“ท่านอาคันตุกะมาจากที่ใด จะไปที่ใด” เสียงของเด็กสาวชาวปาที่ไร้ความหวาดกลัวดังขึ้นบนเนินเขาเล็กๆ ในระยะไกล
ซ่งชูอียิ้มเอ่ยเสียงดัง “พวกข้ามาตามหาคน”
เด็กสาวเห็นว่านางเข้าใจภาษาปาก็อึ้งไปเล็กน้อย “ตามหาใคร?”
“เจ้าเคยเห็นชาวจงหยวนผู้หนึ่ง หน้าตาหล่อเหลา แซ่จีนามว่าอู้เม่ยหรือไม่” ตามข่าวที่ได้รับ จีเหมียนอาศัยอยู่ใกล้กับชนเผ่านี้โดยผ่านความสัมพันธ์ของหัวหน้าขบวนม้าคนหนึ่ง
เด็กสาวหัวเราะคิกคัก “เจ้าหมายถึงไก่อ่อนตัวนั้นรึ? เห็น อยู่ในเพิงหลังนั้น”
เด็กสาวชี้ไปที่กระท่อมมุงจากที่ถูกสร้างอยู่ใกล้คอกวัว ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับอ้อยอิ่งอยู่ที่จี๋อวี่และจี้ฮ่วน
เว่ย์เจียงที่อยู่ในรถม้าไม่เข้าใจภาษาปา ทว่าสามารถรู้สึกได้ถึงการดูแคลนในวาจานั้น รู้สึกปวดใจราวกับถูกบีบอย่างแรง มันเจ็บจนหายใจไม่ออก
ซ่งชูอีลงจากม้าเดินเข้าไปใกล้กระท่อมมุงจาก ยกมือขึ้นเคาะประตู ตะโกนสุดเสียง “จีอู้เม่ย! จีอู้เม่ย!”
ตะโกนเสร็จก็ได้ยินเสียงหัวเราะปานกระดิ่งเงินอยู่บนเนินเขา เด็กสาวเมื่อครู่หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง “เจ้าไก่อ่อนงี่เง่า เขาไม่อยู่บ้านหรอก!”
จี้ฮ่วนและจี๋อวี่ได้ยินได้ยินการประชดในคำพูดของเด็กสาวอย่างชัดเจน หันไปมองด้วยความโมโห ทว่าเด็กสาวผู้นั้นไม่กลัวเลยสักนิด ในทางตรงกันข้ามกลับหัวเราะคิกคักยิ่งกว่าเดิม
ซ่งชูอียกมือเป็นนัยว่าไม่ให้พวกเขาใส่ใจ สายตามองสำรวจเด็กสาวด้วยความเย้าแหย่ หัวเราะพร้อมกล่าวด้วยภาษาปา “ข้าอ่อนแอหรือไม่นั้นตอนนี้ยากที่จะมองเห็น แต่ว่า…ไก่ฟ้าป่าที่อยู่ในระยะการเป็นสัดบนเนินเขาตัวนั้นหน้าอกไม่ใหญ่ เอวก็อ้วน สะโพกเล็กเกินไป ท่าทางไม่น่าจะออกไข่ได้ ข้าเห็นหมดทุกอย่างแล้ว!”
“เจ้า!” ในเวลานี้เด็กสาวน้ำตาคลอเบ้า ร้องไห้ตะโกนหา “พี่สาว” ระหว่างที่วิ่งลงเนินเขาไป
“ท่าน ท่านไปพูดอะไรถึงสามารถทำให้แม่นางดุดันคนนั้นร้องไห้ได้?” จี้ฮ่วนดวงตาเป็นประกาย ที่จริงเขาก็อยากเรียนรู้วิธีจัดการกับเด็กสาวชาวปาผู้เปี่ยมด้วยความกะตือรือร้นเหล่านี้
ซ่งชูอีจัดกระชับคอเสื้อ ยิ้มให้เขาด้วยความลึกลับ
จี้ฮ่วนมองไปยังจี๋อวี่เพื่อขอความช่วยเหลือ
จี๋อวี่เงียบงันไปครู่หนึ่ง กล่าวสรุปว่า “ใช้วิธีนักเลงเล่นงานกับนักเลง ยากที่จะมีศีลธรรม”
หากจะมองแก่นแท้ผ่านเหตุการณ์นี้ก็พอจะสรุปได้ประมาณนี้ เนื้อหาที่ซ่งชูอีกล่าวเมื่อครู่ไม่สำคัญอีกแล้ว จี้ฮ่วนพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
“รออยู่ที่นี่เถิด เพื่อป้องการไม่ให้หาไปหามาแล้วคลาดกันอีก” ซ่งชูอีเอ่ย
แสงอาทิตย์ยามฤดูใบไม้ผลิสดใสและอบอุ่น ซ่งชูอีเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ ท่าทางเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง
ไม่รู้ว่าสุนัขสีเหลืองตัวหนึ่งวิ่งมาจากไหน เห่าเสียงดังโฮ่งโฮ่ง ราวกับกำลังขับไล่บุคคลเหล่านี้ที่จู่ๆ ลุกล้ำเข้าไปในอาณาเขต ซ่งชูอีหลุบตาลงมองมันก็ยิ้มน้อยๆ หยิบเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วโยนให้มัน
ตั้งแต่ที่เลี้ยงไป๋เริ่น นางก็คุ้นเคยกับการยัดเนื้อแห้งบางส่วนไว้บนร่างกาย
“จิตใจเยี่ยงสุนัข กินอิ่มจากไปก็ไม่รู้ว่าข้าแซ่อะไรแล้ว” ซ่งชูอีพูดพลางหยิบเนื้ออีกชิ้นไว้ในมือ คุกเข่าลงแหย่ลูกสุนัขสีเหลืองตัวนั้น
จี๋อวี่กับจี้ฮ่วนจอดรถม้าเรียบร้อยแล้วก็ยืนค้ำดาบอารักขาอยู่ข้างๆ ทั้งสองคนรูปร่างกำยำ ความสูงของจี๋อวี่ถือเป็นเรื่องปกติในรัฐฉิน ทว่าจี้ฮ่วนกลับเป็นเหมือนหอคอยขนาดย่อมและมีแนวโน้มที่จะสง่าผ่าเผยขึ้นเรื่อย ๆ
เด็กสาวรวบรวมกำลังคนกลุ่มหนึ่งมา “โจมตีขับไล่” เมื่อพวกเขาเห็นทั้งสองคนในแวบแรกก็อดไม่ได้ที่จะวิตกกังวลเล็กน้อย เด็กสาวหลายคนใจอ่อนปวกเปียกจนเกือบจะลืมจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ไปแล้ว
เมื่อครู่เพราะเด็กสาวอยู่บนเดินเขาจึงไม่สามารถรู้สึกได้จริงๆ ว่าจี๋อวี่และจี้ฮ่วนสูงแค่ไหน คราวนี้ก็อึ้งไปเล็กน้อยเช่นกัน ทว่าเมื่อปรายตาไปเห็นซ่งชูอีที่กำลังสงบนิ่ง ความอัปยศก็พุ่งเข้าสู่หัวใจทันที มือบอบบางชี้ไปที่นางพลางกล่าวว่า “เจ้าไก่อ่อนตัวนั้น ออกมาพูดเดี๋ยวนี้! เป็นถึงผู้ชายเหตุใดจึงแอบอยู่หลังผู้ชายเล่า! หน้าไม่อาย!”
“ปกติแล้วอ๋องของพวกเจ้าก็แอบอยู่หลังทหารรักษาการณ์มากมาย เช่นนั้นก็แสดงว่า…” ซ่งชูอีลูบคลำลูกสุนัขสีเหลือง ครั้นเงยหน้าขึ้นสำรวจรอบหนึ่ง สายตาก็หยุดอยู่ที่เอวของนาง
เอวของเด็กสาวไม่บอบบางจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางรัดเข็มขัดจนแน่น ยิ่งแสดงให้เห็นว่านางไม่มีความมั่นใจต่อเอวของตน ซ่งชูอีจ้องมองจุดนั้นอย่างไม่ละสายตา
คนที่เหลือเห็นว่านางเพ่งพินิจอย่างหลงใหล ไม่รู้ว่ามีอะไรที่แปลกไปจึงอดที่จะมองตามไม่ได้
ไม่รู้ว่าเพราะขุ่นเคืองหรือเพราะอับอาย เด็กสาวใบหน้าตึงเครียด ดวงตาแดงก่ำ
ซ่งชูอีจึงดึงสติกลับมา “เช่นนั้นก็แสดงว่า ฝ่าบาทของพวกเจ้าเป็นผู้ชายที่แอบอยู่หลังผู้ชาย เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นเหมือนเขา”
“เจ้าคนถ่อย! อาเหลย จัดการมัน!” เด็กสาวกล่าวอย่างโกรธแค้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซ่งชูอีหัวเราะพรืดออกมา ตบๆ หัวของลูกสุนัขสีเหลือง เลียนน้ำเสียงของเด็กสาว บีบคอแล้วพูดว่า “เสี่ยวหวง กัดนาง!”
เด็กหนุ่มชาวปาผู้นั้นเพิ่งจะขยับเท้าก็หยุดชะงักกะทันหัน แม้ว่าเด็กสาวผู้นี้จะขี้กลั่นแกล้งอยู่บ้าง ทว่ากิริยาของซ่งชูอีทำให้เขารู้สึกเหมือนตนถูกเรียกดังสุนัข รู้สึกโกรธในใจเล็กน้อย
“อาเหลย เขารังแกข้า เจ้าไม่ช่วยข้าแก้แค้นหรือ?” เด็กสาวพูดด้วยความน้อยอกน้อยใจ
คิ้วของอาเหลยผ่อนคลายเล็กน้อย ทว่าก็ยังไม่มีทีท่าจะลงมือ เด็กสาวกระทืบเท้า มองไปยังคนอื่นๆ “พวกเจ้าก็ไม่ช่วยข้าหรือ!”
ซ่งชูอีอดที่จะหลุดขำมิได้ นางมองออกว่าเมื่อครู่เด็กสาวเพียงอยากที่จะออดอ้อนอาเหลยเท่านั้น อาเหลยคนนั้นยังคงเป็นเหมือนเดิม ทว่าเด็กสาวร้อนใจเกินไปแล้ว
แน่นอนว่าซ่งชูอีจะไม่เปิดโอกาส ลุกขึ้นประสานมือคำนับอาเหลยผู้นั้น “ท่านผู้แข็งแรงท่านนี้ บัดนี้ข้ากำลังตามหาคน ไม่เข้าใจประเพณีอันดีงามของชนเผ่าท่าน ไม่รู้ว่าทำให้แม่นางท่านนี้ผิดใจตรงไหน รู้สึกผิดอย่างยิ่ง ข้าน้อยยินดีที่จะขอขมากับแม่นางผู้นี้”
แม้ว่าประชากรชาวปาจะหัวรั้นสักเพียงใด ทว่าแม่นางก็ยังคงเป็นแม่นาง ต่อให้เด็กสาวผู้นี้จะกล่าวคำพูดเมื่อครู่อีกรอบต่อหน้าทุกคน ซ่งชูอีก็จะหมอบลงกับพื้นแสดงความเคารพต่อนางทันที
ซ่งชูอียิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ตลอดเวลา ท่าทางนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยกล่าวสิ่งใดหยาบคายเลยและยิ่งขอโทษด้วยท่าทางที่ถ่อมตัวมากขึ้น ทุกคนเห็นแล้วความโกรธก็เบาบางลง ในใจคิดว่าเมื่อครู่น่าจะเป็นเพราะเด็กหนุ่มไม่เข้าใจประเพณีของรัฐปา ไม่มีเจตนาจะทำผิด
“อย่าฟังเขาพูดเหลวไหล เขา เขาด่าว่าข้าน่าเกลียด” เด็กสาวกล่าวด้วยความร้อนใจ
ซ่งชูอีกล่าวด้วยความรู้สึกผิด “ข้าน้อยเห็นแม่นางจากระยะไกล ตกตะลึงเพราะความงามดังนั้นจึงคิดพูดจาบางอย่างเพื่อดูดดึงความสนใจของแม่นาง ก็เหมือนกับที่แม่นางหัวเราะเกี้ยวเสียงดังอยู่ที่เนินเขาเพื่อดึงดูดความสนใจของพี่น้องสองท่านนี้ของข้า เฮ้อ! น่าเสียดาย ที่ข้าน้อยรูปร่างไม่กำยำพอ แม่นางจึงไม่ยอมปรายตามองเลย”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ อาเหลยผู้นั้นก็โมโหทันใด ชำเลืองมองเด็กสาวด้วยความดุร้าย เบือนหน้าจากไป
รัฐปาประเมินบุรุษตามความแข็งแกร่ง สำหรับหน้าตานั้นแค่พอไปวัดไปวาก็เป็นอันใช้ได้ ผู้ชายเช่นจี้ฮ่วนนับได้ว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญรูปงามที่หาได้ยากยิ่งในรัฐปา ทุกคนคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะเกี้ยวพาราสีผู้ชายที่กล้าหาญเช่นนี้
อย่างไรก็ดีซ่งชูอีดูออกว่าอาเหลยชอบเด็กสาวคนนี้จึงได้กล่าวเช่นนี้ออกมา
เด็กสาวค้อนซ่งชูอีอย่างแรง หมุนตัวตามเขาไป “อาเหลย! เจ้าอย่าฟังเขาพูดเหลวไหลนะ”
ตัวละครหลักไปแล้ว คนอื่นๆ ก็ทยอยกันจากไป มีเพียงเด็กสาวสองสามคนที่ยังวอกแวกอยู่
“หวยจิน?”
ด้านหลังมีคนลองเรียกชื่อนาง
ลูกสุนัขสีเหลืองที่อยู่ข้างเท้าพุ่งเข้าไปด้วยความร่าเริง ซ่งชูอีหันหลับกลับไป เห็นชายคนหนึ่งในชุดคลุมผ้าโทรมๆ สีเทาเข้ม ไม่เหลือความหล่อเหลาเหมือนสมัยก่อนอีกต่อไป แม้ว่าใบหน้าของเขาจะแสดงให้เห็นถึงความผันผวนของชีวิต แต่ดวงตาของเขาก็สะอาดและสดใสขึ้น เขามองหน้าของซ่งชูอีแล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ใช่เจ้าจริงด้วย!”
“จีอู้เม่ย!” ซ่งชูอีก้าวเท้ายาวๆ เข้าไป หัวเราะเอ่ยเสียงดัง “ก็ยังดูไม่จืดนี่นา?”
สำหรับบัณฑิตผู้แสวงหาความฝันนั้น แม้ว่าพวกเขาจะใฝ่หาชีวิตที่มีเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสะดวกสบายทางจิตวิญญาณ