“เป็นไปได้ไหมว่าเขากำลังวางแผนตบตาเราอีกที ไม่ให้เราคิดไปทางอาเหม็ด หรือไม่ก็พบความลับของฉันที่โทรศัพท์แล้ว ก็เลยจงใจพูดแบบนั้น ให้พวกเราหลงกล”
“ผมไม่ตัดความเป็นไปได้นี้ทิ้ง แต่ผมกลับรู้สึกว่าเขาไม่รู้จริงๆว่าโทรศัพท์คุณมีเครื่องดักฟังติดอยู่”
อวี๋หมิงหลางเชื่อในเซ้นส์ของตัวเอง
“งั้นก็ยิ่งแปลก ช่วงนี้นอกอาเหม็ดแล้วฉันก็ไม่ได้ไปทำใครหมางใจ ก็ใครใช้ให้เขาแอบดักฟังฉันล่ะ— นี่ ทำไมมองฉันแบบนั้น”
อวี๋หมิงหลางกำลังใช้สายตาหึงหวงมองเสี่ยวเชี่ยนจนเสี่ยวเชี่ยนขนลุกไปทั้งตัว
“ช่วงนี้คุณไม่ได้ไปหว่านเสน่ห์ใครกลับมาใช่ไหม อย่างเช่นไปทำให้ใครเคลิบเคลิ้มโดยที่ไม่รู้ตัว”
“นายพูดอะไรของนาย ฉันเคยไปหว่านเสน่ห์ใครเมื่อไรกัน”
“น้อยที่ไหนล่ะ”
“ก็แค่อาเหม็ดคนเดียวไม่ใช่เหรอ เมื่อกี้เขายืนโง่ๆอยู่ข้างถนนนายเห็นฉันมองเขาหรือเปล่าล่ะ”
ศัตรูหัวใจมีเข้ามามีเข้ามาไม่ได้หยุดหย่อน. อวี๋หมิงหลางไล่ไปไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว คนที่เขาต้องลงมือเองล้วนเป็นพวกที่ประวัติไม่ธรรมดา นี่ยังไม่รวมพวกเด็กมหาวิทยาลัยที่ขนยังขึ้นไม่เต็มพื้นที่ยังจะกล้ามายุ่งกับผู้หญิงของเขา
แต่พวกนั้นไม่สำคัญหรอก
“นั่งดีๆนะ ผมจะพาไปไล่ล่าไอ้ชั่วสองคนนั่น”
ผู้ชายสูทดำสองคนนั้นออกไปตั้งหลายนาทีแล้ว เสี่ยวเชี่ยนไม่ค่อยแน่ใจว่าจะไล่ตามทัน อวี๋หมิงหลางขับรถไปด้วยท่าทางมั่นใจ ไม่เหมือนคนที่กำลังขับรถไล่ล่า เพราะเขายังหาเวลามาพูดเล่นกับเธอได้
“เมียจ๋า ถ้าคุณอ้วนขึ้นสิบห้าโลจะเป็นไง” อวี๋หมิงหลางพูดพึมพำ จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่ได้ ต่อให้คุณอ้วนขึ้นสิบห้าโลก็ยังมีผู้ชายมาชอบอยู่ดี อย่างน้อยๆต้องขึ้นสักยี่สิบห้าโลผมถึงจะวางใจ”
“อวี๋หมิงหลาง เลวมาก นายแช่งฉันให้อ้วนขึ้นยี่สิบห้าโลเหรอ” นี่ถ้าไม่ติดว่าเขาขับรถอยู่เสี่ยวเชี่ยนคงถีบเขาไปหนึ่งทีแล้ว
“ช่างเถอะ ยี่สิบห้าโลเยอะไป ไม่ดีต่อสุขภาพ คุณรักษาหุ่นให้เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวผมไปคิดหาวิธีเอาเอง มีแต่คนมาชอบเมียผม น่าปวดหัวจริงๆ…”
“ฉันไม่ใช่เงินเสียหน่อย จะมีใครมาหลงรักได้ไง นายคิดมากไปละ” เสี่ยวเชี่ยนไม่คิดว่าตัวเองมีเสน่ห์กับผู้ชาย
อวี๋หมิงหลางรู้สึกโชคดีที่เสี่ยวเชี่ยนเป็นพวกความรู้สึกช้าในเรื่องความรัก จึงทำให้เขามีโอกาสขับไล่ศัตรูหัวใจลับหลังเธอ เวลาว่างๆก็ไปตบแมลงวัน แต่สุดท้ายใบหน้าสวยๆของเธอบวกกับนิสัยก็ยังมีเสน่ห์มากอยู่ดี
อวี๋หมิงหลางฉลาดพอที่จะไม่พูดเรื่องนี้อีก ปล่อยให้เธองงไปแบบนี้แหละ
“พวกเราเลิกตามไหม นี่ก็ใกล้จะถึงสะพานหลินเหมินแล้ว ผ่านสะพานนั้นไปมีตั้งหลายทางแยกนายรู้เหรอจะไปทางไหน”
เส้นทางจากมหาวิทยาลัยเสี่ยวเชี่ยนมาทางนี้มีแค่เส้นทางเดียว พอข้ามสะพานหลินเหมินไปก็จะมีทางแยกมากมาย เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าคงตามไม่ถูกหรอก
“บอกให้ศึกษาเรื่องเส้นทางจราจรเอาไว้บ้างคุณก็ไม่ฟัง ถ้าสะพานหลินเหมินถูกยกขึ้น พวกนั้นจะข้ามไปได้ไง”
“อย่ามาตลก สะพานหลินเหมินยกตอนบ่ายสองไม่ใช่หรือไง”
สะพานหลินเหมินเป็นสะพานที่มีความพิเศษที่สุด ใต้สะพานเป็นแม่น้ำหลินที่ไหลผ่าน เมืองหลิน เมืองนี้ยังคงมีการขนส่งทางเรือ เนื่องจากขนาดของเมืองค่อนข้างใหญ่ สินค้าบางอย่างขนจากฝั่งตะวันออกของเมืองไปยังฝั่งตะวันตกต้องไปทางแม่น้ำ และขนาดของเรือมีความสูงเกินสะพาน ดังนั้นสะพานหลินเหมินที่สร้างตั้งแต่สมัยปี90จึงมีระบบยกขึ้นได้
เวลาที่มีเรือขนส่งผ่านมาตัวสะพานด้านหนึ่งจะถูกยกขึ้นโดยอัตโนมัติได้ พอเรือผ่านไปแล้วก็จะวางลงเหมือนเดิม รถก็จะขับผ่านไปได้
เทคโนโลยีนี้ถือว่าล้ำสมัยมากในช่วงก่อสร้างยุคนั้น
แต่ก็ส่งผลไม่น้อยต่อการจราจรทางบก เพราะบ่ายสองโมงถึงสองโมงครึ่งของทุกวันจะมีการยกสะพานขึ้น รถจะติดค่อนข้างยาว
ดีที่ช่วงหลายปีนี้ผู้คนชินกันแล้ว ก็จะพยายามเลี่ยงทางนี้ในช่วงที่จะมีการยกสะพานขึ้น
ตอนนี้เพิ่งจะเที่ยง เสี่ยวเชี่ยนได้ยินอวี๋หมิงหลางพูดเรื่องยกสะพานจึงไม่เข้าใจ
“ปกติยกสะพานตอนสองโมง แต่ถ้าทางทหารมีเรื่องด่วนพิเศษ ศูนย์ยกสะพานก็จะให้ความร่วมมือพวกเรา คุณว่าถ้าสองคนนั้นขับไปถึงหน้าสะพานแล้วอยู่ๆสะพานก็ถูกยกขึ้น พวกนั้นจะเป็นไง”
“หา”
เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจแล้ว เธอตีหัวตัวเอง ทำไมเธอนึกไม่ถึงนะ ลืมไปเลยว่าอวี๋หมิงหลางเป็นใคร
“เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีข้ามชาติเบื้องบนเลยให้อำนาจผมมาเยอะหน่อย” อวี๋หมิงหลางพอได้ยินว่าเสี่ยวเชี่ยนเกิดเรื่องเขาก็รีบติดต่อเบื้องบนทันที เขาเดาว่าสองคนนั้นต้องหนีมาทางสะพานหลินเหมินแน่
เพราะนอกจากเส้นทางนี้ ไปทางไหนก็รถติดหมดในช่วงเวลานี้
“เท่าที่คำนวณดูสองคนนั้นน่าจะใกล้ถึงสะพานหลินเหมินแล้ว และเวลานี้ก็เป็นเวลาเลิกงานพอดี คุณเดาดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น” อวี๋หมิงหลางเอานิ้วเคาะพวงมาลัยรถอย่างไม่รีบร้อน
มิน่าล่ะ ช่วงเวลาไล่ตามคนร้ายที่ควรจะตึงเครียดเขากลับมีเวลาคุยเล่นกับเธอ พูดจาไร้สาระ ในที่สุดเสี่ยวเชี่ยนก็เข้าใจแล้ว ที่แท้เขาก็มีแผนอยู่แล้ว
เสี่ยวเชี่ยนอยากรู้มากว่าอีกเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้น
สมองของอวี๋หมิงหลางหากนำมาใช้โจมตีคนร้ายรับรองว่ากินขาด นับตั้งแต่เขารู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนเกิดเรื่องก็เริ่มคำนวณดูว่าถ้าคนร้ายหนีต้องหนีไปทางนั้นแน่นอน แถมยังคำนวณความเร็วรถที่อีกฝ่ายใช้เพื่อกะเวลายกสะพานที่เหมาะสมที่สุด
ยกเร็วไปอีกฝ่ายผิดสังเกตก็อาจจะเลี้ยวไปทางอื่นได้ ยกช้าไปอีกฝ่ายก็อาจข้ามไปแล้ว จับไม่ได้
ไม่ช้าไม่เร็วพอดีกับที่สองคนนั้นใกล้จะถึงสะพานแล้วอยู่ๆก็เห็นสะพานถูกยกขึ้น เมื่อรถข้างหน้าเบรก คันข้างหลังก็ต้องเบรกตาม อยากจะเลี้ยวก็เลี้ยวไม่ได้ แล้วรถก็จะติดเป็นขบวน
อีกอย่างสองคนนั้นเป็นชาวต่างชาติ ไม่รู้สถานการณ์จราจรของที่นี่ พอเห็นข้างหน้ารถติดก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น กว่าจะรู้ตัวอีกทีรถก็ติดไม่ขยับแล้ว
“คิดจะมาก่อเรื่องในประเทศเราแล้วไม่รู้จักดูข้อมูลจราจร ปัญญาอ่อนจริงๆ” ประโยคนี้ของอวี๋หมิงหลางเต็มไปด้วยความมั่นใจ
อย่าคิดว่าทหารหน่วยรบพิเศษจะเก่งแต่ในป่าในดง เขาได้ทุกทาง สู้กันในเมืองเขาก็คล่องเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเสี่ยวเฉียงจะได้มาอยู่ในตำแหน่งที่คนทั่วไปต้องใช้เวลาสิบปีถึงจะได้ขึ้นมาเหรอ
“จึ๊ๆ ฉันรู้สึกว่าตัวเองได้เปรียบจริงๆที่หาสามีได้เก่งขนาดนี้” เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกหลงใหลสีหน้ามั่นใจของเขา
“เพิ่งจะรู้เหรอ กล้ามายุ่งกับเมียผมในอาณาเขตของผม ก็ต้องมาวัดกับความฉลาดของผมแหละนะ พวกนั้นเมื่อกี้รังแกคุณใช่ไหมล่ะ รอก่อนเถอะ ทำกับพวกเรายังไงผมก็จะเอาคืนแบบเดียวกัน”
“เดี๋ยวฉันคงไม่ได้เห็นฉากแบบในหนังหรอกใช่ไหม รถติดหนักอยู่หน้าสะพาน ทันใดนั้นก็มีทหารหน่วยรบพิเศษปิดหน้าปิดตาไต่เชือกลงมาจากตัวสะพาน”
ภาพที่เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงเป็นอะไรที่เว่อร์มาก
“ถ้าคุณอยากเห็นอะไรแบบนั้นต้องรอครั้งหน้าแล้วล่ะ ครั้งนี้ไม่ได้”
“เออะ…เอาเถอะ”
“จัดการสองคนนั้นไม่จำเป็นต้องใช้คนเยอะ ผมคนเดียวก็เอาอยู่ ไป เดี๋ยวพี่จะพาไปจับผี นั่งดีๆนะจ๊ะ~”
ไม่ต้องใช้คนเยอะ พี่หลางคนเดียวก็ทำให้เมียสมความปรารถนาในการอยากเห็นฉากแบบในหนังได้ อยากได้อะไรที่เร้าใจใช่ไหม พี่หลางจัดให้