“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย” จางอี๋วางจอกสุราลง โน้มตัวเข้าหาซ่งชูอี “ช่วงก่อนหน้านี้ ข้าพบสาวงามสองสามนาง ใบหน้าแสนงดงามเหลือเกิน จุ๊!”
ซ่งชูอีเอ่ยเย้า “พี่จางโชคดีจริงๆ”
“ฮาฮา ข้าก็อยากมีโชคเช่นนี้มาตลอด” จางอี๋พูดอย่างมีความสุข
ซ่งชูอีเข้าใจความหมายของจางอี๋เป็นอย่างดี เช่นบัดนี้จะปล่อยให้สู่อ๋องมีความหิวกระหายอยู่ตลอดเวลามิได้ ยิ่งนานวันก็จะยิ่งเกิดสิ่งรบกวนโดยง่าย ยิ่งไปกว่านั้นนิสัยของสู่อ๋องก็ไม่อาจเปรียบได้กับบุคคลทั่วไป จำต้องเติมความหวานเล็กน้อยให้แก่เขาโดยการส่งสตรีรูปงามสองสามคนเข้ารัฐสู่ก่อน จากนั้นค่อยบอกสู่อ๋องว่าแม้นหญิงงามเหล่านี้จะมีหน้าตางดงามทว่าก็ไม่เท่าหนึ่งในหมื่นส่วนของจื่อเฉา มีเครื่องเคียงเพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนก็จะสามารถทำให้เขาทานอาหารหลักได้ช้าลง
อีกอย่างสู่อ๋องก็นับว่ามีความอดทนต่อเหล่าสาวใช้ หากหญิงงามจะมาช้าเสียบ้างก็สามารถให้อภัยได้
ความสามารถของกุนซือนั้นไม่ได้มีเพียงการวางกลยุทธ์แต่ต้องแพรวพราวด้วย เพื่อคำว่า “แพรวพราว” คำนี้ บัดนี้บทสนทนาของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปหลายภาษาแล้วด้วยความพยายามเพียงชั่วครู่
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดง ผู้คนในโรงเตี๊ยมสลับเปลี่ยนไปหลายคราว ซ่งชูอีและจางอี๋ก็มึนเมาเล็กน้อยแล้วจึงร่ำลาจากกันอย่างไม่เต็มใจนัก
ขณะที่ซ่งชูอีกลับมาถึงจวน บัดนี้จูเหิงก็มารอนางสักพักแล้ว
“ใต้เท้าเหิงมีธุรอะไร?” ซ่งชูอีครุ่นคิด ไม่น่าจะสืบข่าวของจีเหมียนได้รวดเร็วเพียงนี้
รอยยิ้มของจูเหิงอึดอัดเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้มิได้เล่าให้ท่านฟังถึงปมขัดแย้งระหว่างฝ่าบาทกับชูหลี่จี๋…ดังนั้น…”
“ใต้เท้าเหิงกล่าวเกินไปแล้ว” ซ่งชูอียิ้มพร้อมกับเดินขึ้นไปตามทางเดิน “แม้ว่าบางคราวฝ่าบาทจะกระทำการเอาแต่ใจ ที่จริงแล้วในใจชัดเจนยิ่ง ถึงข้าจะรู้ความจริงแต่ก็ไม่อาจจะโน้มน้าวเขาได้”
พูดถึงสู่อ๋อง เขาเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจมากคนหนึ่ง แยกแยะผิดถูกได้อย่างชัดเจน ดังนั้นแม้ว่าจะหลงระเริงในสตรีเพศแต่ก็ไม่ได้นำรัฐไปสู่การล่มสลาย อย่างไรก็ตามตระกูลไคหมิงได้ผ่านการครองราชย์มาสิบสองรัชกาลแล้ว จนถึงสู่อ๋องคนปัจจุบัน ความเสื่อมโทรมก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนสู่เป็นของขวัญจากสวรรค์ และก็เป็นผลที่ได้มาจากความมุ่งมั่นในการทำเพราะปลูกของเหล่าองค์จวินนับตั้งแต่รัฐสู่เปิดประเทศ ชาวสู่เก่งด้านการสู้รบซึ่งเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อมและผลของการเผชิญหน้าอย่างต่อเนื่องระหว่างปาสู่สองรัฐ ปัจจุบันประเทศสู่ดูเหมือนจะเจริญรุ่งเรืองแต่จริงๆ แล้วล้วนเป็นการกินบุญเก่า
“เฮ้อ!” จูเหิงถอนหายใจ แต่กลับยอมรับคำพูดของซ่งชูอีอยู่เงียบๆ “ท่านอย่าได้ถือโทษข้าเลย”
ท้องพระคลังของรัฐสู่มั่งคั่ง สู่อ๋องจะเปลี่ยนวิธีสุขสำราญก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่เมื่อก่อนเขาชอบสุขสำราญไปทุกหนแห่ง บัดนี้เอะอะก็สร้างพระตำหนัก สร้างถนนไม้กระดาน ต่อให้มีเงินมากมายก็คงจะใช้จ่ายเช่นนี้ได้เพียงไม่กี่ครั้ง!
“อันที่จริงเดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หลายปีก่อนตอนที่ชูหลี่จี๋ท่องเที่ยวอยู่ในดินแดนสู่ ตอนนั้นเขามีชื่อว่าซิงโส่ว ฝ่าบาทมีความสนพระทัยในเรื่องการดูดาวมาก ครั้นได้ยินว่าซิงโส่วมาจากสำนักดูดาวชื่อดังก็เรียกเขาเข้าวัง” ไม่ว่าจะโน้มน้าวใจหรือไม่ก็ตาม จูเหิงก็ยังยังคงเล่าเรื่องเก่าตั้งแต่ปีมะโว้ให้ซ่งชูอีฟังรอบหนึ่ง
จากการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ต้องโทษที่ชูหลี่จี๋หน้าตาดีเกินไป! บัดนั้นสู่อ๋องกำลังสุขสำราญกับเด็กสาวกลุ่มหนึ่ง ผลลัพธ์คือทันทีที่ชูหลี่จี๋ปรากฏตัวก็ทำให้เด็กสาวเหล่านั้นอัศจรรย์ใจทันทีและต่างเสียอาการเล็กน้อย
ผู้ชายในปาสู่ล้วนล่ำเตี้ยทรงพลัง เด็กสาวที่เกิดและโตในรัฐสู่เหล่านี้จะไปเคยเห็นเด็กหนุ่มที่เหล่อเหลาและสูงกำยำเช่นชูหลี่จี๋ได้เยี่ยงไรกัน!
ในฐานะเด็กหญิงที่ถูกเลี้ยงอย่างกักขังภายในวัง ไม่เคยเห็นโลกภายนอกก็พอเข้าใจได้ ทว่าสู่อ๋องเสียหน้าอย่างยิ่งเพราะเหตุนี้
เพื่อแสดงความใจกว้างและมีอารมณ์ขันขององค์จวินแห่งรัฐ สู่อ๋องข่มความโกรธไว้ในใจ พูดทีเล่นทีจริงว่าจะยกเด็กสาวทั้งหมดนี้ให้กับชูหลี่จี๋ เด็กสาวเหล่านั้นก็ไร้เดียงสาอย่างแท้จริง ครั้นได้ยินดังนี้แต่ละคนหัวใจเต้นกระสับกระส่าย แสดงอาการขวยเขิน บางคนฉลาดพอที่จะไม่มองหน้าชูหลี่จี๋ ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่สามารถรักษาหน้าของสู่อ๋องไว้ได้
สู่อ๋องถูกฝังอยู่ในหลุมที่ตัวเองขุดไว้ ทว่าบัญชีครั้งนี้จะต้องชำระอย่างแน่นอน ดังนั้นปมความแค้นจึงได้เกิดขึ้นแล้ว
ซ่งชูอีเม้มปากกลั้นหัวเราะ บัดนั้นชูหลี่จี๋อายุยังน้อย ผ่านไปหลายปีเมื่อเขากกลับมาที่รัฐสู่อีกครั้งก็ยิ่งมีบุคลิกที่โดดเด่น ซ่งชูอีนึกถึงตอนที่พบเขาในรัฐเว่ย์เป็นครั้งแรก นางก็ยังรู้สึกประหลาดใจ แม้ว่าสู่อ๋องจะดูแลร่างกายของตัวเองเป็นอย่างดี สุดท้ายแล้วก็ยังมีเรื่องของอายุ บวกกับการลุ่มหลงในนารีทั้งวัน จึงดูเสื่อมโทรมตั้งแต่เจ็ดแปดปีก่อนแล้ว จะเปรียบเทียบคู่นี้กันได้เยี่ยงไร?
“ฝ่าบาทจริงจังเกินไปแล้ว” ซ่งชูอีอดกลั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะแสดงความเห็นด้วยความอ่อนหวาน
จูเหิงยิ้มขมขื่นพร้อมกับส่ายหน้า มองไปยังดูดอกตู้เจวียนที่กำลังออกดอกเต็มลานก็ถอนหายใจ “ข้าเหนื่อยจริงๆ เห็นว่าดอกตู้เจวียนกำลังจะบาน บางทีข้าควรกลับหมินซานชมบุปผาดื่มสุราแล้ว”
การบีบบังคับให้จูเหิงถอยออกไปนั้นเป็นขั้นตอนต่อไปที่ซ่งชูอีต้องการจะทำ ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าเขามีความประสงค์ที่จะถอยอย่างกะทันหันในเวลานี้ นางจึงมิได้เอ่ยวิจารณ์
จูเหิงเป็นพระอนุชาของสู่อ๋อง มีความเฉลียวฉลาดและมีความสามารถ เป็นคนซื่อสัตย์ ก้มหน้าทำงานหนัก อยู่ข้างสู่อ๋องมาตั้งแต่อายุสิบหกปี อุทิศตนให้กับรัฐสู่ ยังไม่ต้องพูดถึงข้อดีข้อด้อยของเขา ซ่งชูอีก็รู้สึกว่าผู้ที่สามารถปรนนิบัติคนนิสัยเช่นสู่อ๋องมาได้ยี่สิบปีนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ
จูเหิงที่สามารถจัดการคนได้ย่อมมิขาดผู้ติดตามในราชสำนัก สู่อ๋องจะไม่รู้สึกสงสัยและอิจฉาในพระอนุชาที่มีพลังในการรวบรวมผู้สนับสนุนเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?
หากต้องการบีบให้เขาจากไปนั้นไม่ยาก ทว่าหากเขาสามารถถอนตัวได้เองตัวเองย่อมดีกว่า
“เมื่อครู่ข้าพบกับสหายเก่า เขายังไม่ถึงวัยกลางคน ทว่าไม่เจอกันเพียงไม่กี่ปี ความทุกข์ร้อนบนโลกใบนี้กลับได้ย้อมสีบนสองขมับแล้ว คิดดูแล้วใต้เท้าเหิงก็คงลำบากไม่น้อย” ซ่งชูอีมองดูไรผมของจูเหิงที่มีผมหงอกแซมก็กล่าวด้วยความตื้นตัน
จูเหิงอายุน้อยกว่าสู่อ่องห้าถึงปกปี ทว่ากลับดูเหมือนแก่ชรามาก
“หึหึ หวยจินอย่าได้ดูถูกข้าเชียว ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปีข้าอาจจะมีลูกชายก็ได้!” จูเหิงยิ้มเอ่ย
ชีวิตของจูเหิงหลายปีมานี้ไม่ง่ายเลย เพื่อปัดเป่าความสงสัยของสู่อ๋อง บัดนี้เขามีพระธิดาเพียงผู้เดียวและได้ออกเรือนไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว
ซ่งชูอีก็ยิ้มเอ่ยเช่นกัน “ใต้เท้ายังคงแข็งแรง จะต้องได้สมใจแน่”
แน่นอนว่าหากจูเหิงยินดีก็สามารถทำได้ ซ่งชูอีพูดกระตุ้นเขาด้วยความแนบเนียน
“ขอบคุณคำมงคลของท่านหวยจิน” จูเหิงประสานมือขอบคุณโดยปราศจากเจตนาเพียงผิวเผิน เห็นได้ชัดว่าในใจเขาปรารถนาบุตรชายจริงๆ
เขามีงานเต็มมือ ยากที่จะปลีกตัวผ่อนคลายเช่นนี้ได้ เมื่อเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้วจึงเอ่ยว่า “ท่านพักผ่อนเสียเถิด ข้าขอตัวก่อนแล้ว”
“เชิญท่านใต้เท้าเหิงตามสบาย” ซ่งชูอีลุกขึ้นส่งเขา
ครั้นเห็นจูเหิงขึ้นม้าไปแล้ว ซ่งชูอีเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนหมุนตัวกลับเข้าลานไป
นี่คือลานที่จูเหิงใช้ยามพักผ่อน ดอกตู้เจวียนในสวนบัดนี้เผยให้เห็นสีแดงระเรื่อและสามารถมองเห็นสีสันของมันได้เล็กน้อย ครั้นรอจนกระทั่งมันผลิบานเต็มที่จะต้องงดงามมากทีเดียว เพียงแต่น่าเสียดายที่ตั้งแต่ลานนี้ถูกสร้าง จูเหิงก็ไม่เคยมีโอกาสได้มาพักผ่อนอย่างจริงจัง
ฤดูใบไม้ผลิ ทัศนียภาพของรัฐสู่งดงามยิ่ง
บัดนี้สงครามระหว่างปาฉู่ได้เข้ามาสู่ทางตัน ในความเห็นของซ่งชูอี ทันทีที่มันหยุดชะงัก โอกาสที่รัฐฉู่จะยึดครองปาสู่นั้นก็เลือนรางแล้ว
สู่อ๋องเองก็มองเห็นข้อนี้ ดังนั้นจึงเชิญจอมขมังเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ให้มาดูฤกษ์ยามของวันที่สร้างตำหนัก องค์รัชทายาทได้ไปที่ด่านเจียเหมิงเพื่อดูแลการก่อสร้างถนนไม้กระดานแล้ว ส่วนจูเหิงรับผิดชอบด้านการจัดหาอยู่เบื้องหลังในขณะที่ดูแลช่างฝีมือในการสร้างเรือลำใหญ่
หญิงงามหกนางที่รัฐฉินส่งมาในภายหลังก็ได้มาถึงหวังเฉิงแล้ว ในบรรดาหกนางนี้ สี่นางเป็นสตรีที่งามที่สุดในรัฐฉิน ในบรรดาพวกนางมีแม้กระทั่งหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ หญิงสาวอีกสองนางเป็นสตรีชาวเยวี่ย ความโดดเด่นของรัฐเยวี่ยนั้นมิได้เป็นเพียงตำนานเล่าขาน อย่างน้อยสองนางที่ส่งมายังรัฐสู่นี้ล้วนเป็นหญิงงามชั้นหนึ่ง
หญิงงามทั้งหกคนล้วนมีจุดเด่นในตัวเอง เมื่อสู่อ๋องเห็นดังนั้นก็ตกใจหนักหนา ต่อมาได้ยินว่าหญิงงามเหล่านี้ยังเทียบไม่เท่าแม้แต่ปลายนิ้วของจื่อเฉาเลยด้วยซ้ำ ในใจก็ยิ่งยินดีปรีดา
ถึงอย่างไรตอนนี้เขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าจื่อเฉางดงามเพียงใด หญิงงามที่อยู่ตรงหน้านั้นช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน โดยเฉพาะหญิงงามชาวเยวี่ยสองนาง ผิวพรรณขาวผ่องราวกับสามารถหยดน้ำออกมาได้ ร่างกายมีส่วนเว้าส่วนโค้ง ใบหน้างามแฉล้มมีสีชมพูระเรื่อ ดวงตาราวกับหยดน้ำ แม้แต่เสียงพูดก็อ่อนหวานราวกับเสียงร้องของแมว…สำหรับสู่อ๋องที่เคยชินกับการมองเห็นสาวงามอันร้อนแรงนั้น ความอ้อนแอ้นอรชรเช่นนี้น่าเย้ายวนถึงขีดสุด
ครั้นสู่อ๋องได้หญิงงามแล้วจะใส่ใจเรื่องอื่นที่ไหนกัน เมื่อมีคนตักเตือนให้ปล่อยชูหลี่จี๋ระหว่างการประชุมราชสำนักช่วงเช้า เขาก็รับปากอย่างง่ายดาย จากนั้นก็พาเหล่าหญิงงามคนใหม่ออกไปเที่ยวเล่นแล้ว
รออยู่ในจวนเก้าวัน จูเหิงก็ส่งคนนำข่าวของจีเหมียนมาให้กับซ่งชูอี
แผนการของนางมีจางอี๋และชูหลี่จี๋แบกรับไว้แล้ว จึงเก็บสัมภาระและเดินทางไปยังรัฐปากับเว่ย์เจียง เล่นสนุกกับทางนี้เสร็จแล้วก็ต้องไปสนุกกับทางนั้นเสียหน่อย!