เลือกรองเท้ามาหนึ่งคู่ ฟู่กุ้ยให้พนักงานไปออกบิลมา แต่กลับยังไม่รีบร้อนจ่ายเงิน เขาพาหลิวเหมยไปร้านของรองเท้าส้นสูงที่อยู่ข้างๆ
“ยี่ห้อนี้พี่เคยได้ยินเพื่อนที่ทำงานคุยกันว่าทรงดี ใส่แล้วไม่เมื่อย เธอลองดูนะว่าชอบแบบไหน”
“พี่…ไม่ถือสาเรื่องที่ฉันใส่ส้นสูงเหรอคะ”
“ผู้หญิงชอบแต่งตัวเป็นเรื่องปกติ ขอแค่เธอเลือกที่เหมาะกับเท้าก็พอแล้ว พี่ไม่ถือสาหรอกถ้าผู้หญิงใส่ส้นสูงแล้วจะสูงกว่าพี่ เกียรติของผู้ชายไม่ได้อยู่ที่ส่วนสูง การให้เกียรติในสิ่งที่ผู้หญิงชอบก็เป็นการแสดงออกถึงความเป็นลูกผู้ชายอย่างหนึ่ง”
หลิวเหมยได้ยินเขาพูดแบบนี้อยู่ๆก็รู้สึกว่าพี่ฟู่กุ้ย…เท่ห์ระเบิดเลย
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคนก่อนหน้านี้ เท่ห์กว่าเยอะชนิดที่นำขาดลอย
พอซื้อรองเท้าเสร็จก็พาหลิวเหมยไปโซนเสื้อผ้าผู้หญิง
“พี่ฟู่กุ้ยไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าหรอกค่ะ”
“ขาเธอทั้งยาวทั้งสวย ถ้าไม่ใส่กระโปรงก็น่าเสียดายออก น้าเจี่ยอายุจะห้าสิบแล้วยังมีนิสัยชอบใส่กระโปรงอยู่เลย พ่อพี่บอกว่า ผู้หญิงถ้าทำตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอไม่เพียงแต่จะยิ่งมีความมั่นใจ ยังทำให้โลกนี้สวยงามขึ้นด้วยนะ”
เลี่ยวฟู่กุ้ยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง มุกที่พ่อใช้เอาใจเมีย เขาลอกเลียนแบบโดยไม่ดัดแปลงเลยแม้แต่น้อย
ได้ผลดีมาก หลิวเหมยหน้าแดงกล่ำ ถูกชมอีกแล้ว~
พนักงานพอเห็นแบบนั้นก็รีบพูดสมทบทันที “คุณผู้หญิงหุ่นดีมากเลยนะคะ เสื้อผ้าของร้านเราค่อนข้างเหมาะกับผู้หญิงขายาว สมัยนี้คนที่หุ่นดีๆแบบคุณผู้หญิงมีน้อยมากเลยนะคะ ดูสิคะแฟนคุณผู้หญิงช่างเอาใจใส่อะไรแบบนี้”
“เขาไม่ใช่—”
“ลองตัวนี้ดูสิ” ฟู่กุ้ยรีบคว้าเสื้อผ้ามาขัดจังหวะหลิวเหมย
ตอนนี้ไม่ใช่ แล้วคิดว่าต่อไปจะไม่ใช่ด้วยเหรอ
ไม่แน่หรอก
ไม่สิ ไม่ควรพูดแบบนั้น ตอนนี้ไม่ใช่ อีกเดี๋ยวจะไม่ใช่ด้วยเหรอ
อยู่ๆเลี่ยวฟู่กุ้ยก็รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันฤกษ์ดี เหมาะที่จะสารภาพรัก
ภายใต้ลูกยุของเลี่ยวฟู่กุ้ย หลิวเหมยลองเสื้อผ้าไปหลายชุด กระโปรงที่ชายเหนือเข่าขึ้นไปเล็กน้อยเธอรู้สึกแปลกๆ แต่เขาเอาแต่ชมว่าสวยมาก หลิวเหมยดีใจก็เลยลองใส่
ฟู่กุ้ยฉวยโอกาสตอนที่หลิวเหมยเข้าไปลองชุดรีบไปจ่ายเงิน พอหลิวเหมยรู้เข้าก็เกรงใจ
“เท่าไรคะ เดี๋ยวฉันคืนให้”
“ไม่เท่าไรหรอก คิดเสียว่าพี่ดีใจที่ได้รางวัลใหญ่เลยอยากแบ่งปันความสุข”
“เกรงใจจัง…” หลิวเหมยรู้ว่าห้ามรับของจากผู้ชายส่งๆ คบกับหม่าลุ่ยสองปีดูเหมือนเขาเคยซื้อให้เธอแค่ไอศกรีมแท่งเดียว—แถมยังเป็นไอศกรีมธรรมดาราคาห้าเหมาที่ไม่ได้มีครีมนมอะไรเลย
“หลิวเหมยเธอชอบมัลดีฟไหม”
“ชอบสิคะ”
“งั้น…เธอจะยอมไปกับพี่ไหม”
“หืม”
“พี่หมายความว่า—ช่วยมาเป็นแฟนพี่เพื่อแต่งงานในอนาคตได้ไหม”
เขาพูดออกไปแล้ว ฟู่กุ้ยแอบจุดพลุในใจ หลิวเหมยเองก็เช่นกัน
“คุณผู้หญิงคะ รับปากผู้ชายดีๆแบบนี้เถอะนะคะ พวกเรามองออกว่าเขาชอบคุณอย่างจริงใจค่ะ” พนักงานให้การดูแลลูกค้าที่ซื้อเสื้อผ้ามากมายขนาดนี้เป็นอย่างดี
“พี่พูดไม่ค่อยเก่ง แต่พี่รับรองเลยนะว่าจะดูแลเธออย่างดี จะทำให้เธอมีความสุขทุกวัน ให้โอกาสพี่สักครั้งได้ไหม”
“แต่ฉันต้องแต่งงานปีนี้ พี่…ได้เหรอคะ”
เมื่อเจอกับคำถามนี้ของหลิวเหมยที่ถามอย่างอายๆ เลี่ยวฟู่กุ้ยมีหรือจะปฏิเสธ
“ได้แน่นอน ท่านประธานาธิบดีกล่าวไว้ว่า ความรักที่ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อแต่งงานล้วนไม่จริงใจ”
ซึ่งแน่นอนว่านายเลี่ยวฟู่กุ้ยจะไม่ยอมเป็นคนไม่จริงใจแน่นอน
ช่วงหลายปีมานี้อันที่จริงที่บ้านก็จัดการเรื่องดูตัวให้เขาหลายครั้ง แต่เขารู้สึกเหมือนมันขาดอะไรไป จนกระทั่งวินาทีที่ได้เจอหลิวเหมย ฟู่กุ้ยก็เข้าใจแล้วว่า สิ่งที่เขาขาดก็คือความรู้สึกแบบหลิวเหมยนี่แหละ
อยากจะเห็นเธอ รอคอยที่จะได้ฝันถึงเธอ ชอบถึงขนาดที่ว่าทำให้คนที่พูดไม่ค่อยเก่งแบบเขากลายเป็นคนพูดมากได้ ชอบถึงขนาดที่ว่าทำให้ผู้ชายที่มีนิสัยมัธยัสถ์กล้าควักเงินซื้อบ้านโดยไม่คิด ชอบถึงขนาดที่ว่าเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ถ้าไม่ยอมเปลี่ยนก็แสดงว่ายังชอบไม่มากพอ
พอคิดได้ดังนั้นก็ถึงเวลาสารภาพ
“ตอบตกลงสิคะ”
“คบกับพี่นะ”
หลังจากสิ้นเสียงของเลี่ยวฟู่กุ้ยกับพนักงาน หลิวเหมยก็หน้าแดงกล่ำพยักหน้าอย่างอายๆ บางทีก็ควรจะลองดู พี่สะใภ้พูดถูก ไม่มีใครดวงซวยไปตลอด เรื่องบางอย่างถ้ามันจะมายังไงก็ต้องมา
หลิวเหมยกลับมาถึงบ้านค่อนข้างเย็น หลังออกมาจากห้างสรรพสินค้าเธอก็ไปเดตกับเลี่ยวฟู่กุ้ย เขาเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังอย่างละเอียด ทั้งสองคนเดินเล่นไปตามถนน คุยกันอย่างมีความสุข มีความสุขถึงขนาดที่ว่าหลิวเหมยลืมเรื่องที่ตัวเองเพิ่งบอกเลิกกับแฟนเก่าไปเสียสนิท
หลังจากกลับมาเธอก็อยู่ในอาการเหม่อลอย ที่แท้ความรักก็เป็นแบบนี้นี่เอง ความรักครั้งก่อนที่เธอคิดเอาเองว่ามันคือความรักเมื่อเทียบกับครั้งนี้แล้วครั้งก่อนเหมือนเด็กเล่นบทบาทสมมติ
ตอนที่หลิวเหมยหิ้วของพะรุงพะรังเข้าบ้าน เสี่ยวเชี่ยนกำลังนั่งไขว่ห้างอ่านเอกสารที่พี่ใหญ่ให้มาอยู่บนโซฟา
พอเห็นหลิวเหมยเข้ามาเสี่ยวเชี่ยนก็แค่เหลือบมอง เห็นข้าวของเยอะแยะรวมถึงสีหน้าอิ่มเอิบของหลิวเหมยเธอก็รู้ได้ทันทีว่าสำเร็จ
“ไม่อยากกลับเลยใช่ไหม โตเป็นสาวแล้วสินะ”
“พี่สะใภ้ก็~”
“จึ๊ๆ ผู้หญิงที่เพิ่งมีความรักนี่เปลี่ยนไปจริงๆ น้ำเสียงหวานได้ขนาดนี้เลยเหรอ”
“อย่าแซวสิคะ อันที่จริงฉันอยากเล่าให้พี่ฟังว่า—”
“ว่าเธอกับฟู่กุ้ยพี่ชายพี่ลงเอยกันแล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องเล่าหรอก เสี่ยวเฉียงฝากมาบอกว่า พวกเธอจะคบกันเขาไม่ว่าอะไร แต่ต่อไปถ้าแต่งงานกันแล้วต้องให้ฟู่กุ้ยเรียกตามเธอ ซึ่งก็หมายความว่าเธอยังต้องเรียกพี่ว่าพี่สะใภ้ตามเดิม เสี่ยวเฉียงไม่มีทางเรียกว่าพี่ฟู่กุ้ย”
“หา พี่หลางรู้แล้วเหรอคะ” เธอเพิ่งจะตอบตกลงเป็นแฟนไม่กี่ชั่วโมงก่อนเองนะ…
“ไม่ใช่แค่พี่หลางของเธอนะ พี่สะใภ้ใหญ่คงไปกระจายข่าวเรียบร้อย พ่อแม่เธอพอใจในตัวเลี่ยวฟู่กุ้ยมาก พ่อแม่ที่เลี้ยงเธอมาก็ชอบเขาเหมือนกัน ได้ยินว่าพ่อเธอเตรียมตัวเจอว่าที่ลูกเขยแล้วด้วยนะ พี่เองก็โทรไปบอกอาเลี่ยวแล้วด้วย เขาเตรียมจะไปพบพ่อแม่เธออาทิตย์นี้เพื่อคุยเรื่องเธอกับพี่ฟู่กุ้ย”
หลิวเหมยตกใจปล่อยของในมือหล่นหมด
นี่มัน…อะไรกัน
สับสนไปหมดแล้ว นี่เธอเพิ่งตอบตกลงเป็นแฟน แต่ครอบครัวเธอ ตระกูลอวี๋ รวมถึงพ่อของพี่ฟู่กุ้ยรู้กันหมดแล้วเหรอ
“พี่จะลำดับเรื่องให้ฟังนะ พี่หลางของเธอชื่นชมมากในความกล้าที่เธอเขี่ยผู้ชายเฮงซวยทิ้งไปได้ ข่าวนี้ไม่ถึงสองนาทีพี่สะใภ้ใหญ่ก็ทราบเรื่อง พอพี่สะใภ้ใหญ่รู้เรื่องไม่ถึงสามนาทีแม่สามีพี่ก็รู้เรื่อง จากนั้นพ่อแม่เธอก็รู้เรื่อง ส่วนอีกด้านนึง พี่โทรหาอาเลี่ยว อาเลี่ยวพบว่าเขารู้จักกับพ่อเธอก็เลยรีบโทรหาพ่อเธอ จากนั้นทุกอย่างก็ลงล็อค”
ถึงแม้ว่าคนที่ทำงานในระดับเทียบเท่าผู้ว่ามณฑลจะมีไม่น้อย แต่วงการก็ไม่ได้ใหญ่ ครอบครัวไหนเป็นแบบไหนก็พอจะรู้ๆกันอยู่ พ่อแม่หลิวเหมยพอใจในตัวพ่อของฟู่กุ้ยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคนก่อนหน้านี้ พอรู้เรื่องก็สนับสนุนทันที ส่วนทางด้านพ่อของฟู่กุ้ยยอมลดเงื่อนไขลงมาถึงขนาดที่ว่าจะแต่งกับผู้หญิงที่มีลูกติดก็ไม่เป็นไร แล้วนับประสาอะไรกับผู้หญิงที่ดีขนาดนี้ ครั้นแล้วทุกอย่างก็ประจวบเหมาะพอดี
“จริงสิ พี่ยังมีข่าวเด็ดจะบอกเธอด้วย อยากฟังไหม” เสี่ยวเชี่ยนพูดกับหลิวเหมย
“ข่าวเด็ดอะไรเหรอคะ” หลิวเหมยถาม