อานเจียเย้นจบสิ้นชีวิตลงอย่างสลด
ช่วงระยะเวลาระหว่างนั้น ลี่เฉินซีได้ปิดตาซูย้าวเอาไว้ไม่อยากให้เธอจะต้องมาเห็นฉากที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด และวินาทีที่ แสงไฟดับลง เขาก็ได้โอบเธอหันหลังกลับไป มอบความวุ่นวาย ณ ที่นี้ส่งต่อให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการต่อไป
เขาโอบซูย้าวเดินตรงไปที่ข้างเกาะ ที่นั่นมีเฮลิคอปเตอร์จอดรอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว สามารถรับพวกเขาเดินทางออกจากเกาะได้ตลอดเวลา
แต่ว่าหลังจากที่ซูย้าวเดินโซซัดโซเซไปสักพัก เธอก็หยุดฝีเท้าลงแล้วทรุดตัวเอามือกอดเข่าซุกใบหน้าลงไป
เธอไม่ได้ร้องไห้แต่ก็ไม่ได้หัวเราะเช่นกัน ใบหน้านั้นไร้ซึ่งความรู้สึกใด
เธอเพียงต้องการเวลาสักเล็กน้อยในการจัดการอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองอันซับซ้อน
สิ่งที่สรุปได้นั่นก็คือ อานเจียเย้นต้องการจะจบชีวิตลงเอง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่หยิบปืนขึ้นมา เขาไม่ได้ต้องการจะฆ่าเธอ จากสถานการณ์เมื่อสักครู่ ไม่ว่าเป็นผู้ร้ายคนใดก็รู้ดีว่าการที่ปล่อยตัวประกันและยอมมอบตัวจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
อีกทั้งตัวตนของเขาไม่ธรรมดา เขามีลุงไชลด์และคนอื่นๆ คอยเป็นเกราะกำบังไว้ให้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะต้องการหลุดพ้นโทษ หรือต้องการจะลดโทษก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก
ต่อให้เขาถูกจับจริงๆ แม้ต้องติดคุกแต่ในอนาคตอีกหลายสิบปีเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ได้อย่างสบาย ถูกควบคุมอย่างหละหลวม หรือบางทีอาจจะหาช่องว่างหนีออกมาได้ หรือแม้กระทั่งใช้เหตุผลข้ออ้างว่ามีอาการทางจิตหรืออื่นๆ จึงต้องทำการโยกย้ายสถานที่รักษา หลังจากนั้นก็สามารถออกจากคุกได้อย่างง่ายดาย
แต่การที่เขายอมแพ้และล้มเลิก คงไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้มาก่อน แต่เป็นเพราะ……เขาเบื่อเหลือเกินแล้ว!
บางทีการที่ใครสักคนตัดสินใจจบชีวิตลง ทุกคนก็จะคิดถึงแต่ความดีของเขา และความลำบากกว่าจะผ่านมาได้
คงไม่มีใครอยากจะกลายเป็นคนบ้าคลั่งและยินยอมที่จะเอาตัวเองลงไปอยู่ในนรกเช่นนั้น แต่อานเจียเย้นถูกบังคับจนไม่มีหนทางอื่น นี่เป็นสิ่งที่น่าเคียดแค้นเหลือเกิน
ในจังหวะที่ต้องการจะวางมือ จิตใจกลับหมกมุ่น เมื่อภูเขากลับราบแบน แม่น้ำเหือดแห้งสิ้น เขาจึงได้สละทุกสิ่ง
เมื่อนึกย้อนกลับไปทั้งชีวิตของเขาที่ผ่านมาช่างน่าสงสารเหลือเกิน
นอกจากความทรงจำดีๆ ที่แม่เลี้ยงที่เลี้ยงที่เลี้ยงเข้าในช่วงไม่กี่ปีนั้นแล้ว ที่เหลือเขาก็ใช้ชีวิตราวกับตกอยู่ในนรก
เพ้ยหยู่เจี๋ยเป็นมารที่ควรถูกนำตัวไปพิพากษามากที่สุด แต่ดูเหมือนเขาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า จึงได้จากไปจากโลกนี้ ทิ้งผู้น่าสงสารเอาไว้เบื้องหลัง และยังคงต้องดิ้นรนเนื่องจากเงาก่อนหน้านี้อย่างยากลำบาก
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้จบลงแล้วในวินาทีนั้น แต่ซูย้าวกลับไม่รู้สึกถึงความผ่อนคลาย ในทางกลับกัน หัวใจของเธอลึกๆ แล้วรู้สึกเจ็บปวดหนักอึ้งเหลือเกิน
หากมีชาติหน้า เธอขอให้อานเจียเย้นมีชีวิตที่สงบสุขราบรื่นและเป็นตัวของตัวเองได้สักครั้ง!
ลี่เฉินซียืนอยู่ข้างเธอแล้วหยุดลงชั่วครู่ มีกัปตันเดินทางมาจากเกาะและสนทนากับเขาอยู่สองสามประโยค หลังจากผ่านไปสักพัก เขาจึงได้เดินมาหยุดอยู่ข้างกายซูย้าวโดยไม่ได้ดึงเธอขึ้นมา เขาย่อตัวลงไปนั่งข้างๆ เธอตรงบริเวณหาดทรายนั้น
“เมื่อสักครู่ที่คุณบอกผมว่าให้ฆ่าเขา เป็นเพราะต้องการแค่เขาหลุดพ้นใช่ไหม?” เขายกมือขึ้นกุมศีรษะเธอแล้วขยี้เบาๆ
ซูย้าวเงยศีรษะขึ้นมาแล้วพยักหน้า “อืม”
“คุณรู้ว่าเขามีสายเลือดทางตะวันตก อีกทั้งยังใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศตั้งนาน เขามีความเชื่อเรื่องพระเจ้า และการฆ่าตัวตายจะต้องตกนรก แม้ว่าในใจเขาจะเต็มไปด้วยความชั่วร้าย แต่เมื่อถึงเวลา คุณก็หวังว่าเขาจะได้รับโทษน้อยลง”
เขาพูดพร้อมกับเอามือสัมผัสไปที่แก้มเธอว่า “เด็กโง่ของผม คุณช่างใจดีเหลือเกิน”
ลี่เฉินซีไม่รู้ว่าเขาควรใช้คำไหนมาอธิบายนอกจากคำว่า “ใจดี”
บางทีเขาอาจไม่เข้าใจมัน เขาเพียงแค่คิดว่าคนอย่างอานเจียเย้นสมควรได้รับผลกรรมนี้ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าความคิดความเข้าใจและความเข้าใจของซูย้าวว่าแตกต่างไปจากเขา
อานเจียเย้นไม่ได้ทำร้ายเธอจริงๆ เขาไม่ได้คิดฆ่าลี่หมิง และไม่ได้คิดทำลายชีวิตเธอ และเป็นเพราะเธอไม่ยินยอม ดังนั้นเขาจึงไม่เคยแตะต้องเธอเลย
ไม่น่าแปลกใจเลยหากคนอื่นสามารถทำได้เช่นนี้ แต่นั่นคืออานเจียเย้น ผู้เต็มไปด้วยอำนาจและความสามารถ การทำเช่นนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
นอกจากนี้ ซูย้าวเคยอยู่เคียงข้างเขามานานกว่าสองปี การใกล้ชิดกันตลอดเวลานี้ จะไปมีความรู้สึกแบบเดียวกับลี่เฉินซี ได้อย่างไร?
“อ้อจริงสิ คุณแม่ผมไม่ได้ตาย” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้น “ลูกปืนอยู่ห่างจากหัวใจไปไม่กี่เซนติเมตร และคนที่ฝังศพนั้นคุณเคยช่วยชีวิตเขาไว้ เขาส่งแม่ของผมไปโรงพยาบาลท้องที่ทันทีเป็นการตอบแทน หลังการผ่าตัดทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ”
ซูย้าวตกใจ “กระสุนเบี่ยงทิศเหรอคะ?”
นี่คงเป็นความตั้งใจของอานเจียเย้นอย่างแน่นอน ซูย้าวจำได้ว่าทักษะการยิงปืนของเขาแม่นยำมาก แม้ว่าเขาจะรีบร้อนขนาดไหนก็จะไม่มีวันพลาดมันแน่นอน
“ตอนแรกผมคิดว่ามันคงจะดีถ้าเขาถูกจับ ตราบใดที่คุณ ลูกและแม่ของผมไม่เป็นไร ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แต่ผมก็คาดไม่ถึงว่า……”
ซูย้าวไม่ปล่อยให้เขาพูดต่อ เธอเอาแขนโอบรอบไปคอของเขาแล้วซุกศีรษะเข้าไปไว้ในอ้อมแขนของเขา พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “เป็นแบบนี้ก็ดีค่ะ……”
ความตายเท่านั้นที่ทำให้เขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
ความตายเท่านั้นที่สามารถปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระได้
หวังว่าชาติหน้าเขาจะเป็นคนดีได้ตามใจต้องการ!
ซูย้าวสูดหายใจเข้าลึกอย่างรวดเร็ว เธอปัดเป่าหมอกควันในความคิดออกไป ก่อนจะลุกขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากลี่เฉินซี “เอาล่ะค่ะ ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้นะคะ”
“เด็กโง่ ผมเป็นสามีของคุณ ถ้าไม่ช่วยคุณแล้วจะไปช่วยใคร?” เขาจับแก้มของเธอแล้วเอนตัวลงมาจูบ
หลังจากช่วงเวลาแห่งความอ่อนโยนผ่านพ้นไป เขาก็ส่งเธอไปที่เฮลิคอปเตอร์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคน ซูย้าว มองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ “คุณไม่ขึ้นไปด้วยกันเหรอคะ?”
เขาส่ายหน้า “ยังมีบางสิ่งที่ต้องทำที่นี่ ยังไปตอนนี้ไม่ได้”
ซูย้าวลังเล “คุณต้องใช้เวลานานแค่ไหน?”
“อาจจะสองสามวัน! หรืออาจจะมากกว่านั้นอีกหน่อย พวกเขาจะส่งคุณไปหาหมิงเอ๋อก่อน จากนั้นหวางอี้จะพาคุณกลับไปที่เมือง A และแม่ของผมก็จะถูกส่งกลับไปด้วย” ลี่เฉินซีอธิบายสั้นๆ
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองดูเธออีกครั้ง “ซูย้าว คุณยังรักผมอยู่ไหม? คุณสามารถยกโทษในสิ่งที่ผมเคยทำลงไปได้ไหม?”
ซูย้าวเลิกคิ้วอย่างเคร่งขรึม “คุณพูดถึงเรื่องนี้ในเวลานี้ทำไม?”
“คุณจะยินดีแต่งงานกับผมไหม ถ้าผมขอคุณแต่งงานหลังจากกลับไป” เขายิ้มขึ้นเล็กน้อย ดวงตาลึกล้ำของเขาหรี่ลง “คราวนี้ผมจะขอแต่งงานอย่างจริงจัง มีแม่สื่อมีพิธีอย่างถูกต้อง งานวิวาห์ของเราจะเป็นที่จดจำแห่งศตวรรษ ก่อนหน้านี้ทุกอย่างที่ผมติดค้างคุณ ผมจะชดเชยให้ คุณเองก็อย่าหนีงานแต่งอีก พวกเรามาแต่งงานกันอย่างจริงจังสักที ได้ไหม?”
ซูย้าวขมวดคิ้ว “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่คุณจะมาขอแต่งงานนะคะ! นอกจากนี้คุณพูดมาให้ชัดเจนก่อนว่าคุณจะกลับมาเมื่อไหร่?”
ลี่เฉินซีไม่ได้ตอบสนองเธอ เขาเพียงโบกมือไปทางนักบินและมองดูเฮลิคอปเตอร์บินขึ้นไปอย่างช้าๆ เขายืนอยู่ด้านล่าง ลมแรงจากใบพัดกระทบผมของเขา “ผมจะถือว่าคุณตกลงแล้ว คุณภรรยา รอผมนะ!”
ซูย้าว “……”
เธอยังมีอีกหลายสิ่งที่จะพูดกับเขา และมีบางสิ่งที่เธอต้องการถามให้ชัดเจน แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว เธอไม่มีโอกาสให้ตัวเองเลย!
เฮลิคอปเตอร์พาซูย้าวไปยังเมืองหรู่โจวที่อยู่ข้างๆ หลังลงจากเฮลิคอปเตอร์แล้ว เธอก็เห็นลี่หมิงลูกชายตัวน้อยของเธอที่รอเธออยู่นาน เขาเหมือนนกนางแอ่นตัวน้อยที่โผบินเข้าไปหาเธออย่างมีความสุข “แม่ครับ!”
ซูย้าวอุ้มเจ้าหนูขึ้นมาแล้วสนทนากับเขาสองสามคำ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นหวางอี้และคนอื่นๆ
“คุณหญิง” หวางอี้ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ตอนนี้ควรเรียกคุณว่าคุณหญิงได้แล้วใช่ไหมครับ?”
ซูย้าวขมวดคิ้วแต่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และไม่พูดอะไรออกมา
“คุณหญิงอย่าไปกังวลเรื่องคุณลี่เลยครับ มีปัญหาบางอย่างต้องอธิบายให้ชัดเจนกับทางตำรวจ และเขาต้องจัดการเรื่องราวต่อจากนั้นอีก ผมจะพาคุณหญิงกับนายน้อยกลับไปที่เมือง A ก่อน นายหญิงกับคุณชายใหญ่ได้กลับไปที่เมือง A แล้ว”
ซูย้าวพยักหน้า เธอจับมือลูกชายตัวน้อยของเธอแล้วไปพักผ่อนที่โรงแรมใกล้ๆ อยู่สองสามชั่วโมง เธออาบน้ำให้ลูกชาย สองแม่ลูกหาอะไรกินกันในเมือง หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็มีเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวมารับกลับเมือง A ไป
ระหว่างทาง ลี่หมิงรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงนอนลงบนตักของเธอและผล็อยหลับไป
หวางอี้ยังคงทำงานอยู่ ซูย้าวมองออกไปด้านนอกหน้าต่างยามค่ำคืนเพียงลำพัง ความคิดของเธอหนักอึ้ง หากตำรวจต้องการสอบสวน คนที่ควรจะสอบสวนมากที่สุดก็คือตัวเธอต่างหาก!
ครั้งหนึ่งเธอเคยใช้ชื่อและตัวตนของอานหว่านชิง เป็นหนึ่งในบุคคลที่รับผิดชอบ Double Aceกรุ๊ป แม้ว่าอานเจียเย้นจะเสียชีวิตลง แต่ลุงไชลด์และผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ก็จะถูกดำเนินคดีในศาลเช่นกัน เธอสามารถเป็นพยานในการตั้งข้อหาได้ แต่ทำไมจึงไม่เรียกตัวเธอไป?
นอกจากนี้ เธอยังจำได้ว่าอานเจียเย้นเคยตั้งข้อหาฟ้องร้องลี่เฉินซีมาก่อน ในการสืบสวนนี้เขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพราะบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้นเสียชีวิตลงอย่างไม่มีหลักฐาน มันทำให้เขากำลังลำบากหรือเปล่า?