ซ่งชูอีมิใช่บุคคลที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น นางสามารถฆ่าคนโดยไม่ลังเลเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายและผลประโยชน์ ทว่าโลหิตของผู้ภักดีมากมายหลั่งไหลมาที่ตัวนาง นางรู้สึกได้เพียงความกดดันอันแรงกล้า อย่างไรก็ตามการกระทำเรื่องใหญ่ สิ่งที่ต้องแบกรับก็คือชีวิตกระจ้อยร่อยเหล่านี้งั้นหรือ?
“ท่านนอนเสียหน่อยเถิด พวกเราค่อยเดินทางตอนฟ้ามืด” เชออวิ๋นกล่าว
ซ่งชูอีพยักหน้า หาสถานที่ที่เงียบสงัด คว้าตัวไป๋เริ่นมารองหนุน ไม่ช้าก็ผล็อยหลับไป
พระอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิสว่างสดใส หญ้าบนพื้นดินอ่อนนุ่มราวกับขนแกะชั้นดี ครั้นเอนกายอยู่ด้านบนจึงไม่รู้สึกทรมานนัก ทว่าเนื่องจากเมื่อคืนกระเด้งกระดอนอย่างรุนแรง ซ่งชูอีก็รู้สึกเวียนศีรษะขณะนอนหลับ ทั้งเนื้อตัวปวดเมื่อยแสนสาหัส นอนหลับไม่สนิทยิ่ง
ได้ยินเสียงเชออวิ๋นเอ่ยขึ้นเลือนราง “อาวุธของน้องชายชิ้นนี้เหมาะแก่การต่อสู้ยิ่ง”
ซ่งชูอีรู้ว่าเขากำลังพูดกับเจ้าอี่โหลว ก่อนที่นางจะเอนตัวยังเห็นเจ้าอี่โหลวยังคงเปี่ยมด้วยพลังงาน ไม่มีท่าทีอ่อนล้าเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังกายดีกว่าคนทั่วไปมาก
เชออวิ๋นเป็นสายลับมานานแล้ว ทักษะในการสังเกตดีมาก อีกทั้งยังมองคนได้อย่างแม่นยำ เขาเห็นว่าเจ้าอี่โหลวไม่ชอบคุยกับผู้คน ทว่าก็มิได้ต่อต้านเขามากนัก จึงเอ่ยต่อ “น้องชายร่างกายกำยำ แขนขายาวมีกำลัง ลมหายใจมั่นคง อายุก็ยังเยาว์นัก หากคิดจะฝึกศิลปะการต่อสู้ ตอนนี้นับเป็นเวลาที่เหมาะสมยิ่ง หากเวลาล่วงเลยไปเกรงว่าจะฝึกได้ยากขึ้น”
ยิ่งอายุมากขึ้น ร่างกายก็ยิ่งแข็งกระด้าง ยากที่จะบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ฉะนั้นไม่ว่าจะฝึกอะไรจำต้องฝึกตั้งแต่ยังเด็ก
เจ้าอี่โหลวเหลือบมองเชออวิ๋น จากนั้นก็หลุบตาลง ผ่านไปเนิ่นนานจึงถามขึ้น “ท่านสอนข้าได้หรือ?”
“ทักษะดาบของข้าไม่เท่าไร ทว่าข้ารู้จักปรมาจารย์ดาบแห่งสำนักม่อท่านหนึ่ง เมื่อท่านมีพรสวรรค์เช่นนี้ ขอเพียงคิดจะฝึกฝน ข้าว่าปรมารจารย์ท่านนั้นจะต้องรับท่านเป็นศิษย์แน่” เชออวิ๋นกล่าว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนที่เงื่อนไขดีเยี่ยมเช่นเจ้าอี่โหลวอย่างแท้จริง แม้จะผ่านวัยที่ดีที่สุดในการฝึกขั้นพื้นฐานมาแล้วก็ตาม ทว่าลมหายใจของเจ้าอี่โหลวนั้นยาวกว่าผู้ที่อยู่ในวัยเดียวกันมาก ก็เหมือนรากฐานที่วางไว้เสร็จสรรพ รอเพียงสร้างอาคารสูง นั่นเป็นเหตุผลที่เขาอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
ผ่านไปเนิ่นนานซ่งชูอีก็ยังมิได้ยินคำตอบของเจ้าอี่โหลว ลืมตาขึ้นเล็กน้อย เอ่ยว่า “โอกาสประเสริฐเช่นนี้ หากต้องการจะฝึนฝนก็รับปากเสีย เป็นผู้ชายอกสามศอกเหตุใดจึงได้โลเลเช่นนี้!”
เจ้าอี่โหลวเหลือบมองซ่งชูอี จากนั้นก็กำหมัดเอ่ยกับเชออวิ๋น “รบกวนพี่ชายแนะนำข้าน้อยด้วย”
เชออวิ๋นอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะเอ่ย “ไว้ถึงรัฐฉินแล้ว ข้าจะไปแวะคารวะท่านปรมาจารย์ทันที”
เชออวิ๋นรู้สึกว่าครั้งนี้ตนได้ตัดสินผิดพลาดไปเสียแล้ว เดิมทีเห็นว่าแม้นเจ้าอี่โหลวหน้าตาโดดเด่นยิ่งแต่กลับเปี่ยมด้วยลมหายใจแห่งความป่าเถื่อน ราวกับสัตว์เดียรัจฉานที่เต็มไปด้วยอันตรายตัวหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะรู้มารยาทถึงเพียงนี้
“ขอบคุณมาก” เจ้าอี่โหลวเอ่ย
ซ่งชูอีหลับตาลง นางนอนไม่หลับ เพียงแต่เอนกายพักผ่อนครู่หนึ่งเท่านั้น
เพราะกลัวว่ามีทหารไล่ลา จึงมิได้ก่อไฟ ได้แต่นำอาหารแห้งจำนวนหนึ่งออกมากิน เชออวิ๋นสั่งให้มือดาบสองนายไปที่หมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อซื้ออาหารแห้งจำนวนหนึ่งกินระหว่างทาง
ตอนพลบค่ำ หลังจากกินอาหารเรียบร้อยแล้วก็รีบเดินทางต่อ
ด้วยความเร็วระดับนี้ หากไร้เหตุไม่คาดฝันก็สามารถถึงรัฐฉินได้ภายในระยะเวลาราวๆ ครึ่งเดือน
ยามพระอาทิตย์ตกที่เสียนหยาง
ชายหนุ่มรูปหล่อในชุดดำที่อยู่บนอาคารสูงราวกับต้นสนโดดเดี่ยวริมผา ดวงตานกอินทรีคู่นั้นจับจ้องไปยังพระทิตย์ที่กำลังตกดิน โครงหน้าอันเด็ดเดี่ยวถูกย้อมด้วยแสงสีส้มอบอุ่นจางๆ ทำให้ดูนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย
“ฝ่าบาท” ขันทีค้อมคำนับ เอ่ยเสียงเบา “กงจื่อเฉียนและคนอื่นๆ ถูกประหารแล้วพะย่ะค่ะ”
อิ๋งซื่อเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนตอบรับ “อืม”
อิ๋งเฉียนมิได้มีเพียงความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์กับอิ๋งซื่อ ทว่ายังเป็นลุงหลานแท้ๆ ด้วย
อิ๋งซื่อแทบจะเติบโตขึ้นภายใต้สายตาของอิ๋งเฉียน จึงเข้าใจนิสัยใจคอของเขาเป็นอย่างดียิ่ง แม้นเขาขี้หวาดระแวงแต่ก็มีความภักดี ยากที่จะกระทำการทรยศต่อบ้านเมือง อย่างไรก็ดีเพื่อแก้แค้นซางยาง เขาได้รวบรวมกองกำลังในพระราชสำนักซึ่งได้กลายเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตย ด้วยอำนาจนี้ นานวันเข้าก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าเหล่าตระกูลเก่าแก่จะไม่ใช้ประโยชน์จากมัน ฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาจำเป็นต้องตาย
“ไปเรียกจิ่งเจียน” อิ๋งซื่อกล่าว
“พะยะค่ะ” ขันทีค้อมตัวแล้วถอยออกไป
ไม่นาน เสียงฝีเท้าที่รวดเร็วแต่ไม่ยุ่งเหยิงก็ดังขึ้นด้านหลัง ชายผู้หนึ่งที่มีใบหน้าขาวผ่อง อายุราวสี่สิบกว่าค้อมคำนับพร้อมเอ่ย “ฝ่าบาท”
“มีข่าวทางรัฐเว่ยหรือไม่?” อิ๋งซื่อกลับหลังหัน เอ่ยถาม
“ทูลฝ่าบาท มีข่าวเมื่อหนึ่งเค่อก่อนหน้านี้ ยังมิได้อ่านพะย่ะค่ะ” สองมือของจิ่งเจียนยื่นถวายกระบอกไผ่เล็กๆ อันหนึ่ง
อิ๋งซื่อถกแขนเสื้อขึ้น ยื่นมือออกไปรับ เปิดกระบอกไผ่ออก เขย่าเปิดม้วนผ้าไหมที่อยู่ด้านในแล้วอ่านอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ส่งคืนให้จิ่งเจียน
จิ่งเจียนกวาดตาอ่านรอบหนึ่ง สีหน้าเผยความยินดี กล่าวว่า “บัดนี้เข้าสู่รัฐหานแล้ว คิดว่าไม่มีปัญหาใหญ่โตกระไร กระหม่อมจะสั่งคนไปต้อนรับที่ด่านหานกู่”
“อย่าเพิ่งได้วางใจ เตรียมม้าให้พร้อม ติดตามข่าวสารตลอดเวลา ทันทีที่มีความผิดปกติให้มุ่งหน้าไปช่วยเหลือทันที”
อิ๋งซื่อกล่าว
น้อยครั้งที่อิ๋งซื่อจะกล่าวยืดยาวเพียงนี้ในลมหายใจเดียว จิ่งเจียนสัมผัสได้ว่าเขาให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้มากเพียงใด ตอบรับทันควัน “”พะยะค่ะ”
จิ่งเจียนก็เป็นผู้รอบรู้คนหนึ่ง ในตอนนั้นซางยางได้แนะนำเขาแก่เซี่ยวกงครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งนี้แม้นเขามิเคยพบซ่งชูอี ทว่าให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ยิ่งยวด
รัฐฉินแตกต่างจากรัฐใหญ่ๆ รัฐอื่น การเรืองอำนาจฉับพลันของมันเป็นการทำลายรูปแบบอันเสื่อมถอยที่แทบจะไม่เหลือชิ้นดีเพื่อสร้างรูปแบบใหม่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า และทั้งหมดนี้ต้องพึ่งพาคนเก่งกาจที่มีพลังในการพลิกกระแสอันบ้าคลั่งได้
ตั้งแต่ “คำสั่งแสวงหาผู้เก่งกาจ” ได้ถูกถ่ายทอดออกไป รัฐฉินก็จะมักจะวางคนเก่งไว้ในตำแหน่งแรกๆ เสมอ ใช้คนอย่างผสมผสาน ปฏิบัติต่อผู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมดังบัณฑิตของรัฐ
ตกดึก
จู่ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักใกล้นครเฉิงเกาและสิงหยางของรัฐหาน ซ่งชูอีและคนอื่นๆ ถูกพายุฝนฉับพลันนี้ปิดกั้นเส้นทาง จำต้องหาที่หลบฝนบนภูเขาเพื่อปักหลักชั่วคราว
เจ้าอี่โหลวมีประสบการณ์มากมายในการเอาตัวรอดบนภูเขา ด้วยเหตุนี้จึงหาถ้ำภูเขาเจอภายในเวลาอันรวดเร็ว
ถ้ำนี้อยู่ใต้หน้าผา ช่องว่างขนาดใหญ่ทำให้ภูเขาทั้งลูกกลวง ลมระบายได้ทั้งสองด้าน โชคดีที่แม้นข้างนอกฝนตกหนัก แต่กลับไม่มีลมแรง จึงสามารถหลบฝนได้ในขณะนี้
ทุกคนเนื้อตัวสะบักสะบอม เชออวิ๋นเห็นว่าภายในถ้ำมีกิ่งไม้แห้งจำนวนไม่น้อย จึงหยิบแท่งจุดไฟออกมาจากถุงหนังแกะ แล้วจุดไฟกับส่วนที่ว้าวแหว่งของหน้าผา
กิ่งไม้แห้งมีไม่มาก ทุกคนต่างถอดเสื้อผ้าออกมาผิงไฟ ซ่งชูอีก็ไม่มีข้อยกเว้น
เจ้าอี่โหลวเห็นว่าบนตัวของนางเหลือเพียงชุดกลางตัวหนึ่งก็ขมวดคิ้ว คนผู้นี้ช่างขาดสติเสียจริง นางไม่รู้สึกหรือว่าตัวเองมีอะไรแตกต่างจากมือดาบเหล่านี้?
ซ่งชูอีรู้สึกได้ถึงแววตาของเจ้าอี่โหลว นิ่งไปครู่หนึ่ง จับๆ ผมที่ยุ่งเหยิง ยิ้มเอ่ย “ว่าเยี่ยงไร พักนี้ข้าอยู่กับเจ้านานเกินไปแล้วรู้สึกว่าข้างดงามขึ้นทุกทีใช่หรือไม่?”
เจ้าอี่โหลวเบือนหน้าหนีประมาณว่าหากมองไม่เห็นก็จะไม่รู้สึกรำคาญใจ ผิงเสื้อผ้าของตัวเองด้วยความจริงจัง
ใช่ว่าซ่งชูอีไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่าตอนที่นางอายุเจ็ดแปดขวบก็ยังเปลือยเปล่าท่อนบนและเล่นกับศิษย์พี่อยู่เลย อาจารย์ของนางก็มิเคยบอกว่าหญิงและชายมีความแตกต่างกันเยี่ยงไร นางล้วนอาศัยความรู้สึกของตัวเองทั้งสิ้น ระยะหลังนี้แม้นจะรู้สึกว่าต่างกันเล็กน้อย ทว่าบนตัวของนางก็ยังเหลือชุดกลางตัวหนึ่งมิใช่หรือ!
“อึดอัดใจกระไรกัน” ซ่งชูอีบ่น