บทที่ 56 อาจารย์เข้าใจทฤษฎีสำนักยุทธพิชัยรึ?
Ink Stone_Romance
แม้นซ่งชูอีดูเอาจริงเอาจังเหมือนผู้ใหญ่ แต่ว่าเมื่อมองดูอาจารย์และศิษย์สองคนที่อยู่ในวัยหนุ่มเหมือนกัน ทุกคนยังคงรู้สึกเหลือรับอยู่บ้าง
ซ่งชูอีก็เข้าใจจุดนี้เป็นอย่างดี จึงเอ่ยกับหลงกู้ปู้วั่ง “เจ้ากลับห้องเรียนไปก่อนเถิด ข้าจะตามไปภายหลัง”
หลงกู่ปู้วั่งประสานมือคารวะซ่งชูอี แล้วลุกขึ้นจากไป
จีเหมียนโน้มตัวเข้ามา ถามด้วยความสงสัย “หวยจิน เมื่อครู่เจ้ากระซิบข้างหูของเขาว่ากระไรรึ? เหตุใดเจ้าเด็กหัวร้อนนั่นจึงเปลี่ยนท่าทีฉับพลัน?”
คนที่อยู่ในห้องล้วนมิเคยเป็นอาจารย์ของหลงกู่ปู้วั่งมาก่อน ทว่าพวกเขาอยู่ในจวนมาเนิ่นนานแล้ว หลงกู่ชิ่งก็เคยให้พวกเขาแนะนำบัณฑิตผู้มีความรู้อีกด้วย แต่ว่าทุกคนล้วนสอนได้เพียงไม่กี่วันก็ถอนตัวเสียแล้ว
อย่างไรก็ดีครั้นเห็นว่าท่าทีของหลงกู่ปู้วั่งที่มีต่อซ่งชูอีเปลี่ยนไปกะทันหัน ก็ต่างอยากรู้อยากเห็นมากว่านางกล่าวอันใดกับเขากันแน่
“ข้ากล่าวว่า…” ซ่งชูอียิ้มตาหยีกล่าวกับจีเหมียน “ข้าเล่นเก่งที่สุด ต่อไปก็จะสอนวิธีเล่นแก่เขา”
แทบไม่มีใครเชื่อคำพูดนี้ แม้นหลงกู่ปู้วั่งเป็นเด็กหัวรั้น ทว่าเขาก็เป็นเด็กที่ฉลาดมากคนหนึ่ง ทุกครั้งมักจะรังเกียจว่าเหล่าอาจารย์มิได้มีความรู้ที่แท้จริง จะห่วงแต่เล่นได้เยี่ยงไร?
“ข้ากล่าวเช่นนี้จริงๆ!” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“เอาเถอะ เอาเถอะ ข้าไม่ถามแล้วก็ได้” จีเหมียนโน้มตัวกระซิบข้างหูนาง “วันนี้ข้าได้สุรามาไหหนึ่ง คืนนี้หวยจินมาที่ลานของข้าเพื่อดื่มและเดินหมากกันหน่อยประไร?”
“ฮ่า” จู่ๆ ซ่งชูอีหุบยิ้ม เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “อย่ามาใช้ไม้นี้ หลังจากข้าดื่มสุราแล้วก็มิเคยหลุดคำพูดใด เจ้าตัดใจเสียเถิด ข้าก็มิได้คออ่อนเช่นเจ้า ข้าโปรดปรานกลิ่นหอมของสุรามาก”
จีเหมียนถูกมองแผนการออกก็มิได้รู้สึกละอาย เอ่ยหัวเราะหึหึ “ที่เจ้าพูดก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของข้า ประการที่สองข้าก็อยากดื่มกับหวยจินมากจริงๆ”
ซ่งชูอีเข้าใกล้เขา จ้องดวงตาของเขาในระยะใกล้
จีเหมียนเห็นเพียงใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในดวงตาสดใสคู่นั้นอย่างชัดเจน ครั้นมองใกล้ๆ แม้นผิวพรรณของดวงหน้านั้นไม่นับว่าผุดผ่องมาก ทว่ามีพื้นผิวที่ละเอียดอ่อนราวกับหยกงาม และด้วยระยะใกล้เพียงนี้ทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะฉับพลัน
“อืม นับว่ามีความจริงใจ” ซ่งชูอีพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “แต่ว่าคืนนี้ข้ามีธุระ ขอบคุณพี่อู้เม่ยสำหรับคำเชิญ วันหน้าหวยจินได้สุราดี จะไม่ลืมแน่นอน”
ซ่งชูอีลุกขึนยืน แล้วกลับไปยังห้องเรียน
เดิมทีซ่งชูอีก็มิได้คิดที่จะรับหลงกู่ปู้วั่งเป็นศิษย์จริงๆ อย่างไรเสียดูจากอายุภายนอกแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นความคิดที่บ้าบิ่นโดยแท้ การนัดหมายครึ่งเดือนกับเขานั้นเพียงไม่ต้องการมากเรื่องโดยเปล่า นางเกรงว่าอีกไม่กี่วันก็ต้องไปเป็นราชทูตที่รัฐฉินแล้ว ถึงตอนนั้นไม่ว่านัดหมายอันใดก็ต้องพักไว้ชั่วคราว
“เจ้าเด็กนั่นไม่มั่นคงเสียจริง” ซ่งชูอีเดินพลางรำพันกับตัวเอง
กลับมาถึงห้องเรียน อี๋ซือขุยยืนอยู่ตรงทางเดิน ครั้นเห็นซ่งชูอีกลับมาก็ยิ้มเอ่ย “ข้าผู้เฒ่าดูมิผิดจริงๆ”
ซ่งชูอีอดไม่ได้ที่จะร้องอุทาน “เจียเหล่าหาเรื่องให้ข้าแล้ว!”
“ปู้วั่งเป็นม้าพยศตัวหนึ่ง แต่ว่าม้าพยศโดยทั่วไปมิใช้ม้าชั้นดี หวยจินได้รับประโยชน์แล้วยังแสร้งกล่าววาจาไม่เป็นเหตุเป็นผลกับข้าผู้เฒ่าอีกหรือ!” อี๋ซือขุยกล่าว
ซ่งชูอีหัวร่อเสียงดัง ประสานมือคารวะ “เจียเหล่ากล่าวได้ถูกต้อง วันหน้าข้าจะเชิญเจียเหล่าร่ำสุรา”
“เช่นนั้นเจียเหล่าคงต้องรอแล้ว?” อี๋ซือขุยกล่าวพลางผายมือส่งสัญญาณให้นางว่าหลงกู่ปู้วั่งกำลังรออยู่ในห้องหนังสือ ด้วยนิสัยของซ่งชูอีเช่นนี้เกรงว่าจะเป็นได้เพียงอาจารย์ของหลงกู่ปู้วั่งเท่านั้น อี๋ซือขุยมิกล้ายกลูกศิษย์คนอื่นให้นางทรมานเล่น
ภายในห้องหนังสือ หลงกู่ปู่วั่งคล้ายเพิ่งรู้สึกตัว คิดไม่ตกว่าเหตุใดเมื่อครู่ตัวเองจึงต้องนอบน้อมต่อบุคคลที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนถึงเพียงนี้ นึกรำคาญกับพฤติกรรมขี้ขลาดของตนเองอยู่ในใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตามครั้นย้อนนึกถึงคำพูดของซ่งชูอี เขายังคงไม่อาจยับยั้งความเดือดพล่านนั้นได้ คำว่า “เล่น” ที่นางกล่าวเสมือนได้จู่โจมความปรารถนาส่วนลึกภายใจจิตใจของเขา เขาหวังว่าตัวเองจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างได้กังวล ไม่ว่าจุดจบจะเป็นเยี่ยงไร
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดก็เห็นซ่งชูอีเดินเข้ามา ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย อยากรู้เป็นอย่างมากว่านางจะกล่าวอะไรกับเขา
ช่างเถอะ! หลงกู่ปู้วั่งทอดถอนใจ ลูกผู้ชายไขว่คว้ามาได้ก็ต้องปล่อยวางได้ ในเมื่อได้พบอาจารย์ที่ตรงกับใจแล้ว หากกลัวเพียงการเสียหน้าเกรงว่าท้ายที่สุดแล้วจะเสียใจใหญ่หลวง ถึงอย่างไรเสียก่อนหน้านี้นางก็กล่าวว่าเขาไม่เข้าตาเสียด้วย
“ปู้วั่งขอขมาทุกการกระทำที่เคยล่วงเกินต่ออาจารย์ก่อนหน้านี้” หลงกู่ปู้วั่งโค้งคำนับต่ำยิ่ง เขาตั้งใจที่จะขอขมาก่อน ถ้าหากครึ่งเดือนหลังจากนี้ เขารู้สึกว่านางมีความรู้สูงส่งจริง เขาจะต้องขอขมาอย่างเป็นทางการ
ซ่งชูอีคุกเข่าลงตรงที่นั่งตรงข้ามกับเขา แต่กลับไม่มีบุคลิกของการเป็นอาจารย์ พิงโต๊ะตัวเตี้ย มองดูเขาพร้อมเอ่ยด้วยความเฉยเมย “อืม นับว่าเป็นคนเจ้าแผนการ”
เพียงหนึ่งคำเท่ากับว่าอ่านความคิดของเขาออก หลงกู่ปู้วั่งแอบประหลาดใจ อดไม่ไหวที่จะเงยหน้าขึ้น แต่กลับเห็นซ่งชูอีกำลังยิ้มกว้างมองมาที่เขา
“ลุกขึ้นเถิด ข้ารู้ว่าการให้คนอายุเท่าข้ามาเป็นอาจารย์ของเจ้า ทำให้เจ้ายากที่จะยอมรับ ภายในสิบห้าวันนี้ เจ้าจะต้องวัดดูว่าข้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือไม่ ข้าก็จะดูว่าต้องการรับเจ้าเป็นศิษย์หรือไม่ เป้าหมายของกันและกันเป็นที่ชัดเจน มารยาทเหล่านั้นก็ยกเว้นไว้ชั่วคราวเถิด” ซ่งชูอีเอ่ยพลางเอนตัวอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย “เคยอ่านหนังสือกระไรมาบ้าง?”
ซ่งชูอีนับว่าพึงพอใจกับการแสดงออกของหลงกู่ปู้วั่ง แม้นค่อนข้างอารมณ์ร้อน ดื้อรั้นวู่วาม ทว่ารู้ผิดรู้แก้ไข ยะโสได้แต่ก็ก้มหัวได้ อีกทั้งเป็นคนฉลาด เป็นหยกงามที่ยังมิได้รับการเจียระไนก็เท่านั้น ถ้าหากสามารถรับเขาเป็นศิษย์ได้ก็เป็นเรื่องดี
“กวี กวีนิพนธ์ขงจื้อ กุ่ยกู๋จื่อ ตำรายุทธพิชัยสงครามซุนจื่อ หานเฟยจื่อ[1] เหลาจื่อ ม่อจื่อ…” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ยมากกว่าสิบตำราภายในลมหายใจเดียว
ซ่งชูอีเท้าศีรษะเอ่ย “อ่านมาไม่น้อย ได้อะไรบ้างหรือไม่?”
“มิได้เลย” หลงกู่ปู้วั่งก้มหน้าตอบ
ตำราที่หลงกู่ปู้วั่งอ่านมิใช่เพียงตำราที่ให้ความสว่างทางด้านความรู้ขั้นพื้นฐานแก่ผู้เริ่มศึกษาเรียน หากเป็นคำพูดและหลักปรัชญาของลัทธิและสำนักต่างๆ การอ่านตำราที่แพร่หลายเกินไปก็เหมือนการกินพุทราทั้งลูกโดยไม่เคี้ยวไม่อาจเข้าใจอะไรได้อย่างถ่องแท้ แต่อย่างน้อยก็สามารถขยายความรู้ได้ ทว่าการที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งต้องการเข้าใจแก่นแท้จากการอ่านหลักปรัชญาของแต่ละสำนักเพียงผิวเผินนั้น เกรงว่าลำบากยิ่ง โดยเฉพาะคนที่โลภมากเช่นหลงกู่ปู้วั่ง
“อืม” ซ่งชูอีพยักหน้า “ก่อนจะเลือกแนวทางปฏิบัติของสักสำนัก อ่านไว้มากหน่อยก็เป็นเรื่องดี”
หลงกู่ปู้วั่งรู้สึกไม่ใคร่สบายใจนัก นิสัยที่ดื้อด้านหัวแข็งมาโดยตลอด บัดนี้ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย “แต่ว่าอาจารย์ก่อนหน้านี้ต่างกล่าวว่าหากตะกละตะกลามมากไปจะไม่สามารถซึมซับความรู้ได้”
ซ่งชูอีไตร่ตรอง เอ่ยด้วยความจริงจัง “มันก็สมเหตุสมผลที่พวกเขาจะกล่าวเช่นนี้ เพราะว่าสุดท้ายแล้วใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าใจอัจฉริยะเช่นข้า”
หลงกู่ปู้วั่งตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ไม่ช้าก็หัวร่อเสียงดัง “อาจารย์ช่างน่าสนใจจริงๆ”
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ เรื่องขบขันก็ต้องกล่าว งานจริงจังก็ต้องทำ “เจ้าอ่านหลักปรัชญามาหลายสำนัก โปรดปรานอันไหนที่สุด?”
หลงกู่ปู้วั่งมีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย เอ่ยขึ้น “สำนักยุทธพิชัย ตอนข้ายังเด็กเคยออกจากบ้านไปเยี่ยมกุ๋ยกู่ ทว่ายังมิทันพบ ก็ถูกท่านปู่จับตัวกลับมาแล้ว”
กลยุทธ์ทางทหารโดยมากจะพูดถึงวิธีการใช้กองทหาร จะว่ายากก็ไม่ยาก แม้นจะอ่านเพียงทฏษฎีของมันก็สามารถเข้าใจภาพรวมได้ ในฐานะที่หลงกู่ปู้วั่งหลานชายคนโตของหลงกู่ชิ่ง จะต้องได้รับอิทธิพลจากกิจกรรมทางทหารตั้งแต่เล็กเป็นแน่แท้เนื่องจากได้ยินและเห็นอยู่เป็นนิจ โดยรวมแล้วไม่น่ามีปัญหาเรื่องวิชาการทหารที่อยู่บนผืนกระดาษ ทว่าเขากลับบอกว่ามิได้ความรู้ใดเลย นี่แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานที่เขามีต่อตนเองนั้นสูงนัก อย่างไรก็ดีครั้นจะบอกว่าง่ายก็มิถูกอย่างยิ่ง การทหารมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ต่อให้อ่านทุกทฏษฎีจนเข้าใจแล้ว เวลาที่สู้รบจริงๆ ก็อาจไม่สามารถวางแผนเพื่อแสวงหาชัยชนะได้
หลงกู่ปู้วั่งก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เหตุใดเมื่อพบกับอาจารย์ผู้น่าสนใจได้อย่างยากลำบากแล้ว กลับกลายเป็นศิษย์สำนักเต๋าแต่มิใช่สำนักยุทธพิชัยไปเสียได้
เขานึกได้ว่าซ่งชูอีเคยกล่าวว่า “เป็นศิษย์สำนักเต๋า ทว่ามิได้เข้าใจคำสอนเต๋าที่สุด” เขาจึงมีความหวังริบหรี่ เอ่ยขึ้น “อาจารย์เข้าใจทฤษฎีสำนักยุทธพิชัยรึ?”
“เจ้าเดาสิ” ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อย
………………………………
[1] หานเฟยจื่อ นักปรัชญาคนสำคัญที่มีชื่อเสียงเป็นผู้ริเริ่มสำนักฝ่าเจียหรือสำนักนิติธรรม