาม อย่าได้ไปต่อต้านพวกเขาเป็นอันขาด อยากคิดหนีออกไปเองโดยไม่ได้รับอนุญาต”
โม่หว่านหว่านก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง และการต่อสู้กับเหล่าบอดี้การ์ดที่ได้รับการฝึกฝนมืออาชีพมาโดยตรง เหมือนกับเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงเช่นนั้น
สิ่งแรกที่พวกเธอต้องทำก็คือ การรักษาชีวิตตัวเองให้รอดปลอดภัย แต่ไม่ใช่การเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน
โม่หว่านหว่านพยักหน้าอย่างระมัดระวัง “ฉันรู้เรื่อง แต่ว่าแกล่ะ? พวกเขาจะพาแกไปไหน?”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ไปเจออานเจียเย้น ฉันจะระวังตัวเองให้มาก หว่านหว่าน แกต้องระวังตัวนะ อย่าได้เชื่อคนใดคนหนึ่งเป็นอันขาด ถ้ามีคนจัดการให้แกหนีไป อย่าได้เชื่อเขาง่ายๆ นะ” ซูย้าวคอยย้ำเตือน เธอเป็นห่วงโม่หว่านหว่านจริงๆ เกรงว่าถ้าตัวเองออกไปแล้ว จะเกิดเรื่องขึ้นกับเธอ
โม่หว่านหว่านจำฝังใจ “ฉันเข้าใจ และรู้เรื่องดี วางใจเถอะ!”
ซูย้าวไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่กลับใส่เสื้อคลุมพาดทับแทน พร้อมทั้งพูดกำชับกับโม่หว่านหว่านอีกหลายประโยค และเดินออกจากห้องนอนไป และออกไปจากวิลล่ากับผู้ชายที่อยู่ด้านนอก
พอเธอออกไปแล้ว โม่หว่านหว่านมีพลังมากกว่าเดิมเกินร้อย ซึ่งเป็นผลมาจากความตึงเครียดที่สูงมาก แม้กระทั่งลมพัดให้หญ้าขยับ ก็ตกใจตาม จู่ ๆ มีเสียงคนเคาะประตู จนเธอถึงกลับตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
รอให้โม่หว่านหว่านมองไปนั้น กลับมีผู้ชายอีกคนผลักประตูเข้ามา แถมยังใส่สูทสีดำทั้งชุด บอดี้การ์ดอีกนั่นแหละไม่ต้องสงสัยเลย ในเวลาเดียวกัน ด้านหลังของเขากลับมีผู้หญิงอีกคนเดิมตามหลังมา
น่าจะเป็นผู้หญิง เพราะว่าดูลักษณะจากรูปร่างแล้วมองเห็นอย่างชัดเจน เป็นผู้หญิงอายุน้อย ซึ่งอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพวกเธอก่อนหน้านี้ โดยมีหมวกสีดำคลุมทั้งหน้า จึงมองรูปร่างหน้าตาไม่ชัดเจน
รอจังหวะที่หญิงสาวเดินเข้ามานั้น ชายหนึ่งเปิดหน้ากากของหญิงสาวออก และพูดว่า “ท่านนี้คือคุณเซียวไน่ ต้องขอโทษด้วยที่ให้คุณกับคุณโม่ต้องพักอยู่ที่นี่กันสักระยะก่อน หากมีสิ่งใดต้องการรบกวนแจ้งกับผมได้ตลอดเวลา และรบกวนทั้งสองท่านทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า ไม่สามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้”
พูดจบ ชายหนุ่มก็เดินออกไปจากห้องทันที โดยทิ้งผู้หญิงไว้สองคนเอาไว้
โม่หว่านหว่านมองเซียวไน่ที่เพิ่งเดินเข้ามา เมื่อสบตากัน พลันรู้สึกเคอะเขิน และเงียบงันลงทันที