อย่างไรก็ตาม ซ่งชูอีไม่ใคร่เข้าใจนักว่าอิ๋งซื่อกระทำการห้าม้าแยกศพซางยางด้วยความรู้สึกใด หากเกลียดซางยางเข้ากระดูกดำตามคำบอกเล่ากันจริง เหตุใดจึงเก็บจิ่งเจียนไว้? หากไม่เกลียด แล้วเหตุใดต้องตามสังหารด้วยตัวเอง ไม่ให้โอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ?
จิตใจขององค์จวินยากแท้หยั่งถึง สำหรับอิ๋งซื่อนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่งชูอีสัมผัสได้ถึงประโยคนี้
ข่าวทางปาสู่ยังมาไม่ถึงในตอนนี้ ทว่าอิ๋งซื่อได้มอบหมายเรื่องของซานจิ้นให้ซ่งชูอีแล้ว ดังนั้นขณะที่ยุ่งจนโงหัวไม่ขึ้นนั้นก็มีข่าวคราวจากสถานที่ต่างๆ นานาประดังเข้ามา นางต้องใช้เวลาสามถึงสี่ชั่วยามทุกวันเพียงเพื่อวิเคราะห์ข่าวพวกนี้เพียงอย่างเดียว
ในที่สุดนางก็ได้เลือกวิธีที่สะดวกสบายที่สุด แพร่กระจายข่าวออกไปว่ารัฐเจ้าใช้กลยุทธ์ทำให้หานและเว่ยแตกคอกัน
บัดนี้ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเจ้าและเว่ยห่างไกลจากครั้งอดีตมาก ยังคงมีสงครามเล็กๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาและรัฐเว่ยก็เสียเปรียบครั้งแล้วครั้งเล่า บัดนี้รัฐเจ้าสูญเสียความแข็งแกร่งไปมากเนื่องจากความวุ่นวายภายใน ตราบใดที่มีเหตุผลอันเหมาะสมและน่าเชื่อถือ เว่ยอ๋องจะต้องไม่ปล่อยโอกาสใหญ่เช่นนี้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน อีกทั้งไม่มีใครสนใจว่าเหตุผลนี้จะจริงเท็จมากเพียงใด
ส่วนซ่งชูอีก็มอบเหตุผลนี้ให้อย่างละมุนละม่อม แม้นจะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่าซ่งชูอีก็ยังต้องใช้ความพยายามอย่างหนักหน่วงหากต้องการจะดึงรัฐฉินออกมาจากความซับซ้อนทั้งปวง
เป็นธรรมดาที่สงครามระหว่างรัฐมิใช่การเคลื่อนไหวที่ดีนัก อย่างไรก็ตามแม้ว่าทั้งการค้าและการเมืองจะเน้นคำว่า “ผลประโยชน์” เป็นหลัก ทว่าในยุคที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กเช่นนี้ เส้นทางทางการเมืองนั้นโหดร้ายกว่ามาก
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐเว่ยและรัฐเจ้าอยู่ในระดับปานกลาง ทว่าถึงอย่างไรก็เป็นรัฐพันธมิตรมานานหลายปี แต่ว่าบัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป แม้ว่าองค์จวินและเหล่าขุนนางของรัฐเว่ยจะสามารถมองเห็นข้อบกพร่องได้ก็ยังกลับล้มโต๊ะทันควัน
ซ่งชูอีแพร่กระจายข่าวออกไปไม่ถึงเดือน กองทัพของเว่ยก็มาถึงชายแดนของรัฐเจ้าแล้ว
หลังจากรัฐฉินได้รับข่าวแล้วก็เริ่มเตรียมกองทัพ “อย่างลับๆ”
จิ่งเจียนใช้เวลาตามหาจางอี๋ล่าช้าเป็นสองเท่าและในที่สุดก็ได้ข่าวคราว หลังจากจางอี๋อยู่ในรัฐฉินเป็นเวลาสามเดือนก็จากไป เขาเข้าสู่รัฐฉีเมื่อครึ่งเดือนก่อนอีกทั้งยังได้รับคำสรรเริญจากฉีอ๋องอีกด้วย
เมื่อชาติที่แล้วก็เป็นเช่นนี้ ซ่งชูอีไม่ประหลาดใจกับผลลัพธ์นี้เลยแม้แต่น้อย ทว่าอิ๋งซื่อกลับแปลกใจอยู่บ้าง ขณะที่
ฉีอ๋องอายุยี่สิบปีก็มิได้ตกเป็นเบี้ยล่างขององค์จวินเจ้าเล่ห์เพทุบายเหล่านั้น เป็นไปได้ว่าเขามีวิธีการอันแยบยล อีกทั้งเขายังเรียกใช้งานซุนปิ้นอีกครั้งหลังจากถูกเว่ยอ๋องทอดทิ้งและยังกล้าที่จะมอบความไว้วางใจทั้งหมดของตัวเองให้แก่เขา ความห้าวหาญและความมั่นใจเช่นนี้เป็นเรื่องยากที่จะพบพานในชีวิต ดังนั้นทันทีที่อิ๋งซื่อได้ยินเรื่องของจางอี๋จากปากของซ่งชูอีก็มิได้เป็นกังวล อย่างไรก็ตามเขาเข้าใจความสามารถของฉีอ๋องในการมองคนและใช้คนอย่างดีทีเดียว ด้วยเหตุนี้เขาจึงเก็บจางอี๋ไว้ในใจแล้ว
ภายในพระราชวังเสียนหยาง
ซ่งชูอีขอเข้าเฝ้าอิ๋งซื่อเป็นครั้งที่ห้า ทว่ากลับถูกขวางไว้นอกพระราชวัง อู่ซานเอ่ยเสียงกระซิบ “จู้ซย่าสื่อเชิญกลับไปเถิด บัดนี้ฝ่าบาทไม่ว่าง”
“รบกวนไปกราบทูลอีกครา ว่านี่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับรัฐฉิน เรื่องอื่นสามารถวางไว้ก่อนได้” ซ่งชูอีเอ่ย
อู่ซานหดๆ คอ ส่ายศีรษะด้วยความเฉียบขาด “มิได้ ท่านอย่าได้ทำให้บ่าวลำบากใจเลย”
ในเริ่มแรกเพราะว่าอู่ซานค่อนข้างประทับใจในตัวซ่งชูอี จึงช่วยไปทูลรายงานให้เมื่อสองคราวก่อน ผลปรากฏว่าช่วงนี้เขาต้องใช้ชีวิตราวกับตายทั้งเป็น เขาจึงมิกล้าทำให้องค์จวินขุ่นเคืองอีกแล้ว
มองอู่ซานเข้าพระตำหนักไป วันแดดเปรี้ยง ซ่งชูอียืนเพียงครู่เดียวก็มีเหงื่อไหลท่วมตัว นางเงยหน้ามองดูพระอาทิตย์ที่ส่องแสงสีขาวเจิดจ้า กัดฟัน ตะโกนเสียงสูง “ฝ่าบาท! กระหม่อมมีเรื่องเร่งด่วนมากต้องกราบทูล มันเกี่ยวข้องกับรากฐานของต้าฉิน จะล่าช้าไม่ได้อีกแล้วพะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
ภายนอกเริ่มเกลี้ยกล่อมด้วยวาจาร่ายยาว และทุกๆ คำล้วนเป็นประเด็นน่าเจ็บปวด
ภายในท้องพระโรง
อู่ซานยืนอยู่ด้านข้างท้องพระโรง พลางมองเด็กหนุ่มในชุดสีดำที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ พลางฟังคำเกลี้ยกล่อมของซ่งชูอีที่ดังมาจากด้านนอก เหงื่อที่ขมับสองข้างไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ทว่าครั้นเห็นใบหน้าด้านข้างที่หล่อเหลานั้นยังคงมีสมาธิ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ให้เขาหุบปาก เข้ามา” เสียงเย็นเยียบของอิ๋งซื่อดังก้องภายในท้องพระโรงว่างเปล่า
“พะย่ะค่ะ” อู่ซานวิ่งเหยาะๆ ออกไปนอกท้องพระโรงทันที
ไม่นาน อู่ซานก็พาซ่งชูอีเดินเข้าท้องพระโรงมา
“นั่งสิ” อิ๋งซื่อพ่นคำออกมาอย่างเฉยเมย ก้มหน้าอ่านเอกสารต่อ ซ่งชูอีหาที่นั่ง คุกเข่าลงบนเบาะไม่ไกลจากเขาพร้อมกับจ้องมองเขา
เวลาไหลไปอย่างเชื่องช้า คนหนึ่งอ่านเอกสารอย่างตั้งอกตั้งใจ อีกคนจ้องมองชายรูปงามไม่วางตา
อู่ซานยืนอยู่ข้างซ่งชูอีด้วยความนอบน้อม อดไม่ได้ที่จะแอบปาดเหงื่อ ‘ห้าวันติดต่อกันแล้ว! เมื่อใดจะได้คุยอะไรจริงจังกันเสียทีนะ!’ อู่ซานมองไปยังซ่งชูอีที่มิได้ทำกระไร พลันคิดในใจว่า ‘ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ยังกำลังอ่านเอกสาร จู้ซย่าสื่อก็สามารถนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำกระไรเช่นนี้ก็ได้หรือ ช่างเป็นความแน่วแน่ที่ไม่สามัญโดยแท้!’
นี่คือความคิดทีค่อนข้างสละสลวยของอู่ซาน หากกล่าวกันตรงๆ ก็คือ ‘หน้าของซ่งชูอีช่างด้านจริงๆ เกรงว่าในต้าฉินคงมิอาจหาผู้ใดเสมอเหมือนอีกแล้ว! คนเขาก็ไม่คิดที่จะสนใจนาง เหตใดยังสามารถนั่งใจเย็นอยู่ตรงนี้อยู่ได้!’
วันแรกที่ซ่งชูอีเข้ามาก็ได้กล่าวถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไปจนหมดสิ้นแล้ว วันที่สองก็ย้ำมันอีกครั้งหนึ่ง ทว่าอิ๋งซื่อเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสาร มิได้สนใจนางเลย สองวันนี้ซ่งชูอีจึงรู้สึกว่าต่อให้กล่าวกระไรไปอีกก็ไร้ประโยชน์ จึงเริ่มมุ่งเน้นไปที่การชื่นชมหนุ่มรูปงาม ทำได้เพียงรอให้เขามีเวลาว่างแล้วค่อยเกลี้ยกล่อมอีกที
“ฝ่าบาท” ซ่งชูอีเห็นว่าอิ๋งซื่ออ่านเอกสารจบแล้ว จึงรีบฉวยโอกาสพูดขึ้นทันใด
อิ๋งซื่อนวดคลึงขมับ ตอบรับเบาๆ เสียงหนึ่ง
“จะชักช้าไม่ได้แล้วพะย่ะค่ะ!” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความรวบรัดชัดเจน
อิ๋งซื่อขมวดคิ้ว จ้องนางครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้าไปเถิด”
ซ่งชูอีไม่รู้ว่าเหตุใดอิ๋งซื่อจึงเปลี่ยนใจกะทันหัน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหวั่นไหวเพราะความเพียรของนาง ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ช่าง ขอเพียงบรรลุเป้าหมายได้เป็นพอ นางมิได้คิดมากและตอบรับเสียงหนึ่งทันที “พะย่ะค่ะ!”
“นี่คือหนังสือรับรองแห่งรัฐ เตรียมเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น” อิ๋งซื่อยื่นม้วนผ้าไหมบนโต๊ะให้กับอู่ซาน
อู่ซานรับหนังสือรับรองมา สองมือยื่นให้ซ่งชูอี
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ซ่งชูอีดีใจ รับม้วนผ้าไหมแล้วลุกขึ้นจากไป กลับไปเตรียมการไปยังรัฐปาสู่ทันที
ในใจของนางคิดว่าปาสู่เป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จในการเป็นเจ้าแห่งใต้หล้า หากยึดครองมันมาได้ แผนการจงหยวนของรัฐฉินก็อยู่ไม่ไกลแล้ว นี่คือความตั้งใจเดิมใน “ทฤษฎีการโค่นรัฐ” ของซ่งชูอี ดังนั้นนางจึงใส่ใจกับเรื่องนี้มาก แม้แต่มิได้ให้ความสนใจในสงครามระหว่างเว่ยและเจ้าด้วยซ้ำ
เนื่องจากเชื่อว่าอิ๋งซื่อเป็นองค์จวินที่สามารถเข้าใจข้อดีข้อเสียเป็นอย่างดี ดังนั้นซ่งชูอีจึงไปที่พระราชวังเพื่อเกลี้ยกล่อมทุกวี่ทุกวันเช่นนี้