บทที่ 37 ดอกโซ่วเหมยกิ่งหนึ่ง
Ink Stone_Romance
ปัง ปัง ปัง!
มีคนเคาะประตูแผ่วเบา เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังปะปนอยู่ในสายลม “ท่านหวยจิน”
“มีเรื่องอันใด?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“นายท่านเชิญท่านไปห้องโถงใหญ่ขอรับ” คนนั้นกล่าวตอบ
อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ ซ่งชูอีไม่ใคร่ยินยอมออกไปนัก แต่ว่าเมื่อมาถึงที่จวนวันแรก จำต้องไปพบปะกับแขกที่ปรึกษาในจวนท่านอื่น คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่ต้องร่วมงานด้วยในอนาคต มิอาจปล่อยปละละเลยได้
ซ่งชูอีลุกออกจากผ้าห่มด้วยความเด็ดขาด คว้าเสื้อผ้าที่อยู่บนเตียงมาสวมอย่างรวดเร็ว ด้วยระดับความเร็วเช่นนี้
จื๋อหย่ายังไม่ทันได้ตอบสนอง มีเวลาเพียงหยิบเสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่บนเตียงแล้วช่วยนางสวมมัน
ครั้นเปิดประตูก็เห็นเด็กหนุ่มที่แต่งตัวเหมือนคนรับใช้ยืนอยู่ด้านนอกประตู สายลมกับเกล็ดหิมะพัดกระทบแก้มจนรู้สึกเจ็บจางๆ ซ่งชูอีกระชับเสื้อคลุมบนตัว เอ่ยขึ้น “ไปเถอะ”
“ขอรับ” เด็กหนุ่มค้อมตัวเอ่ย
ซ่งชูอีก้มหน้าต้านลมหิมะพร้อมจ้ำอ้าวตามเขาไปยังห้องโถงใหญ่ จวนของหลงกู่ชิ่งเป็นที่พักอาศัยรูปแบบครัวเรือน คนในครอบครัวพวกเขามีไม่มาก มีเพียงหกห้อง แต่ละห้องตั้งอยู่ใกล้กัน แต่สถานที่ที่ซ่งชูอีพักมิได้อยู่ในบริเวณจวนของหลงกู่ชิ่ง แต่มีลักษณะเหมือนกับห้องอื่นๆ ของเขา มันเป็นลานกว้างที่แยกตัวออกมากจากจวนหลงกู่ เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก
เดินไปได้สิบกว่าจั้ง ก็มีประตูด้านข้างที่นำไปสู่ลานหลัก ซ่งชูอีเข้าใจในทันทีว่าเมื่อครู่ “โซ่วเหมย” กิ่งนั้นก็เดินมายังทิศทางนี้
เมื่อเดินเข้าจวนของหลงกู่ มีชายวัยกลางคนนำทางตรงทางเดิน แม้เมื่อวานขณะที่เจอเขาแสงไฟมืดสลัว แต่ซ่งชูอีก็ยังคงจำได้ว่าผู้นี้คือพ่อบ้านของจวนหลงกู่ มีนามว่า ชีอู่
“ชี” นั้นหมายถึงชีเฉิงแห่งรัฐเว่ย์ มันคือนครใหญ่ที่พ่อค้ารวมตัวกันเพื่อทำการค้าขาย สกุลหลงกู่ย้ายจากชีเฉิงมายัง
ผูหยาง
ในห้องโถง บัดนี้ที่นั่งสองข้างมีคนนั่งอยู่สิบกว่าคนแล้ว ล้วนสวมเสื้อคลุมแขนกว้างทั้งหมด
ซ่งชูอีเข้าไปในห้องโถง กวาดสายตาด้วยความรวดเร็วรอบหนึ่ง มีบัณฑิตทั้งหมดแปดท่าน ด้วยตำแหน่งของหลงกู่ชิ่งและครอบครัวสกุลหลงกู่แล้วนี่นับว่าน้อยมากจริงๆ อย่างไรก็ดีซ่งชูอีคิดมาจากจิตใต้สำนึก ไม่ว่าความสามารถของบัณฑิตทั้งแปดท่านนี้จะมีมากเพียงใด ลำพังเพียงรูปลักษณ์ก็นับว่ายอดเยี่ยมมาก ก็ไม่น่าแปลกใจที่หลงกู่ชิ่งไม่ใคร่จะมองนางเท่าใดนัก ที่แท้เขารับแขกที่ปรึกษาเพราะหน้าตานี่เอง!
ทันทีที่ซ่งชูอีเข้าห้องก็ถูกทุกสายตาจับจ้อง นางเห็นว่าบางคนเห็นนางแล้วก็แสดงออกถึงความเหยียดหยามแบบที่เคยปรากฏอยู่บนใบหน้าของ “โซ่วเหมย” ทันที ทว่านางยังคงต้อนรับทุกสายตาที่อยากรู้อยากเห็นและดูแคลนด้วยความสงบนิ่ง
“คารวะท่านแม่ทัพ” ซ่งชูอีคำนับเอ่ย
หลงกู่ชิ่งตอบรับเสียงหนึ่ง “เชิญท่านนั่ง”
ซ่งชูอีเงยหน้าหันมองโดยรอบ ก่อนเดินไปยังที่ว่างที่อยู่หลังสุดอย่างเชื่องช้า
เมื่อคืนคนรับใช้ได้แจ้งเชิญแขกที่ปรึกษาทุกท่านให้ไปยังห้องโถงเพื่อทำความรู้จักกับบัณฑิตที่เพิ่งเข้าจวนมาใหม่แล้ว นอกเหนือจาก “โซ่วเหมย” ทุกคนล้วนจินตนาการอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและรอคอยที่จะได้ร่วมงานกับบุคคลที่มีบุคลิกสง่างามโดดเด่น ด้วยเหตุนี้จึงแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเต็มยศและมารอในห้องโถงตั้งแต่เช้าตรู่ ซึ่งนับว่าเป็นการแสดงความเคารพเหลือคณา ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะกลับกลายเป็นเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นนี้! อีกทั้งยังเป็นเด็กหนุ่มที่มิได้มีหน้าตาโดดเด่นอีกด้วย!
จะมิให้ผิดหวังได้เยี่ยงไร? จะมิให้อารมณ์เสียได้เยี่ยงไร?
อย่างไรก็ดีกิริยาของซ่งชูอีเช่นนี้ทำให้บัณฑิตแปดท่านที่เหลือรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง ดีเลวอย่างไรก็ยังรู้จักเจียมตัว!
“แขกที่ปรึกษาของข้ามีไม่มาก หากแต่เป็นการกำจัดวัชพืชคงไว้แต่ไม้งาม คนที่อยู่ในจวนของข้าล้วนมีแต่บัณฑิตผู้รอบรู้” หลงกู่ชิ่งเอ่ย
ทุกคนตอบรับด้วยสีหน้านอบน้อมแต่คัดค้านอยู่ในใจ รู้สึกว่าซ่งชูอีก็คืออุจจาระหนูที่ร่วงเข้าไปในหม้อ และทำลายหม้อโจ๊กรสชาติดี
“ท่านหวยจินช่วยรัฐเว่ย์ของข้าให้พ้นจากความทุกข์ ท่านจวินชื่นชมอยู่มากโข” หลงกู่ชิ่งกล่าวพลางมองซ่งชูอี “ท่านก็ทำความรู้จักมักคุ้นกับทุกคนสักหน่อยเถิด”
ซ่งชูอีวางเสื้อคลุมตัวใหญ่บนโต๊ะตัวเตี้ย ยิ้มจางๆ พร้อมประสานมือเอ่ยต่อทุกคน “ข้าน้อยซ่งชูอี ชื่อรองหวยจิน ชื่อรองเดิมว่าอิ๋นเยวี่ย”
“หวยจินมิได้มาจากราชสำนักรัฐซ่งหรอกหรือ?” บัณฑิตวัยกลางคนในเสื้อคลุมสีเทาที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายด้านหน้าสุดยิ้มเอ่ย
บัณฑิตวัยกลางคนอายุราวสามสิบห้า หน้าขาวเครางาม ใบหน้าเถรตรง ภายใต้คิ้วดุจดาบนั้นคือดวงตาคู่หนึ่งที่ยกทำมุมขึ้นเล็กน้อยคล้ายกลีบดอกท้อ มีรอยหยักตื้นๆ หนึ่งหรือสองจุดตรงหางตาขณะยิ้ม เห็นได้ชัดว่าบุคลิกสง่างามน่าประทับใจอีกทั้งยังอัธยาศัยดี
ซ่งชูอีไม่ได้ปฏิเสธ พูดด้วยความจริงจังว่า “ซ่ง” คือสกุลของนางมิใช่แซ่ ซ่งชูอีกล่าวต่อ “บรรพบุรุษของข้าน้อยย้อนกลับไปแค่ซ่งฮุ่ยกง ซึ่งก็เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น อำนาจถดถอยนานแล้ว ร้อยปีก่อนจึงใช้ซ่งเป็นแซ่ ไม่นับว่าเป็นคนของราชสำนักกระมัง! ไม่ทราบว่าท่านผู้นี้คือ…”
“ข้าน้อยซีหง ชื่อรองเช่อเฉวียน” ชายวันกลางคนประสานมือเอ่ย
“ฮุ่ยซูอวิ๋น ชื่อรองจื่อเหยียน” จากนั้นเป็นผู้ชายอายุสามสิบกว่าที่อยู่ถัดจากซีหงเอ่ย
เรียงตามลำดับอาวุโส ดูจากอายุภายนอกแล้ว พวกเขานั่งเรียงจากอายุมากไปหาน้อย ส่วน “โซ่วเหมย” กิ่งนั้นที่พักอยู่ในลานเดียวกันกับซ่งชูอีนั่งอยู่ตรงข้ามนาง
ทุกคนแนะนำตัวเองอย่างง่ายๆ ทีละคน จนมาถึงโซ่วเหมย ซ่งชูอีมองเขาอย่างละเอียดจึงพบกว่าเขาดูเหมือนอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ เป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดในห้อง
“หนานฉี ชื่อรองหยุ่นซื่อ” โซ่วเหมยกล่าวอย่างเกียจคร้าน มองเพียงถ้วยน้ำชาตรงหน้าตลอดเวลา ไม่แม้แต่จะเหลือบเปลือกตาขึ้นมอง
“ทุกท่านก็นับว่ารู้จักกันแล้ว ท่านหวยจินเป็นศิษย์สำนักเต๋า ทุกท่านในที่นี้หากมีเวลาว่างก็สามารถพูดคุยกันได้” หลงกู่ชิ่งมองมายังหนานฉี “ในความเร่งรีบนี้ ก็จัดให้หวยจินกับเจ้าอยู่ลานเดียวกันก่อน นับว่าจนปัญญาแต่ก็นับเป็นวาสนา พวกเจ้าสองคนก็อาศัยโอกาสนี้ถามไถ่กันได้”
ซ่งชูอีประหลาดใจเล็กน้อย หรือว่าโซ่วเหมยกิ่งนี้ก็เป็นคนของสำนักเต๋า? นางมองไม่ออกจริงๆ ว่าลัทธิเต๋าที่สนับสนุนความสงบปล่อยวางและชื่นชอบการเข้าถึงกฎธรรมชาติ เหตุใดจึงบ่มเพาะศิษย์ผู้โอหังเช่นนี้ได้!
หลงกู่ชิ่งฝากฝังอีกสองคำก็ปล่อยให้ทุกคนแยกย้าย มิได้กล่าวถึงเรื่องงานใดๆ ทั่วทั้งรัฐเว่ย์ต่างเปี่ยมด้วยบรรยากาศแห่งความโศกเศร้า หลงกู่ชิ่งเองก็ติดเชื้อไม่มากก็น้อย มีความสิ้นหวังอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าซ่งชูอีมีความสุขที่จะได้กลับไปซุกตัวนอนอยู่บนเตียง อากาศเช่นนี้มันช่างเหลือทนจริงๆ!
บัณฑิตกลุ่มหนึ่งเดินอ้อยอิ่งอยู่ท่ามกลางพายุหิมะบ้าคลั่ง ดูค่อนข้างผ่อนคลายไร้กังวล ซ่งชูอีมิได้มีความสุขในการทรมานตัวเองเช่นนี้ กระชับเสื้อคลุมใหญ่ตัวบนตัวต้องการจะเร่งฝีเท้า แต่กลับถูกซีหงรั้งตัวไว้
“หวยจินเพิ่งมา คงไม่รู้เรื่องซุยหยางกระมัง พรุ่งนี้จะมีงานประชุมหารือการปกครองที่ชานเมือง ถึงตอนนั้นหวยจิน
อย่าลืมไปเสียล่ะ” ซีหงเอ่ยเตือนสติ
“หารือการปกครอง?” ซ่งชูอีเคยได้ยินว่าฉีหลี่ว์ก็มีการรวมตัวเพื่อหารือการปกครองอันเป็นที่นิยม คิดไม่ถึงว่ารัฐเว่ย์ก็มีรูปแบบเช่นนี้เหมือนกัน นางเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณพี่เช่อเฉวียน หวยจินเพิ่งมาถึง ยังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ของรัฐเว่ย์ ถ้าหากพี่เช่อเฉวียนไม่รังเกียจ ถึงเวลานั้นไม่ทราบว่าข้าจะไปกับท่านได้หรือไม่?”
“ได้” ซีหงยิ้มรับแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงได้พูดคุยกับซีหง หากซ่งชูอีจะหนีไปก่อนก็มิงาม ครั้นคิดว่าเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้นจึงกัดฟันอดทน
หากเพียงต้องสงบสติอารมณ์ นางก็สามารถทำได้
คนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า คนสองสามคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังพูดคุยกัน ส่งเสียงหัวเราะสดใสเป็นครั้งคราว
ซ่งชูอีสูดๆ จมูก แอบด่าอยู่ในใจ บ้าเอ๊ยจะแสร้งตัวสง่างามในหิมะท่ามกลางวันหนาวเหน็บเพื่ออะไรกัน! ยังไม่รีบกลับไปที่ห้องอีก คิดอยากพูดอะไรก็พูดได้
“ซ่งหวยจิน” จู่ๆ ฮุ่ยซูอวิ๋นหันมา “อาจารย์ของท่านคือผู้ใด?”
…………………………….