ฉินสู่ประมือกันครั้งแรก รัฐสู่ถูกกองทัพฉินกวาดล้าง องค์จวินถูกจับเป็นเชลย ความพ่ายแพ้นั้นสมบูรณ์แบบยิ่ง
อย่างไรก็ดีหลังจากที่ข่าวสู่อ๋องถูกจับเป็นเชลยแพร่ออกไป กองทัพที่ถวายการรับใช้องค์จวินไม่เพียงไม่วุ่นวายทว่ากลับมีแรงบันดาลใจในการต่อสู้
เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ไม่นับว่าประหลาด ในราชสำนักของรัฐสู่มีองค์รัชทายาทเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต่อให้ไม่มีสู่อ๋องแล้วรัฐสู่ก็ไม่ถึงกับไม่มีองค์จวินเลย นอกจากนี้สู่อ๋องยังละทิ้งงานการเมืองเป็นเวลาหลายปี เหล่าขุนนางในราชสำนักก็คุ้นเคยกับการจัดการการเมืองโดยมีท่านมหาเสนาบดีเป็นผู้นำมานานแล้ว เขาจะอยู่หรือไม่นั้นไม่ได้สร้างความแตกต่างให้กับการดำเนินกิจการของรัฐมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาขุนนางก็สามารถทำงานได้อย่างสบายใจขึ้นโดยไม่มีองค์จวินมารบกวน สำหรับการเดินทัพเพื่อทำสงครามนั้น หัวใจสำคัญคือท่านแม่ทัพหาใช่องค์จวินไม่ การที่องค์จวินถูกจับเป็นเชลยแน่นอนว่าทำให้กำลังใจเหล่าทหารสั่นคลอน ทว่าสุดท้ายแล้วราชสำนักก็ยังอยู่เบื้องหลังและองค์ชายก็ยังอยู่ที่นั่น หากมีนายพลคนหนึ่งที่สามารถรักษาเสถียรภาพของสถานการณ์โดยรวมได้ก็สามารถเปลี่ยนความเศร้าโศกและความตื่นตระหนกเป็นจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้
ดังนั้นสู่อ๋องจะเป็นหรือตายก็ไม่ใคร่เกี่ยวกับการที่รัฐสู่ถูกโค่นมากนัก
ที่แท้องค์จวินยะโสโอหังผู้นี้เป็นภาระของบ้านเมือง! ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะฉลองกับรัฐสู่ดีหรือว่าเสียใจกับสู่อ๋องดี
เดิมทีกองทัพวางแผนที่จะบุกตีค่ายเพื่อยึดครองตำแหน่งอันได้เปรียบก่อน ทว่าถูอู้ลี่กลับนำกองทัพเข้ามาใกล้ด่านเจียเหมิงภายในหนึ่งวัน ความเร็วที่น่ากลัวเช่นนี้จะต้องได้รับคำสั่งให้มาปกป้ององค์จวินอยู่ก่อนแล้วเป็นแน่! นี่ทำให้ซ่งชูอีต้องทำความรู้จักท่านมหาเสนาบดีแห่งรัฐสู่ผู้ “ทรยศ” คนนั้นเสียใหม่ ในระหว่างดำรงตำแหน่งมหาเสนาบดีแห่งรัฐสู่เขาแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ทว่ากลับคิดหาวิธีสร้างความมั่งคั่งด้วยเลือดและหยาดเหงื่อของประชาชนเสมอมา และเป็นเพราะเหตุนี้ จูเหิงจึงไม่เคยคิดที่จะต่อกรกับเขา
การที่คนคนหนึ่งสามารถอยู่ในตำแหน่งภายใต้หนึ่งคนและอยู่เหนือหนึ่งหมื่นคนได้นั้น แน่นอนว่าซ่งชูอีมิได้ประมาทเขา เพียงแต่ไม่คิดว่าบุคคลนี้จะมองการณ์ไกลเพียงนี้
ซือหม่าชั่วคิดว่าถึงอย่างไรกองทัพฉินก็มิได้คุ้นเคยกับการปฏิบัติการบนภูเขาเหมือนกับกองทัพสู่จึงไม่รบเร้าให้เร่งเดินทัพ
ถูอู้ลี่นำกองทัพมาถึงอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับมิได้เข้าใกล้ด่านเจียเหมิง แต่ประจำการอยู่บนภูเขาที่ห่างจากด่านเจียเหมิงออกไปยี่สิบลี้ ธงสีเขียวเข้มขนาดใหญ่ในค่ายถูกสายลมบนภูเขาพัดจนส่งเสียงดังดุเดือด
ที่ด่านเจียเหมิง
ซ่งชูอีและจางอี๋ยืนอยู่ที่หน้าประตูด่าน มองไปยังยอดเขาที่ห่างไกลในยามพลบค่ำ ในใจก็เข้าใจว่าศึกนองเลือดแท้จริงที่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้กำลังใกล้เข้ามา
ในเวลานี้กองทัพหนึ่งแสนสามหมื่นนายของกองทัพฉินได้ตั้งค่ายที่ด่านเจียเหมิงแล้ว
พวกเขายืนอยู่ที่ประตูค่ายแล้วมองออกไปก็เห็นค่ายพักแรมตั้งอยู่หนาแน่นบนที่ราบลุ่มแม่น้ำท่ามกลางภูเขาสูงตระหง่าน แม่น้ำขนาดกว้างสองจั้งไหลผ่านใจกลาง คลื่นน้ำสาดส่องเป็นประกายภายใต้แสงจันทร์อันเจิดจ้า คบเพลิงเหมือนมังกรยาวที่ส่องสว่างค่ายใหญ่
สายลมจากภูเขาพัดมา หลังคอของซ่งชูอีเย็นเล็กน้อย อดที่จะตัวสั่นมิได้ “ถูอู้ลี่คนนั้น ช่างเป็นปรมาจารย์ในการนำทัพต่อสู้จริงๆ!”
จางอี๋มองไปยังที่ไกลๆ ตามสายตาของซ่งชูอีแล้วก็ตื่นตกใจเช่นกัน เดิมทีตอนที่กองทัพมากันยังไม่ครบ ที่ราบลุ่มแม่น้ำแห่งนี้ดูกว้างมากอย่างเห็นได้ชัด บัดนี้กลับคราคร่ำไปด้วยทหารที่มาตั้งค่ายและเกือบจะยึดครองพื้นที่เต็มแม่น้ำและหุบเขา ที่นี่ก็เป็นเหมือนแอ่งน้ำที่ถูกล้อมรอบรอบด้าน กองทัพทั้งหมดก็อยู่ในที่ราบต่ำแห่งนั้น!
กองทหารทั่วไปมักชอบพื้นที่สูงที่แห้งแล้งและหลีกเลี่ยงพื้นที่ต่ำ ให้ความสนใจกับสถานที่ที่มีแดดจัดและหลีกเลี่ยงที่มืด ในกรณีส่วนใหญ่ การประจำค่ายทหารในพื้นที่ต่ำเกินไปเป็นสิ่งต้องห้าม สิ่งที่เรียกว่าหยินและหยางเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้มากที่สุด ไม่ได้หมายถึงเพียงพื้นที่ที่มีแดดจัดหรือร่มรื่นเท่านั้น แต่เป็นปัจจัยที่ครอบคลุมรวมถึงภูมิประเทศด้วย
เมื่อเปรียบเทียบกับกองทัพฉินแล้ว กองทัพสู่เลือกที่จะประจำการบนภูเขา แม้ระยะทางค่อนข้างไกล ทว่าหากแยกแยะอย่างละเอียดแล้วก็จะพบว่าสถานที่ที่ถูอู้ลี่เลือกนั้นเป็นการบีบคอให้กองทัพฉินเคลื่อนไปข้างหน้า ตราบใดที่กองทัพฉินก้าวไปข้างหน้า กองทัพสู่ที่ยึดครองพื้นที่สูงก็จะสามารถโจมตีแบบกดขี่จากบนลงล่างได้
ตราบใดที่กองทัพสู่สามารถบีบการเดินหน้าของกองทัพฉินอย่างใกล้ชิดและรั้งกองทัพใหญ่ไว้ที่นี่ได้ แม้ว่าจะไม่มีโอกาสที่เหมาะสมต่อการโจมตี เพียงแค่ยื้อก็สามารถทำให้กองทัพใหญ่พังทลายได้แล้ว
“เป็นท่านแม่ทัพเทพมาจุติจริงหรือ?” ซ่งชูอีพึมพำ
ถูอู้ลี่ผู้นั้นยังเยาว์นัก เห็นได้ชัดว่าเพิ่งออกมาจากชนเผ่าถูอู้ลี่ได้ไม่นาน ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้จริงมากนัก ทว่ากลับสามารถวางแผนเค้าโครงที่ซับซ้อนเพียงนี้ ทำให้ต้องอุทานว่าเป็นพรที่สวรรค์สร้างจริงๆ!
“จะชักช้ามิได้ กลับค่ายผู้บัญชาการเถิด” จางอี๋รีบเดินลงไปจากหอคอย
ทั้งสองคนกลับไปที่กระโจมเพื่อหารือกับซือหม่าชั่วเรื่องที่จะย้ายค่ายในด่านเจียเหมิง หากผ่านด่านเจียเหมิงไปได้พื้นที่ก็จะราบเรียบขึ้นเรื่อยๆ ระยะทางทั้งสองฝ่ายค่อนข้างห่างกัน อิทธิพลที่มีต่อกันก็นับว่ามีไม่มาก
ซือหม่าชั่วก็พบว่าที่แห่งนี้ไม่เหมาะแก่การตั้งค่ายอีกต่อไป ทั้งสามคนเห็นพ้องต้องกันและบรรลุข้อตกลงอย่างรวดเร็ว หลังจากหารือเสร็จแล้วก็สั่งการให้ย้ายค่ายไปยังที่สูงที่ห่างออกไปเจ็ดลี้ในชั่วข้ามคืน พื้นที่โดยรอบเปิดโล่ง ภูมิประเทศค่อนข้างสูง ดังนั้นกำลังพลจึงไม่อาจถูกโอบล้อมได้
หลังจากออกมาจากด่านเจียเหมิง ยิ่งเดินไปข้างหน้ามากเท่าใด พื้นที่โดยรอบก็ยิ่งเปิดโล่ง นี่คือภูมิประเทศที่ทหารม้าต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ปาสู่มีภูเขาและแม่น้ำมาก การต่อสู้ในภูมิประเทศที่มีความหลากหลายก็ทำให้ทหารม้าของรัฐปาสู่ขาดความกระปรี้กระเปร่า ทหารในชุดเกราะสีดำของรัฐฉินนั้นยากที่จะหยุดยั้ง หากสามารถล่อกองทัพสู่เข้ามาต่อสู้ในภูมิประเทศเช่นนี้ได้แล้วล่ะก็…
ซ่งชูอีครุ่นคิด แม้ว่าถูอู้ลี่ผู้นั้นจะเป็นแม่ทัพเทพมาจุติก็คงไม่สามารถรู้ทุกอย่างกระมัง? เขาเข้าใจกองทัพฉินมากแค่ไหนเชียว?
มีหุบเขาอยู่ระหว่างฝั่งแม่น้ำ หน้าผาสูงชัน ทิวทัศน์ที่แข็งกระด้างไม่ทิ้งความสง่างาม อย่างไรก็ตามสำหรับชาวฉินที่คุ้นเคยกับพื้นที่เปิดก็มักจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ยิ่งเดินหน้ามากเท่าไร ทัศนียภาพตรงหน้าก็จะยิ่งเปิดโล่ง จนกระทั่งมาถึงพื้นที่สูงเพื่อตั้งค่ายจึงจะรู้สึกถึงข้อดีของปาสู่
พระจันทร์ขึ้นทางทิศตะวันออกของภูเขา ดวงดาวแขวนอยู่บนท้องนภาอันกว้างใหญ่ สายลมโชยเอื่อยและอบอุ่น ไม่บาดคมเหมือนมีดแห่งหล่งซี เสียงของวัชพืชและแมลงดังขึ้นในหญ้าเขียวชอุ่มโดยรอบ หากยืนอยู่ในพื้นที่สูงจะสามารถมองเห็นสายสีเงินของแม่น้ำที่ไหลลงมาจากภูเขาอันไกลโพ้นท่ามกลางก้อนเมฆยามราตรี มันไหลคดเคี้ยวผ่านที่ราบกว้างใหญ่จนกระทั่งเลี้ยวหักมุมอยู่ในช่องเขาที่อยู่ไม่ไกลนักและไม่รู้ว่าไหลไปยังทิศทางใด ทัศนียภาพเช่นนี้เปิดกว้างและอ่อนโยนนักเมื่อเปรียบเทียบกับหุบเหวนับร้อยพันอันหยาบคายของหล่งซี เป็นเหมือนมารดาที่ทำให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดและงดงามจากหัวใจ
ซ่งชูอีกับจางอี๋ยืนอยู่หน้าแม่น้ำเงียบๆ มัวเมากับความงามตรงหน้า แต่หัวใจขุ่นมัวไปด้วยความเศร้าโศก
ระหว่างทางพวกเขาได้ผ่านบางชนเผ่าในรัฐจู การต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างรัฐจูกับรัฐปาเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่ง บ้านสิบหลังของชนเผ่าเหล่านั้นว่างเก้าหลัง แม้แต่ผู้หญิง เด็กและคนแก่ที่อ่อนแอหลายคนก็เสียชีวิตในสนามรบ ส่วนพวกเขาก็กล่าวได้ว่าเป็นผู้ริเริ่มสงครามนี้โดยเฉพาะซ่งชูอี
ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีอะไรที่สามารถหยุดพวกเขาได้
นี่คือโลกแห่งสงครามจึงต้องปรับตัวไปตามกระแส ไม่ต่อสู้ก็เท่ากับนั่งรอวันตาย เมื่อโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ ที่ไหนมีผู้คนก็จะเกิดข้อพิพาทที่นั่น เป้าหมายของพวกเขาคือใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง ราษฎรอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ทว่าก่อนที่มันจะเกิดขึ้นก็ต้องมีผู้เสียสละ เสียสละประชากรนับพันนับหมื่นเหล่านี้ หรือแม้กระทั่งตัวของพวกเขาเอง
สิ่งที่ซ่งชูอีทำคือการฆ่าที่รุนแรง ทว่านางก็ยังชื่นชมจิตวิญญาณของลัทธิเต๋าเข้ากระดูก นางรู้ว่ามีน้อยคนที่จะสามารถยับยั้ง**ที่จับต้องได้ตรงหน้านี้ เมื่อโลกอยู่ในความสงบเท่านั้นจึงจะสามารถทำให้ลัทธิเต๋ามีอิทธิพลต่อจิตใจผู้คนอย่างช้าๆ และทำให้ใต้หล้าสงบสุขไม่เกิดสงครามอีก
“ท่านว่า สายตาของคนเรามองไกลได้แค่ไหน? สิบปี? ห้าสิบปี? หนึ่งร้อยปี? หนึ่งพันปี?” ซ่งชูอีทำลายความเงียบ
จางอี๋ราวกับรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ยิ้มเอ่ย “บางคนมีหนึ่งใบไม้บังตาจนไม่อาจเห็นสถานการณ์ทั้งหมดได้ บางคนก็มองข้ามทุกสรรพสิ่ง ”
“ถ้าหากว่ามีหนึ่งใบไม้บังตาแต่ไม่รู้ตัวเล่า?” ซ่งชูอีหันมองเขา
จางอี๋เอ่ย “ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง ถ้ามันไม่สามารถสร้างความสุขให้ใต้หล้าแต่มันก็คู่ควรกับหัวใจของตัวเองกระมัง”
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ “นั่นสิ วิถีเต๋านั้นเป็นธรรมชาติ คืนสู่สามัญ”
นักยุทธศาสตร์ก็เป็นมนุษย์ เบื้องหลังการฆ่าฟันอันโหดเหี้ยมก็เป็นหัวใจที่อ่อนนุ่มดวงหนึ่ง เมื่อสัมผัสภายในหัวใจก็จะมีความรู้สึกเศร้าโศกและสงสัยว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกหรือผิด ทั้งสองคนก็ทำได้เพียงสนับสนุนกันและกันอย่างอ่อนโยน แต่ความสัมพันธ์ภายในกลับใกล้ชิดกันมากขึ้นอย่างไม่คาดคิด
เมื่อตั้งค่ายได้อย่างลงตัว ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีเหลืองทองจางๆ แล้ว
ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นมอง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด แสงอาทิตย์ปะทุออกมาจากหลังก้อนเมฆ แสงสีทองอร่ามสาดส่องโลกใบนี้ภายในพริบตา ซ่งชูอีหรี่ตามองครู่หนึ่งแล้วกล่าวอำลาจางอี๋ “ข้าจะกลับไปนอน”
จางอี๋ตอบรับเสียงหนึ่ง ขณะที่กำลังจะบอกว่าให้กลับไปด้วยกันก็เห็นซ่งชูอีไปที่ค่ายทหารม้า อดที่จะแปลกใจมิได้ ซย่าเฉวียนเป็นผู้นำทหารม้า เมื่อคืนเป็นผู้บุกเบิกสังหารกองทัพสู่ในหุบเขาอวิ๋นซาน ในเวลานี้น่าจะกำลังพักผ่อนอยู่ จะเข้าไปตอนนี้ทำไมกัน?
จางอี๋ครุ่นคิดเพียงครู่เดียวเท่านั้น เขาเองก็รู้สึกง่วงนอนอย่างยิ่ง แน่นอนว่าไม่มีเวลาว่างที่จะไปใส่ใจเรื่องส่วนตัวของซ่งชูอี จึงเดินกลับไปที่ค่ายตามลำพัง
ในค่ายทหารม้าเงียบงันเป็นอย่างมาก ทุกคนกำลังพักผ่อน แสงอาทิตย์ส่องแสงจ้าอย่างเป็นระเบียบบนพื้นที่ว่างเปล่า บนตัวของเหล่าทหารมีบาดแผลไม่มากก็น้อย หลังจากพันแผลแล้วก็ปล่อยให้พวกเขางีบหลับอยู่ตรงนั้นพร้อมกับอาวุธในอ้อมแขน หากไม่มีคนกรนก็จะดูเหมือนศพมิปาน
ที่นี่แม้แต่ยามหลับก็ไม่มีคนกล้าที่จะละอาวุธไปจากกาย เพราะว่าเมื่ออยู่ในสนามรบ มันก็คือหลักประกันของชีวิต อีกทั้งเป็นเครื่องมือเดียวในการสร้างอนาคตของการรับราชการทหาร
ขณะที่ซ่งชูอีกำลังถามว่ากระโจมของเจ้าอี่โหลวอยู่ที่ใดนั้น ก็บังเอิญเห็นไป๋เริ่นเดินเข้าไปในกระโจมหลังหนึ่งด้วยความยินดีจึงเดินตามเข้าไปแล้ว
ในกองทัพ เป็นไปได้ว่ามีคนที่ไม่รู้จักจางอี๋กับซ่งชูอี ทว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักไป๋เริ่นกับจินเกอ
มีกลิ่นเลือดจางๆ ลอยอยู่ในกระโจม เสียงน้ำไหลจ๊อกๆ ดังออกมาจากหลังฉากกั้น
“ใครน่ะ!” ทันใดนั้นเสียงที่อ่อนโยนน่าดึงดูดของเจ้าอี่โหลวก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอาฆาต
“ข้าเอง” ซ่งชูอีเลิกม่านแล้วเดินเข้าไป เห็นเจ้าอี่โหลวกำลังเอนตัวลงในอ่างทองแดงเพื่อทำความสะอาดบาดแผลด้วยท่อนบนที่เปลือยเปล่า
ผมสีดำของเขาถูกผูกไว้หลวมๆ อยู่ด้านหลังด้วยแถบผ้า เสื้อผ้าที่ถอดออกครึ่งหนึ่งห้อยอยู่ที่เอวและสะโพกอย่างหลวมๆ ร่างกายที่อยู่ตรงหน้าไม่บอบบางเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วแต่แข็งแรงไร้ร่องรอยไขมัน เห็นกล้ามเนื้อได้ชัดเจนแม้ไม่ได้ออกแรง ไหล่กว้าง เอวและหน้าท้องแคบแต่ทรงพลัง แขนที่เหยียดยาวที่มีพลังซ่อนอยู่นั้นแข็งแรงกำลังดี เลือดที่เจือจางด้วยน้ำค่อยๆ เลื่อนลงมาตามร่องที่งดงามของผิวสีน้ำผึ้งเสมือนเม็ดปะการัง
ซ่งชูอีกลืนน้ำลาย บังคับตัวเองให้มองไปที่บาดแผลใกล้กระดูกสะบัก “ข้าจะไปเรียกท่านหมอ”
“ไม่ต้อง” เจ้าอี่โหลวเอ่ย “ข้าขอยาจากท่านหมอแล้ว เจ้าช่วยข้าทายาเถิด เจ้ารู้เรื่องการแพทย์มิใช่หรือ?”
ตลอดเวลามานี้ เจ้าอี่โหลวก็ยังคงมีนิสัยแปลกๆ ที่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้ อย่าว่าแต่เวลาถอดเสื้อต่อหน้าผู้อื่นอย่างไร้ความระวังตัวเช่นนี้เลย แม้แต่เวลาติดต่อกับผู้คนเป็นการส่วนตัวขณะที่ยังสวมชุดเกราะก็ยังคงระวังตัว แม้ว่าเขาคนนี้จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วทว่าด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั้นเฉื่อยชาเสมอมา
ซ่งชูอีหยิบผ้าขนหนูขึ้นมา ข่มความต้องการที่จะเริ่มทำอะไรบางอย่าง ซับน้ำตามร่างกายของเขาจนแห้ง หลังจากทำความสะอดาบาดแผลอย่างระมัดระวังแล้วก็ใส่ยาและพันผ้า ทักษะทางการแพทย์หนึ่งเดียวที่ซ่งชูอีถนัดที่สุดก็คือการพันแผล นอกเหนือจากนี้ก็ทำได้เพียงแก้อาการปวดศีรษะโดยอาศัยโชคเท่านั้น
บาดแผลบนร่างกายของเจ้าอี่โหลวไม่ลึกมากและมีเพียงที่เดียว ซ่งชูอีจึงมิได้ยืนกรานที่จะตามหมอเข้ามา “ปกติก็ระวังตัวหน่อย อย่าโดนน้ำอย่าโดนของสกปรก”
“อืม” เจ้าอี่โหลวตอบรับเสียงหนึ่ง แล้วสวมเสื้อผ้า
“วันนี้เจ้ามิได้พักผ่อนหรอกหรือ นอนเป็นเพื่อนข้าสักครู่เถิด” ซ่งชูอีกล่าวพลางถอดเสื้อเกราะตัวอ่อนออกแล้วปีนขึ้นไปบนเตียงอย่างรวดเร็ว
เจ้าอี่โหลวเอนตัวลงนอนตามคำชวน
ซ่งชูอีวางอุ้งมือไว้บนเอวของเจ้าอี่โหลวอย่างเปิดเผย ถือโอกาสแนบตัวใกล้ชิด เจ้าอี่โหลวหน้าแดงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะวางมือเท้าที่ใดจึงจะเหมาะสม ตัวจึงแข็งทื่อเล็กน้อย
เนื้อผ้าที่บอบบางยากที่จะซ่อนเร้นความอบอุ่นและความยืดหยุ่นของร่างกายได้ ซ่งชูอีบอกตัวเองในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ‘เขาบาดเจ็บ จะทำอะไรหยาบโลนไม่ได้ จะหยาบโลนไม่ได้ หยาบโลนไม่ได้…’
คิดไปคิดมา อุ้งมือก็ถือโอกาสเลื่อนเข้าไปในเสื้อผ้าของเขาแล้ว
เจ้าอี่โหลวตัวแข็งทื่อทันใด ผงะไปครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้และเอื้อมมือดึงนางออกไป ทว่าเพราะถูกคว้าส่วนสำคัญเอาไว้จึงไม่สามารถออกแรงได้
ซ่งชูอีบีบๆ เล่นๆ กับมันด้วยความซุกซน ไม่ช้าทั้งตัวของเจ้าอี่โหลวก็ร้อนผ่าว บริเวณนั้นแข็งตัวอยู่ในมือของซ่งชูอี เขาแทบอยากจะขุดดินฝังตัวเองด้วยความเขินอาย
“หวยจิน…” มือของเจ้าอี่โหลวคว้ามือของนางไว้แล้วกดไว้เบาๆ เสียงทุ้มต่ำและแหบแห้งเจือปนความวิงวอน “เลิกเล่นได้แล้ว ข้า…ข้าทรมาน”
ซ่งชูอีกระแอมไอ พลันกล่าวด้วยความจริงจัง “ข้าก็ทรมาน เช่นนั้นมาแก้ปัญหาด้วยกันเถิด?”
พูดจบก็รู้สึกว่าบัดนี้ยังมิใช่โอกาสที่จะทำเช่นนั้นก็คลายมือออก “เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิด วันหน้าไว้ว่างๆ แล้วค่อยไตร่ตรองกันอีกที”
เจ้าอี่โหลวพูดไม่ออก กล่าวด้วยความโมโห “มีสิ่งใดน่าไตร่ตรอง!”
“อืม พูดก็ถูก” ซ่งชูอีเอ่ย
เจ้าอี่โหลวพึงพอใจมากที่วันนี้นางค่อนข้างเป็นปกติ เพิ่งจะคิดเช่นนี้ก็ได้ยินนางหัวเราะเจ้าเล่ห์ “เรื่องนี้ก็ช่างมันเถิด!”
“ฮู่…” เจ้าอี่โลวพ่นหายใจอย่างแรง หลับตาลง ตัดสินใจว่าจะไม่หารือกับนางหัวข้อนี้อีก
หลังจากเงียบสงบแล้ว เจ้าอี่โหลวทำอย่างไรก็นอนไม่หลับได้แต่หลับตาทำสมาธิ
สุดท้ายก็พักผ่อนหนึ่งชั่วยามโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทันใดนั้นก็มีคนรายงานอยู่นอกกระโจม “ท่านตูเว่ย ท่านแม่ทัพเชิญขอรับ”
เจ้าอี่โหลวเห็นว่าซ่งชูอียังคงหลับสนิท ก็ค่อยๆ ยกมือและเท้านางออกไป เดินออกไปนอกกระโจมพร้อมขานรับ แล้วกลับมาห่มผ้าให้นางอีกรอบ จากนั้นก็หมุนตัวหยิบเสื้อผ้ากับชุดเกราะสวมใส่ที่ห้องด้านนอกด้วยความรวดเร็ว รวบผมขึ้น หยิบดาบเดินออกไปจากกระโจม
ซ่งชูอีมิได้นอนหลับลึกระหว่างวัน แม้ว่าช่วงนี้จะเหนื่อยเป็นพิเศษทว่าก็ยังคงนอนหลับไม่สนิท เมื่อครู่ตอนที่นายทหารพูดนางก็ได้ยินแล้ว เพียงรู้สึกว่าเจ้าอี่โหลวเคลื่อนไหวอย่างเบามือจึงไม่ได้ลืมตาเพราะต้องการเติมเต็มความตั้งใจที่ดีของเขาเท่านั้น
ภายในกระโจมที่ว่าง**** เมื่อซ่งชูอีเห็นผ้านวมที่พันตัวแน่น มุมปากก็ยกยิ้มเล็กน้อย
นึกถึงคำถามของจี๋อวี่ หากใต้หล้ามีความสันติแล้ว นางยินดีที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับคนคนนั้นหรือไม่…ซ่งชูอีหาว พลิกตัวนอนต่อ
ในโลกนี้ไม่มีเรื่องสมมติ หากมีเรื่องสมมติจริงนางก็ยินดีที่จะอยู่อย่างสันติ แต่เกรงว่าคงจะไม่มีวันจะอยู่ด้วยกันกับผู้ชายอย่างเจ้าอี่โหลวกระมัง? ซ่งชูอีเข้าใจตัวเองอย่างดีมาโดยตลอด