บทที่ 73 พวกข้าคือสกุลเจ้า
Ink Stone_Romance
เงียบไปสองลมหายใจ รอยยิ้มกว้างปรากฏอยู่บนใบหน้าของซ่งชูอี กล่าวด้วยความเมตตา “ข้ามิต้องการใช้อำนาจข่มเหงผู้คน ท่านกล่าวความจริงเพียงครึ่งหนึ่ง ก็จงกล่าวความจริงที่เหลือเถิด เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ข้าค้นพบความจริงในภายหลังแล้วยังต้องเสียเวลาตามหาท่านเพื่อแก้แค้น ท่านเห็นว่าเยี่ยงไร?”
หัวหน้าคณะเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของซ่งชูอี ทว่าในใจกลับรู้สึกหนาวสะท้าน นางครุ่นคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าซ่งชูอีกำลังหลอกลวงนาง จึงเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยกล่าวความจริงทุกประการ”
“บัดนี้ท่านเดาออกแล้วว่าข้ามาจากสกุลเจ้ามิใช่หรือ? มิเช่นนั้นเกรงว่าท่านคงจะไม่ตอบคำถามของข้า”
ซ่งชูอีสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ จ้องมองหัวหน้าคณะ เมื่อเห็นท่าทีของนางที่เปลี่ยนไปก็รู้ว่าตัวเองทายถูกแล้ว
คนอย่างหัวหน้าคณะแม้นจะเป็นนักแสดง ทว่าเนื่องจากเสนอสาวงามให้แก่ผู้สูงศักดิ์มาเป็นเวลานานจึงต้องมีอำนาจในแต่ละรัฐเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นก็คงมิกล้ารับเด็กหนุ่มรูปงามตามอำเภอใจและกล้าจับมัดแม้กระทั่งบัณฑิตเช่นจางอี๋ คนประเภทนี้จะต้องมีจิตใจยโสโอหัง หากมิได้คาดเดาว่าซ่งชูอีมาจากสกุลเจ้า จะตอบคำถามนางอย่างอดทนได้อย่างไรกัน
สกุลเจ้าเพราะมีศักดินาที่ดินในเจ้า จึงใช้เจ้าเป็นสกุล และย้ายไปยังรัฐจิ้นในสมัยชุนชิว แต่ละรุ่นของสกุลเจ้าล้วนเป็นขุนนางที่ไว้เนื้อเชื่อใจของรัฐจิ้น ต่อมาสามครอบครัวแตกแยก ที่ดินที่สกุลเจ้าครอบครองจึงกลายเป็นรัฐเจ้าในปัจจุบัน
“ในเมื่อท่านเดาสถานะของข้าถูกต้อง ด้วยวิธีการสื่อสารของคนเยี่ยงท่าน จะมาบอกข้าว่าเป็นลางร้ายได้หรือ?” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความอดทน
ในใต้หล้านี้ จะมีผู้ใดที่มีเกียรติไปกว่าสกุลแห่งราชวงศ์เจ้าอีกเล่า?
หัวหน้าคณะต้องขับเคี่ยวกับผู้มีอำนาจอยู่บ่อยครั้ง จึงต้องมีทักษะในการเข้าสังคม หลังจากที่แม่นางผู้นี้คาดเดาว่าซ่งชูอีมาจากสกุลเจ้าแล้วแต่ยังกล่าวคำพาซวยเช่น “ลางร้าย” กับนาง แสดงให้เห็นว่าไม่มีความลับใด
ใจหนึ่งของนางอยากเอาใจซ่งชูอี ทว่าอีกใจหนึ่งก็ต้องการปิดบังบางสิ่งอย่างสุดความสามารถ สองอารมณ์ที่ขัดแย้งเช่นนี้ทำให้นางกล่าวคำที่ไม่สมกับสถานะออกมา
“เช่นนั้นหากท่านหัวหน้าคณะว่าง ไปหารือในรถข้าหน่อยประไร?” ซ่งชูอีจะไม่ต้อนนางให้จนมุมต่อหน้าธารกำนัล
หัวหน้าคณะเม้มปาก พยักหน้า
ซ่งชูอีเบี่ยงตัวน้อยๆ “เชิญ”
ซ่งชูอีขึ้นรถม้าพร้อมกับหัวหน้าคณะพร้อมกำชับผู้อารักขาว่าห้ามมิให้ผู้อื่นเข้าใกล้ภายในระยะหนึ่งจั้ง
จุดพักม้ามีห้องไม่เยอะทว่าในลานนั้นกว้างขวาง ขบวนรถต่างๆ จึงมิได้อยู่กันอย่างแออัด บวกกับการที่ซ่งชูอี “เปิดเผยสถานะ” เมื่อครู่ ทันทีที่ทุกคนได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ไม่รอให้ผู้อารักขาขับไล่ก็ต่างถอยออกไปหนึ่งจั้งโดยธรรมชาติ
หัวหน้าคณะขึ้นรถไป สิ่งแรกที่เห็นคือลูกหมาป่าหิมะตัวหนึ่งกำลังตอดเนื้อพลางส่งเสียงครางอิ๋งๆ นางตื่นตกใจพร้อมถอยหลังไปครึ่งก้าวทันที พลันสายตาเหลือบไปเห็นคนใช้ที่ทั้งดำและผอมคนหนึ่ง
หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งเดือน อาการอึดอัดและตื่นตระหนกที่ซ่งชูอีเคยแสดงออกต่อหน้าหัวหน้าคณะ บัดนี้กลับสลับตำแหน่งกันแล้ว
ซ่งชูอีหงายสองถ้วยที่คว่ำอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย เจียนรีบรุดเข้ามา ใช้ผ้าหยาบๆ ห่อกาหม้อดินเผาแล้วยกลงมาจากอ่างเผาฟืน รินน้ำลงไปในถ้วย แล้ววางกากลับบนอ่างเผาฟืน สองมือถือถ้วยชายื่นให้กับหัวหน้าคณะ
ซ่งชูอียกถ้วยชาขึ้น เป่าไอร้อนเบาๆ รู้สึกพึงพอใจมาก ลอบมองเจียนผู้พูดน้อยแต่กลับมีความชาญฉลาดยิ่ง
หัวหน้าคณะรับถ้วยชา มองดูซ่งชูอีผู้มีท่าทีผ่อนคลาย ในใจก็มิกล้าเหยียดหยามอีก จึงกล่าวขึ้น “ไม่ขอปิดบังคุณชาย พี่ชายท่านนั้นของท่านยังมิถูกฆ่าตาย เพียงแต่จากข้าน้อยไปโดยมิได้อำลา การค้าขายของข้าพบกับความสูญเสีย จึงกลับมายังรัฐเว่ยเพื่อดูว่าสามารถซื้อคนงามได้อีกสักสองสามคนหรือไม่ ระหว่างทางก็บังเอิญรู้ว่าพี่ชายท่านนั้นจากไปยังต้าเหลียงแห่งรัฐเว่ยแล้ว”
ซ่งชูอียิ้มเยาะในใจ บังเอิญรู้งั้นหรือ? เกรงว่าเป็นการสะกดรอยตลอดทางกระมัง! มิน่าจึงไม่กล้ากล่าวความจริง!
ซ่งชูอีกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ชัดเจน “หากท่านรู้โดยบังเอิญอีก จำไว้ว่าจะต้องบอกข้าให้ได้ เพื่อที่ข้าจะสามารถปกป้องมิให้พี่ชายข้าประสบเคราะห์ในภายภาคหน้า”
“แน่นอนอยู่แล้ว” หัวหน้าคณะฟังแล้วแม้นคำพูดของซ่งชูอีแฝงความข่มขู่ ทว่ากลับมิได้บีบบังคับจนนางลำบากใจ ด้วยเหตุนี้จึงยกมุมปากยิ้มตอบ ทว่าในใจกลับเสียใจยิ่ง เมื่อครู่นางอารมณ์ไม่ดี กอปรกับเห็นว่าซ่งชูอีอายุยังน้อย จึงมิได้ตั้งใจตอบ คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่นผู้นี้จะร้ายกาจเพียงนี้ แค่อาศัยคำพูดที่มิทันไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนของนาง แล้วใช้ลูกไม้อันแนบเนียนทำให้นางไร้ช่องว่างปัดป้องโดยสิ้นเชิง
ซ่งชูอีพยักหน้า ไม่ถามเรื่องนี้ต่ออีก แต่เปลี่ยนไปคุยสัพเพเหระกับหัวหน้าคณะ
หัวหน้าคณะก็ตั้งใจทดสอบว่าซ่งชูอีเป็นคนสกุลเจ้าจริงหรือไม่จึงพูดคุยอย่างออกรส ทว่าด้วยความเข้าใจต่อรัฐเจ้าที่ซ่งชูอีแสดงออกมาหรือแม้แต่สำเนียงเจ้าจางๆ ล้วนทำให้หัวหน้าคณะต้องเชื่อว่าคุณชายหนุ่มตรงหน้าเป็นผู้สูงศักดิ์ที่มาจากรัฐเจ้าจริงๆ
หลังจากพูดคุยกันครึ่งชั่วยาม หัวหน้าคณะจึงลุกขึ้นจากไป
ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความเสียดาย “ท่านช่างมีความรู้กว้างขวางโดยแท้ หากวันหน้าไปที่รัฐเจ้า ต้องการความช่วยเหลือใดก็มาหาข้าได้”
ซ่งชูอีเอ่ยชื่อถนนสายหนึ่ง ที่ว่าการแห่งหนึ่ง และหน่วยงานแห่งหนึ่งในรัฐเจ้า
บังเอิญว่าหัวหน้าคณะเคยผ่านไปที่รัฐเจ้า รู้อย่างแน่ชัดว่ามีที่ว่าการนั้น ในใจจึงยิ่งหมดความกังขาต่อสถานะของซ่งชูอี ท่าทีขณะอำลานั้นอ่อนน้อมถ่อมตนกว่าตอนมาเป็นร้อยเท่า
หลงกู่ปู้วั่งมองดูการเปลี่ยนแปลงในภายหลังของหัวหน้าคณะด้วยดวงตาเบิกโพลง รู้สึกประหลาดใจ
จี๋อวี่กลับมาจากการซื้ออาหารประมาณครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น เขาตกใจเมื่อพบว่าผู้คนในลานต่างไม่กล้าเข้าใกล้ขบวนรถของพวกเขา ครั้นเห็นเขาพาคนเดินเข้าไปก็ถอยหลบไปด้านข้างด้วยความนอบน้อม
จี๋อวี่ก้าวเท้ายาวๆ ไปยังข้างรถของซ่งชูอี กดเสียงต่ำผ่านหน้าต่าง “ท่าน เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“เจ้ากลับมาแล้วรึ ออกเดินทางไปยังต้าเหลียงกันเถิด” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความดังปกติ
การเดินทางของพวกเขาครานี้อยู่ภายใต้ธงของพ่อค้าชาวฉู่ ทว่าบัดนี้กลับกลายเป็นสกุลเจ้าที่วางตัวเป็นพ่อค้าชาวฉู่ เพื่อตามหาคุณชายคนหนึ่ง สถานะนี้น่าเชื่อถือว่าพ่อค้าชาวฉู่อย่างไม่ต้องสงสัย
บังเอิญว่าช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐเจ้าและเว่ยนั้นสงบสุข จึงไม่เป็นที่ลำบากใจจนเกินไปสำหรับชาวเจ้า
ทว่าเว่ยอ๋องจะต้องกำลังคิดอย่างหนักเพื่อกินเนื้อชิ้นใหญ่จากความปั่นป่วนภายในของรัฐเจ้าเป็นแน่ ซ่งชูอีไม่คิดที่จะเดินเข้าไปติดกับ นางเพียงตั้งใจลองเสี่ยงดวงและเดินทางไปทางต้าเหลียง
หัวหน้าคณะหยุดพักที่นี่ ซึ่งแสดงให้เห็นเจ้าอี่โหลวน่าจะอยู่ไม่ไกล
การเคลื่อนไหวครานี้ไม่เพียงสามารถทำให้สถานะยิ่งสมจริงมากขึ้นแต่ยังสามารถตามหาเจ้าอี่โหลวได้อย่างเปิดเผย มิฉะนั้นจี๋อวี่ที่ตามมาด้วยหน้าที่ของรัฐเว่ย์จะยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อนางด้วยเหตุใดนี้ได้เยี่ยงไร?
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ซ่งชูอีเริ่มไม่หลบเลี่ยงที่จะพูดถึงสกุลเจ้าต่อหน้าทุกคน
“ต้าเหลียง! ท่าน…” จี๋อวี่คิดว่าซ่งชูอีบ้าไปแล้ว ไปต้าเหลียงไม่เท่ากับส่งเนื้อแพะเข้าปากเสือหรอกหรือ!
ซ่งชูอีกล่าวขึ้นอย่างเกียจคร้าน “ไปเถิด ข้าพบเบาะแสแล้ว”
จี๋อวี่ไม่เข้าใจว่าซ่งชูอีหมายความว่ากระไร ทว่าเมื่อมองดูพฤติกรรมแปลกประหลาดของผู้คนโดยรอบแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่ไปจากที่นี่ก่อน หลังออกจากนครแล้วค่อยถามนางอย่างละเอียดอีกครั้ง จึงตอบรับแล้วสั่งให้ขบวนรถออกจากนคร
ทันทีที่พวกเขาจากไป ผู้คนในจุดพักม้าก็ถกเถียงกันอื้ออึง
เรื่องที่สกุลเจ้าเข้ารัฐเว่ยเพื่อตามหาคนนั้น เป็นธรรมชาติที่พวกเขาจะไม่ป่าวประกาศออกไปอย่างเอิกเกริก ทว่าโดยส่วนตัวแล้วก็หลีกเลี่ยงมิได้ที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพ่อค้ารายอื่น จึงเป็นไปได้ว่าข่าวนี้จะไหลเวียนอยู่ในวงเล็กๆ ภายในระยะเวลาครึ่งเดือน ส่วนจะถึงหูเว่ยอ๋องหรือไม่ยังไม่อาจรู้ได้
………………………….