กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ – บทที่ 147 มอบหมายงานสำคัญ

บทที่ 147 มอบหมายงานสำคัญ

เจ้าอี่โหลวมองนางที่วิ่งออกไปทันทีอย่างเงียบๆ เอื้อมมือลูบๆ หัวของไป๋เริ่น หมุนตัวเข้าห้องไป

ซ่งชูอีรีบออกมาก็เห็นขันทีคนสนิทของอิ๋งซื่อรออยู่ด้านนอก

“จู้ซย่าสื่อ ฝ่าบาทเสด็จไปสนามฝึกแล้ว ท่านได้โปรดตามมา” ขันทีเอ่ย

ซ่งชูอีขึ้นรถม้าพร้อมเอ่ยถาม “ฝ่าบาทเสด็จไปสนามฝึกทำอะไร?”

นางรู้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาเหล่านี้ดูเหมือนขันทีวังหลวงที่คล้ายไม่มีอะไร ทว่ารู้เรื่องมากกว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่มากนัก พวกเขาอาจอ่านเขียนได้เพียงไม่กี่คำ แต่เห็นมาไม่น้อย นอกจากนี้ยังมีความสามารถทางการเมืองมากทีเดียว

ขันทีผู้นั้นครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “ได้ยินว่าซานจิ้นจะสู้รบกันแล้ว กองทัพแสนนายของรัฐเว่ยได้เดินทางมาถึงตั้งอินแล้ว รัฐหานเองก็พร้อมส่งกำลังพลเช่นกัน”

ซ่งชูอีพยักหน้า จากนั้นก็ถามขึ้น “ข้าเรียกท่านว่าเยี่ยงไร?”

ขันทีราวกับคิดไม่ถึงว่าซ่งชูอีจะเปลี่ยนหัวข้อกะทันหันเช่นนี้ อึ้งไปครู่หนึ่ง พลางเดินตามรถม้าพลางพร้อมค้อมตัวเล็กน้อยเอ่ย “บ่าวมีนามว่าอู่ซาน”

“สกุลอู่?” ซ่งชูอีถาม

“มิบังอาจ เดิมทีมันคือสกุล ตั้งแต่เข้าวังก็ไม่นับว่าเป็นคนของสกุลอู่แล้ว” อู่ซานกล่าว

สกุลอู่ส่วนใหญ่แล้วเป็นตระกูลที่หาเลี้ยงชีพด้วยศิลปะการต่อสู้หรืออาจมีนักต่อสู้ฝีมือเก่งกาจในตระกูล และสามารถเดาได้ว่าอู่ซานผู้นี้น่าจะมีศิลปะการต่อสู้ติดตัวอยู่บ้าง

รถควบไปตลอดทาง ครั้นมาถึงบริเวณรอบนอกของสนามฝึก ซ่งชูอีก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแรงสังหารอันแรงกล้า

“ป้ายราชโองการ” อู่ซานหยิบป้ายทองสัมฤทธิ์ชิ้นเล็กออกมาจากแขนเสื้อ ทหารรักษาการณ์ตรวจดูอย่างละเอียดก็โบกมือให้เข้าไป

ไม่มีการฝึกทหารในสนามขนาดใหญ่ มีเพียงทหารยามที่ยืนตัวตรงราวอนุสาวรีย์สีดำรวมทั้งเสียงของรถและเสียงเกือกม้าที่ดังอยู่เท่านั้น ฝุ่นละอองฟุ้งขึ้นทุกที่ที่รถเคลื่อนตัวผ่านไป

อู่ซานนำทางซ่งชูอีมาถึงด้านหน้าจวนทหาร “จู้ซย่าสื่อรอสักครู่ บ่าวจะเข้าไปทูลรายงาน”

“รบกวนแล้ว” ซ่งชูอีพยักหน้า

อู่ซานเข้าไปในจวน เพียงครู่เดียวก็กลับมาพร้อมเอ่ยว่า “จู้ซย่าสื่อเชิญเข้าไปข้างใน”

ซ่งชูอีปัดฝุ่นเต็มตัวอยู่หน้าประตู จัดกระชับเสื้อผ้า ก้าวเท้าเข้าไปอย่างใจเย็น

ครั้นนางก้าวเท้าเข้าไปในจวน เสียงเสื้อเกราะที่เสียดสีกันดังขึ้นทีละน้อยภายในกระโจม เพียงชั่วพริบตาสายตาคมกริบนับสิบคู่ก็จดจ้องมาที่นาง

เหล่านายพลภายในกระโจมเนื้อตัวชุ่มไปด้วยเลือด ลมหายใจกระหายเลือดที่ท่วมท้นทั่วร่างกายและการจ้องมองอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นทำให้รู้สึกกดดันหลายเท่าตัว แม้แต่ชาติที่แล้ว ซ่งชูอีก็มิเคยเห็นฉากเช่นนี้มาก่อน

ภายในจวนทหารแตกต่างจากท้องพระโรง ตรงกลางมิใช่พื้นที่ว่างเปล่า ทว่ามีแท่นขนาดยาวกว่าสองจั้งตั้งอยู่ ด้านบนมีภาพวาดของแผนที่โดยละเอียด ซ่งชูอีทำได้เพียงยืนถวายคารวะอิ๋งซื่อจากที่ไกลๆ “กระหม่อมจู้ซย่าสื่อ-ซ่งหวยจินถวายบังคมฝ่าบาท!”

“มิต้องมากพิธี เข้ามานั่ง” อิ๋งซื่อเอ่ย

ซ่งชูอีเหลือบมอง มีเพียงด้านล่างขวาของพระที่นั่งที่ว่างอยู่ อีกทั้งมันก็เป็นตำแหน่งอย่างเป็นทางการของจู้ซย่าสื่อในท้องพระโรง นางจึงเดินไปคุกเข่านั่งลง

ภายในราชสำนักกำลังวุ่นวายอยู่กับเรื่องการฟื้นฟูกฎหมายเดิม แม้นด้วยตำแหน่งจู้ซย่าสื่อของซ่งชูอีค่อนข้างเป็นเรื่องไกลตัว แต่ก็ไม่มีใครยอมสละเวลามาแทรกแซงเรื่องนี้ สถานการณ์ตรงหน้าเช่นนี้ทำให้ผู้คนอดให้ความสนใจมิได้

“ทุกท่านพูดต่อ” อิ๋งซื่อกล่าว

“ฝ่าบาท พวกกระหม่อมกำลังหารือการวางกลยุทธ์ต่อสู้ เหตุใดจึงเชิญจู้ซย่าสื่อมาเป็นพิเศษ?” ผู้บัญชาการทหารผู้หนึ่งอดมิได้ที่จะเอ่ยถาม

ในวาจานี้มีความรังเกียจที่โจ่งแจ้งเป็นอย่างยิ่ง ทว่าพวกเขามิเคยเห็นซ่งชูอีอยู่ในสายตาเลย จึงไม่มีใครคิดว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสม อีกอย่างเมื่อเช้าขณะประชุมราชสำนัก ซ่งชูอีกล่าวว่าให้แสร้งโจมตีเว่ย หากมีโอกาสอยู่ตรงหน้าจริงๆ เหตุใดจึงไม่โจมตีเล่า?

“ผู้ใดที่คิดกลยุทธ์ห้ารัฐโจมตีเว่ยได้ ก็สามารถเชิญจู้ซย่าสื่อให้ออกไปได้” สายตาของอิ๋งซื่อกวาดมองอย่างเฉยเมย ครั้นเห็นว่าทุกคนนิ่งเงียบจึงพูดว่า “ต่อกันเถิด”

ท่านแม่ทัพแห่งรัฐฉินเหล่านี้มีเพียงความสามารถในการยกดาบสังหารคนเท่านั้น ทว่าไม่มีความสามารถที่จะเป็นกุนซือ สงครามกำลังใกล้เข้ามา ทุกคนจึงไม่มีความคิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของซ่งฉู่อี ดังนั้นนางจึงถูกเพิกเฉยอย่างรวดเร็ว

ท่านแม่ทัพแต่ละนายล้วนข่มความตื่นเต้นในใจไว้ไม่อยู่ แม้ว่าการเผชิญหน้าระหว่างรัฐฉินและรัฐเว่ยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามิได้ก่อให้เกิดความสูญเสียมากนัก แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ครั้นมีโอกาสแล้วจะมิให้พวกเขาตื่นเต้นได้เยี่ยงไร?

ในที่สุด ท่านแม่ทัพทุกท่านก็ยังคงรักษาเหตุและผล เนื้อหาของยุทธวิธีมิได้เบี่ยงเบนไปจากความตั้งใจของอิ๋งซื่อมากนัก หารือกันกันคร่าวๆ ถึงวิธีการรุกคืบและล่าถอย วิธีหลีกเลี่ยงกำลังหลักของกองทัพเว่ย และรักษากำลังรบสูงสุดของกองทัพฉิน

สิ่งที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือ อิ๋งซื่อเพียงต้องการให้พวกเราแสร้งออกจากรัฐฉินเพื่อโจมตีรัฐเว่ย ทว่ากลับไม่อนุญาตให้กองทัพใหญ่ออกจากรัฐฉินจริงๆ

ซ่งชูอีชื่นชมวิธีการของอิ๋งซื่อ อวี้ฉวีที่อยู่เบื้องหลังพร้อมที่จะเคลื่อนไหว ภายในยังคงมีความปั่นป่วน บัดนี้มิใช่เวลาที่ดีในการใช้กองทัพต่อสู้กับภายนอก และการส่งกองทัพออกจากรัฐฉินก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน

สำหรับแผนการโจมตีเว่ยของอิ๋งซื่อคราวนี้จะสำเร็จหรือไม่นั้นจำต้องพึ่งพาความคิดเห็นที่แตกต่างกันในราชสำนัก

หลังจากการหารืออย่างรอบคอบแล้ว กลยุทธ์โดยรวมก็ถูกกำหนดไว้ชั่วคราว ส่วนรายละเอียดนั้นต้องให้เหล่าแม่ทัพหาวิธี

เหล่าแม่ทัพแยกย้ายกลับไป

อิ๋งซื่อรับน้ำชาที่ขันทีส่งมาให้ จิบสองสามคำ หลับตานั่งนิ่งสักพักก่อนลุกขึ้นเอ่ย “ตามข้ามา”

ซ่งชูอีเดาไว้แล้วว่าอิ๋งซื่อคงไม่เพียงเรียกนางให้เป็นผู้ชมเท่านั้น เพียงแต่จนถึงบัดนี้ นางยังคิดไม่ออกว่าเหตุใดจึงเรียกนางออกมาด้วยความเร่งด่วนเช่นนี้และเพื่อเรื่องสำคัญอันใด

ขณะที่แสงแดดกำลังส่องแสงร้อนแรงที่สุด แม้แต่ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายก็ดูหนาทึบอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานซ่งชูอีที่เดินอยู่ภายใต้วันแดดเปรี้ยงก็รู้สึกเวียนศีรษะ การหายใจก็เป็นไปอย่างยากลำบาก นางมองดูอิ๋งซื่อในชุดแขนกว้างสีดำอยู่ด้านหน้าก็อดสรรเสริญในใจมิได้ ใส่ขนาดนี้ทว่าไม่วิงเวียนจากความร้อนเลยสักนิด…ช่างทำให้เขาลำบากใจจริงๆ!

หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดก็เดินเข้าไปในป่า สายลมเย็นนำมาซึ่งความรู้สึกสดชื่น

ซ่งชูอีเดินผ่านป่ากับอิ๋งซื่อไปจนถึงสถานที่เขียวชอุ่ม หลังจากเลิกม่านเถาวัลย์ขึ้นก็มีถ้ำความสูงเท่าคนโผล่ออกมาให้เห็น ครั้นมองจากภายนอก ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มโดยรอบคล้ายจะสามารถบดบังปากถ้ำได้ทั้งหมด

ทันทีที่เข้าไปในถ้ำภูเขา ภายในมืดมิดและอับชื้น เต็มไปด้วยกลิ่นของสัตว์มีชีวิต ราวกับว่าเป็นเพียงถ้ำสัตว์ธรรมดาแห่งหนึ่ง หลังจากเดินไปราวๆ หนึ่งถ้วยน้ำชาก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้นตรงหน้า

ซ่งชูอีผงะไปครู่หนึ่ง ด้านหน้าล้อมรอบไปด้วยเทือกเขา ตรงกลางมีพื้นที่โล่งขนาดใหญ่ อาคารหินถูกสร้างขึ้นตรงกลางภูเขาฝั่งตรงข้าม

“นี่คือ?” ซ่งชูอีอดเอ่ยถามมิได้

อิ๋งซื่อมิได้ตอบ เพียงเป่าปากหวีด

ต้นไม้ใบหญ้ารอบตัวสั่นไหวเล็กน้อยราวกับถูกลมพัด เพียงพริบตาเดียวคนชุดดำประมาณกว่าสี่สิบคนตั้งแถวตรงหน้าซ่งชูอี

“ถวายบังคมฝ่าบาท!” ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน

“อืม” อิ๋งซื่อตอบรับเสียงหนึ่ง เอ่ยขึ้น “ท่านผู้นี้คือจู้ซย่าสื่อ-ซ่งหวยจิน พวกเจ้าก็ทำตามคำสั่งของเขาในภายภาคหน้า”

“พะย่ะค่ะ!”

“นี่คือคนที่ท่านปรมาจารย์ดาบแห่งสำนักม่อฝึกฝนด้วยตัวเอง ทุกคนหูตาว่องไวเป็นอย่างยิ่ง” อิ๋งซื่อกล่าว

ซ่งชูอีมองดูชายหนุ่มร่างกายกำยำแข็งแรงแต่ละคน หันไปถาม “ฝ่าบาทประสงค์จะให้ข้าทำกระไร?”

“บัดนี้ข้าส่งจี๋ไปยังรัฐปาสู่แล้ว มีเขาเป็นคนสืบข่าวน่าเชื่อถือที่สุด คนเหล่านี้จะช่วยท่านติดต่อกับเขา เพื่อให้ท่านคิดกลยุทธ์ด้วยความระมัดระวังและรวดเร็วที่สุด” อิ๋งซื่อกล่าวอย่างไร้อารมณ์

ซ่งชูอีอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เรื่องโจมตีปาสู่นั้น เกรงว่าจะต้องใช้กำลังอย่างมาก อวี้ฉวีระส่ำระส่าย ความวุ่นวายของบ้านเมืองถูกซ่อนเร้น ดูเหมือนจะกลายเป็นสถานการณ์ยากลำบาก”

“จงตระเตรียมโจมตีปาสู่อย่างวางใจเถิด กว่าเหรินจะเป็นคนจัดการเรื่องอื่นเอง” น้ำเสียงของอิ๋งซื่อนิ่งเรียบ ทว่ากลับแฝงด้วยความแน่วแน่

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

Status: Ongoing

นิยายแปลรักย้อนยุคสุดเข้มข้นแนวกลยุทธ์สงคราม! อีกหนึ่งผลงานจากผู้เขียน ‘นิติเวชหญิงแห่งต้าถัง’

‘ซ่งชูอี’ อาจมิใช่สาวงาม หากเป็นกุนซือหญิงผู้กุมชะตาชีวิตคนทั้งเมือง

นางเสาะหาสันติสุขท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีของเจ็ดมหานครรัฐ

ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาด นางสามารถเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง

ทว่าก็ยังพลั้งพลาดมอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้คนที่มิคู่ควร

และสิ้นลมอย่างน่าอนาถในวันที่นครถูกโจมตี!

แต่เหมือนสวรรค์มีตาให้โอกาสนางได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตอีกครั้งในวัยสิบห้า

ลิขิตให้นางได้พบกับเจ้าอี่โหลว องค์ชายหนุ่มตกอับกลางป่า ก่อนจะพลัดพรากให้จากกัน

ท่ามกลางไฟสงครามที่แสนสับสนวุ่นวายและการต่อสู้พลิกชะตาที่เคยล้มเหลว

ทั้งนางและเขา…ก็กลับได้มาพบกันอีกครั้ง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท