“ช่างเถอะ เขาดูไม่ชอบหน้าฉัน พวกเราจูนกันไม่ติดหรอก มาๆ ดื่มกันดีกว่า” ฉิวฉิวยกแก้วไวน์ขึ้น
เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงคำพูดของไป๋จิ่นที่ระบายให้เธอฟังเมื่อครู่ แล้วมองฉิวฉิวที่เนื้อตัวเปียกปอน อยู่ๆก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง ถ้าเธอแนะนำไป๋จิ่นให้ฉิวฉิว—
ไม่ ไม่ได้
เสี่ยวเชี่ยนล้มเลิกความคิดนี้อย่างรวดเร็ว เรื่องของความรักต้องแล้วแต่พรหมลิขิต เธอยังไม่ลืมสายตาที่ไป๋จิ่นมองฉิวฉิวเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบ
และน้ำเสียงของฉิวฉิวก็ดูไม่ได้อยากยุ่งด้วยเท่าไร สองคนนี้เป็นเวอร์ชั่นคนหนึ่งอคติ อีกคนก็หยิ่ง
“ปีนี้นะ ยังไม่ได้ทำอะไรเลยกลับถูกตบลูกเดียว ดูท่าฉันคงต้องมุ่งไปเรื่องงานอย่างเดียวแล้วมั้ง ประธานเชี่ยนอวยพรให้ฉันโชคดีด้วยนะ” ฉิวฉิวยกแก้วพลางพูดประชดตัวเอง
“ฉันรอดูนายอยู่นะ สู้ๆ” เสี่ยวเชี่ยนยกแก้ว ทันใดนั้นก็เกิดความคิดบางอย่าง
“โรงเรียนของนายกับเหมยจื่อต้องการลงบทความในหนังสือพิมพ์ก่อนเปิดใช่หรือเปล่า”
“ใช่ ฉันยังคิดว่าจะให้เธอช่วยเขียนเลย เหมยจื่อบอกว่าสำนวนการเขียนของเธอสุดยอดมาก”
“เอาแบบนี้นะ ฉันจะให้เลขคิวคิวอันนึงกับนายไป นายแอดเขาไป เขาเป็นนักเขียนบทความ นายก็บอกว่ารู้จักฉันแล้วให้เขาเขียนให้”
เสี่ยวเชี่ยนเอาเลขคิวคิวที่ไป๋จิ่นทิ้งไว้ให้กับฉิวฉิว พลางคิดในใจว่า ให้โอกาสได้ทำความรู้จักกันแล้วนะ ที่เหลือจะคุยกันถูกคอหรือเปล่าก็เป็นเรื่องของวาสนาของสองคนนี้แล้ว
“ฉิวฉิว ยืมโทรศัพท์หน่อยสิ” เสี่ยวเชี่ยนอยากโทรกลับไปหาพี่ใหญ่อีกครั้ง โทรศัพท์ของเธอแบตหมด แต่พอโทรไปก็สายไม่ว่าง ประธานเชี่ยนจึงล้มเลิกความตั้งใจ
ทางพี่ใหญ่คงไม่เป็นไร…ใช่ไหม ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนฉิวฉิวสำคัญกว่า เรื่องนั้นผลมันเกิดขึ้นมาแล้ว ประธานเชี่ยนไม่แคร์อยู่แล้ว
…
“แย่แล้วๆ ครั้งนี้แย่แน่ ทำไงดี” พี่ใหญ่ที่อยู่ในชุดนอนกำลังเดินไปเดินมาอย่างวุ่นวายใจ ไม่เหลือคราบเถ้าแก่ใหญ่เลยแม้แต่น้อย วันนี้พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเข้าเวร เธอกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งจริงจังกับการเขียนคิ้วเขียนตา
เธอแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเรื่องที่สามีบ่น
“ดูคุณซิ ทำไมไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลย เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ยังมีอารมณ์แต่งหน้าอีกเหรอ” พี่ใหญ่พาล
พี่สะใภ้ใหญ่พรมน้ำหอมลงบนข้อมือ ก้มลงไปดม ไม่ต้องทำงานดีจังเลย จะแต่งหน้ายังไงก็ได้รเหรอ”
“แล้วจะให้ทำไง จะให้ฉันทำหน้าอมทุกข์ร้องห่มร้องไห้เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของคุณเหรอ”
พี่ใหญ่รู้สึกเสียดแทงใจ
“พวกผู้หญิงนี่ใจดำจริง ผมตามใจพวกคุณจนเคยตัว ไม่รู้เหรอว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวมันยากแค่ไหน เมียไอ้เล็กก็ถูกตามใจจนเคยตัว เรื่องแบบนี้ไม่บอกผมสักคำ ตัดสินใจเอาเอง”
ปวดใจโว้ย
พี่สะใภ้ใหญ่โยนขวดน้ำหอมลงบนโต๊ะ “เสี่ยวเชี่ยนทำไม เสี่ยวเชี่ยนทำถูกแล้ว หลอกคนแต่งงานยังมีหน้ามาพูดว่ามีเหตุผล ถ้าเสี่ยวเชี่ยนไม่เปิดโปงครอบครัวเราจะดูเป็นยังไง ผู้สมรู้ร่วมคิด พวกเราเป็นหมอ คิดว่าหมอจะเหมือนนักธุรกิจหน้าเลือดกระหายเงินอย่างพวกคุณที่สมองมีแต่เรื่องเงินเหรอ”
เธอไม่คิดว่าเสี่ยวเชี่ยนทำไม่ดีตรงไหน ควรทำแบบนี้อยู่แล้ว
อ้อ คิดว่ามีเงินแล้วยิ่งใหญ่มากสินะ มีเงินแล้วคิดจะรวมหัวกับหมอหลอกผู้หญิงดีๆแต่งงานได้งั้นสิ
ถึงพี่สะใภ้ใหญ่จะไม่มีลูกสาว แต่ตัวเธอเป็นผู้หญิง ลองคิดว่าถ้ามีคนมาหลอกเธอบ้างคงโมโหอกแตกตาย เธอเข้าข้างเสี่ยวเชี่ยนร้อยเปอร์เซ็นต์
พี่ใหญ่เห็นเมียตัวเองเป็นแบบนี้ก็โมโห
“ผู้หญิงอย่างพวกคุณรู้จักแต่เกียรติยศจอมปลอม เงินเป็นแค่ไอ้หน้าโง่ แต่ไม่มีเงินใครอยู่รอดบ้าง ถ้าผู้ชายหน้าเงินอย่างผมไม่ต่อสู้ดิ้นรนข้างนอก คุณกับลูกจะอยู่อย่างสบายในบ้านเหรอ ขวดที่คุณเพิ่งโยนไปนั่นน่ะราคาเป็นพัน — นี่ คุณจะทำอะไร”
พี่ใหญ่หลบขวดน้ำหอมราคาเป็นพันที่พี่สะใหญ่เขวี้ยงไปอย่างหวุดหวิด ขวดน้ำหอมที่ถูกทำอย่างประณีตกระแทกพื้นแตกกระจาย พี่สะใภ้ใหญ่ชี้หน้าสามีด้วยความโกรธ
“ถ้าคุณไม่ชอบที่ฉันใช้จ่ายเงินงั้นฉันจะไปตอนนี้เลย ฉันจะพาลูกกลับบ้านแม่ฉัน”
“คุณจะเรียนเอาแต่สิ่งดีๆจากแม่ผมไม่ได้เหรอ” ไอ้ลูกไม้ที่เอะอะทะเลาะกันก็หอบลูกออกจากบ้านมันไม่ใช่ไม้ตายของแม่เขาเหรอ
“ฉันจะไปบอกแม่ว่าคุณว่าท่าน จะบอกพ่อด้วยว่า คุณไม่เพียงแต่จะสั่งให้เสี่ยวเชี่ยนร่วมมือกับคุณหลอกให้ผู้หญิงแต่งงานกับรักร่วมเพศ คุณยังว่าคุณแม่ด้วย”
พี่ใหญ่รีบไปขวางไว้ “อย่าบุ่มบ่ามน่า มีอะไรก็คุยกันดีๆ”
พี่สะใภ้ใหญ่ผลักพี่ใหญ่ออก “อวี๋หมิงลี่คุณคิดว่ามีเงินเยอะแล้วสูงส่งนักเหรอ”
พี่ใหญ่แอบบ่นในใจ ถ้าสูงส่งจริงจะปล่อยให้เมียใช้กำลังได้แบบนี้เหรอ
“ใจเย็นๆก่อน ผมก็แค่เสียโปรเจ็คต์แถมยังไปทำคนอื่นโกรธก็เลยร้อนใจ ไม่ได้ตั้งใจจะว่าคุณนะ อย่าโกรธเลยนะเดี๋ยวไม่สวย…”
“ไม่ได้ว่าฉันแต่ว่าเสี่ยวเชี่ยนคิดว่ามันสมเหตุสมผลแล้วเหรอ คุณใช้สมองบ้างได้ไหม คุณเป็นนักธุรกิจทั่วไปเหรอ คนแก่บ้านเราทำงานอะไร ครอบครัวเราใส่ชุดทหารกันกี่คน ถ้าคุณช่วยคนพวกนั้นทำเรื่องไม่ดีแบบนี้เพื่อเงิน คุณคิดว่าคุณพ่อจะไม่โมโหเหรอ เสี่ยวเชี่ยนทำถูกแล้ว”
เรื่องพี่ใหญ่กลัวเมียไม่ใช่เพิ่งเกิด พี่สะใภ้ใหญ่ทุบตีเขาก็ไม่กล้าทำคืน แต่ในใจสุมด้วยไฟโกรธ คนที่เขาไปทำให้ขุ่นเคืองต่อไปเขาจะทำงานลำบาก
“ไอ้เล็กโทรมาแล้วต้องโทรมาขอโทษแทนเมียแน่ๆ เอาแบบนี้ผมจะรับ ถ้ามันยอมสำนึกผิดดีๆผมจะไม่เอาความเสี่ยวเชี่ยน” หลังจากถูกใช้ความรุนแรงพี่ใหญ่ก็หาทางออกให้ตัวเอง
“ไสหัวไปเลยนะ ยังกล้าพูดว่าจะไม่เอาความ คุณนี่หน้าหนาขนาดไหนกัน ช่วงหลายปีมานี้เสี่ยวเชี่ยนทำกำไรให้คุณตั้งเท่าไร คุณยังจะมีหน้าพูดว่าจะไม่เอาความ”
พี่ใหญ่ไม่กล้าเถียงแม่เสือ เขาถือโทรศัพท์เดินอ้อมขวดน้ำหอมที่แตกไปรับโทรศัพท์อีกห้องหนึ่ง
“พี่ใหญ่ยังโกรธอยู่หรือเปล่า”
“ไอ้เล็ก จะไม่โกรธได้ไงวะ เสี่ยวเชี่ยนให้แกโทรมาใช่ไหม เมียแกปกติฉลาดอย่างกับลิง ทำไมตอนเวลาสำคัญถึงได้ทำเสียเรื่องแบบนี้”
“หึหึ…พี่ใหญ่ ทำได้ใจเชียวนะ กล้าพูดว่าเมียผมทำเสียเรื่อง” อวี๋หมิงหลางทำเสียงเย็นชา
เสี่ยวเชี่ยนน่ะเหรอจะโทรบอกเขาเรื่องนี้ เขาแอบดักฟังต่างหาก เขาติดเครื่องดักฟังไว้ที่พวงกุญแจห้อยโทรศัพท์ของเธอไว้เพื่อคอยปกป้องเธอ เขารู้ว่าโทรศัพท์ของเธอแบตหมด ถึงได้โทรมาเอง
“ไอ้เล็ก ตอนนี้ฉันปวดหัวเกินพอแล้ว แกยังจะยั่วโมโหฉันอีกเหรอ ไม่คิดจะปลอบใจพี่ชายตัวเองหน่อยหรือไง”
พี่ใหญ่รู้ว่าตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนทำเรื่องบานปลายจนไม่มีทางให้แก้ตัวแล้ว เขาไม่มีทางโกรธเสี่ยวเชี่ยนได้จริงๆหรอก—โกรธเสี่ยวเชี่ยนก็เท่ากับเป็นศัตรูกับเมียตัวเอง ไหนยังจะแม่ พ่อ ครอบครัวน้องรองสองคน น้องสาม…
ใช่ ตอนนี้ประธานเชี่ยนซื้อใจทุกคนในบ้านได้หมดแล้ว รวมถึงอวี๋หมิงซีคนที่เอาใจยากที่สุดยังชอบเสี่ยวเชี่ยน ทุกเดือนจะต้องโทรหาเสี่ยวเชี่ยนหนึ่งครั้ง ขนาดพี่ใหญ่มากสุดน้องสาวโทรหาแค่สองเดือนครั้ง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้องเล็กที่หน้าแทบจะเขียนไว้ว่าทาสเมีย
“พี่ใหญ่ ครั้งนี้ไม่ใช่แค่พี่ทำตัวได้ใจเกินไป พี่ยังปัญญาอ่อนด้วย จริงๆนะ ผมล่ะสงสัยว่าพี่เป็นอัลไซเมอร์ก่อนวัย เมื่อไรหลานผมจะสืบทอดกิจการได้นะ ถ้าให้พี่ดูแลต่อไปเรือล่มแน่”
“ลูกชายฉันเพิ่งจะขึ้นมอต้น จะดูแลธุรกิจได้ไง—เดี๋ยวนะ ไอ้เล็ก ทำไมพูดกับพี่ชายแบบนี้วะ”
“ยังไม่ยอมอีกเหรอ นี่เมียผมช่วยบ้านเราไว้ตั้งขนาดไหน พี่ลองใช้สมองของพี่คิดดูนะ”